กระทรวงศึกษาธิการเผยเด็ก 5-11 ปี แจ้งความประสงค์ฉีดวัคซีนแล้ว 2.5 ล้านคน เร่งรณรงค์นักเรียนเข้ารับวัคซีนโควิดเพิ่มอีก สร้างความมั่นใจให้โรงเรียนเปิดเรียน Onsite ได้ทั่วไทย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 2 ก.พ. 2565 กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย (มท.) และกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จัดเสวนา "วัคซีนเด็ก เติมภูมิคุ้มกัน มั่นใจเปิดเรียน On Site พร้อมใช้แผนเผชิญเหตุทุกสถานการณ์" โดยนางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 2 ปีกว่าที่ผ่านมา คนทั้งโลกเผชิญกับการแพร่ระบาดโควิด ซึ่งตอนแรกของการระบาดทุกคนมีความกังวล เพราะต้องปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิต ทั้งการทำงานที่บ้าน การเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล การงดไปในสถานที่เสี่ยงต่างๆ แต่วันนี้ทุกคนเริ่มเข้าใจและรู้ว่าต้องใช้ชีวิตอย่างไรกับโควิด
"หน่วยงานที่รับผิดชอบด้านการศึกษาทั้งหมดมีความเป็นห่วงนักเรียนนักศึกษา โดยมีการดำเนินการเพื่อให้เด็กๆ ไม่ขาดกระบวนการเรียนรู้ ทั้งการอนุมัติให้มีการฉีดวัคซีนครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน โดยเฉพาะอายุ 12-18 ปี และ 5-11 ปี เพื่อให้สถานศึกษาเป็นสถานที่ปลอดภัยแก่เด็กๆ โดยในกลุ่มครูนั้นได้มีการฉีดวัคซีนเข็มแรกไปกว่า 90% และเข็ม 2 กว่า 80-90% เช่นเดียวกับนักเรียนในกลุ่มอายุ 12-18 ปี ที่ได้ฉีดวัคซีนเข็มแรกและเข็ม 2 ไปแล้วกว่า 80% และขณะนี้กำลังรณรงค์ให้เด็กอายุ 5-11 ปีได้เข้ารับวัคซีนเช่นเดียวกัน" นางสาวตรีนุช กล่าว
ด้าน นายสุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ปลัด ศธ.) กล่าวว่า การเปิดเรียนเป็นจุดสำคัญของการเรียนรู้ ทั้งด้านองค์ความรู้ การพัฒนาทางร่างกายและจิตใจ ซึ่ง ศธ.อาจไม่ใช่เพียงหน่วยงานเดียวที่จัดการศึกษา แต่เป็นกระทรวงที่รับผิดชอบโรงเรียน และนักเรียนมากที่สุด โดยมีโรงเรียนในสังกัด สพฐ.มากกว่า 34,000 โรง
ทั้งนี้ จากการสำรวจภายใน 2 วันที่ผ่านมา มีโรงเรียนใน 40 จังหวัดเข้าร่วมนั้น พบว่า ขณะนี้มีโรงเรียนเปิดการเรียนการสอนแบบ On site ประมาณ 79.32% โดยในจำนวนดังกล่าว มีประมาณ 2 จังหวัดที่มีการเปิดเรียนแบบ On site เพียง 20% กว่า คือ จังหวัดภูเก็ต% และระยอง 29.27% ส่วนอีก 37 จังหวัดที่เหลือ ขณะนี้ยังไม่มีการส่งข้อมูล หรือบางจังหวัดยังไม่สามารถเปิดเรียนแบบ On site ได้ ซึ่งหลังจากนี้ จะมีการสำรวจอย่างต่อเนื่อง และหากโรงเรียนหรือพื้นที่ใด ไม่สามารถเปิดเรียนแบบ On site ได้ หรือมีปัญหาอย่างไร ทาง ศธ.จะเข้าไปดำเนินการช่วยเหลือ
ส่วนข้อมูลการสำรวจจำนวนนักเรียนที่ประสงค์ฉีดวัคซีนช่วงอายุ 5-11 ปี มีจำนวนนักเรียนทั้งประเทศ 5,381,431 คน มีการสำรวจแล้ว ณ ปัจจุบัน จำนวน 4,185,000 คน จาก 61 จังหวัด หรือ 80% มีประสงค์ 2,570,000 คน เฉลี่ย 61.4% ซึ่งข้อมูลนี้ยังไม่ครบถ้วน เพราะศึกษาธิการจังหวัด (ศธจ.) อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูล และปัจจุบันหลายจังหวัดได้มีการเริ่มฉีดวัคซีนไปแล้ว
ส่วน นายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาฯ กพฐ.) กล่าวว่า สพฐ.ได้มีความพยายามจัดการเรียนการสอนในรูปแบบที่หลากหลายทั้ง 5 รูปแบบ แต่อย่างไรก็ตาม วิธีการที่จะทำให้เกิดคุณภาพการเรียนรู้ที่ดีที่สุดแก่เด็ก คือ การจัดเรียน On site เพื่อสร้างองค์ความรู้และทักษะให้แก่นักเรียนสมบูรณ์ที่สุด ซึ่งจากการสำรวจโรงเรียนในสังกัด สพฐ.ทั่วประเทศ พบว่าขณะนี้โรงเรียนในทุกจังหวัดมีการเปิดเรียน On site แล้ว แต่มีบางจังหวัดอาจมีโรงเรียนเปิดเรียน On site เพียง 10 โรงเรียน ดังนั้น ตนจึงต้องการที่จะสื่อสารกับทางโรงเรียน ผู้ปกครอง ให้ร่วมกันเปิดเรียน On siteให้เกิดความปลอดภัย ไม่มีความติดเชื้อ หรือหากมีการติดเชื้อจะมีแผนการเผชิญเหตุที่สามารถป้องกันได้
"อยากรณรงค์ให้พ่อแม่ผู้ปกครอง นักเรียนมาฉีดวัคซีนให้ได้ครบทั้งเข็มที่ 1 และฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 อยากให้มีแผนเผชิญเหตุหากมีการติดเชื้อ และอยากให้ทุกโรงเรียนดำเนินการตามมาตรการ 6-6-7 อย่างเคร่งครัด และโรงเรียนต้องประเมินตนเองให้ผ่านเกณฑ์ทั้ง 44 ข้อ และเสนอความเห็นมายังคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเพื่อพิจารณาการเปิดเรียน On site" นายอัมพร กล่าว
ด้าน นพ.สราวุฒิ บุญสุข รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่าสำหรับสถานการณ์การติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอน ขณะนี้ พบว่ามีการติดเชื้อในกลุ่มของเด็กจำนวนมากขึ้น โดยเด็กในกลุ่มอายุ 0-19 ปี จะติดเชื้อประมาณกว่า 20% แบ่งเป็นอายุ 13-19 ปี จะมีผู้ติดเชื้อ ประมาณกว่า 10% อายุ 7-12 ปี ติดเชื้อประมาณ 8-9% โดยเมื่อพิจารณาการแพร่ระบาดระหว่างวันที่ 1 ม.ค. -1 ก.พ. 2565 พบผู้ติดเชื้อในเด็กอายุ 0-19 ปี จำนวน 39,342 ราย ซึ่งส่วนใหญ่จะพบในภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ ส่วนความรุนแรง อัตราการเสียชีวิต พบว่าค่อนข้างลดลง อย่างไรก็ตาม ตนขอให้มีการดำเนินการตามมาตรการ 6-6-7 สำหรับทุกคนในสถานศึกษา รวมทั้งต้องมีแนวทางการเฝ้าระวัง และแผนเผชิญเหตุด้วย
ขณะที่ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า เราคงเห็นตรงกันว่าการเปิดโรงเรียนเป็นสิ่งสำคัญ แต่ปัญหาใหญ่อยู่ที่ความกังวลที่ 2 ส่วน คือ จากผู้ปกครอง และผู้บริหารระดับจังหวัด ที่กังวลว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อจะเพิ่มมากขึ้น ซึ่งวันนี้กับเมื่อ 2 ปีที่แล้ว แตกต่างกันอย่างมาก วันนี้อัตราการเสียชีวิตทั่วโลกอยู่ที่ 1.5 สำหรับประเด็นเรื่องวัคซีนของกลุ่มเด็กอายุ 5-11 ปี วัคซีนที่นำมาฉีดจะคำนึงถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัย ซึ่งวัคซีนไฟเซอร์ ที่นำเข้ามา ฉีดน้อยกว่าผู้ใหญ่ถึง 1 ใน 3 ทั้งนี้ สำหรับวัคซีนเชื้อตายประเทศที่ฉีดเยอะ คือ จีน ดังนั้นเราจะมีการนำข้อมูลเข้าพิจารณาในคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และเมื่อมีการรับรองก็จะมีการอนุญาติให้เด็กรับวัคซีนเชื้อตายได้ ทั้งนี้ในส่วนของเทคนิคการจัดบริการวัคซีนโควิดในเด็กประถมวัย 5-11 ปี ตนมองว่าควรที่จะจัดสถานที่ บรรยากาศ ให้มีสีสันสดใส ขั้นตอนกระชับ และจะต้องเตรียมครู เจ้าหน้าที่ ช่วยดูแลเด็กในกรณีที่เด็กกลัว ร้องไห้ หรือดิ้น เพื่อเป็นการลดความกังวลของเด็กและให้เกิดความร่วมมือจากเด็กๆ
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เราได้ดำเนินการสั่งซื้อวัคซีนไฟเซอร์ จำนวน 10,000,000 ล้านโดส และมีวัคซีนซิโนแวคอีกประมาณ 4,000,000 โดส และเมื่อมีการส่งวัคซีนไฟเซอร์เข้ามา ซึ่งจะมีการส่งทุกสัปดาห์ สัปดาห์ละ 300,000-500,000 โดส ก็สามารถจัดส่งให้ ศธ.ไปดำเนินการฉีดให้กับเด็กกลุ่มนี้ได้ทันที โดยขณะนี้มีการจัดส่งเข้ามาแล้ว และอยู่ระหว่างขั้นตอนการตรวจสอบคุณภาพ และเราก็จะประสานกับ ศธ.ว่าจะให้จัดส่งไปที่จังหวัดไหนจำนวนเท่าไรต่อไป
ภาพจาก : ไทยโพสต์