ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ โรงพยารามาธิบดี เผยพบโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย BA.2 สายพันธุ์ล่องหนในไทย 2 ราย กลายพันธุ์กว่า 70-80 ตำแหน่ง ชี้อาจแพร่กระจายได้เร็วกว่าสายพันธุ์หลัก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 25 ม.ค. 2565 ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ โรงพยาบาลรามาธิบดี โพสต์ข้อมูลผ่านเฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics ระบุว่า การแพร่ระบาดของโอไมครอน นอกจากจะมีสายพันธุ์หลัก 'B.1.1.529' หรือ 'BA.1' แล้ว ยังเริ่มมีการกลายพันธุ์ไปอีก 2 สายพันธุ์ย่อย คือ 'BA.2' และ 'BA.3'
โดยโอไมครอนสายพันธุ์หลัก 'BA.1' ถูกถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมจากตัวอย่างผู้ติดเชื้อทั่วโลกทั้งสิ้น 514,417 ราย คิดเป็น 8% พบในประเทศไทย 561 ราย คิดเป็น 23% ซึ่งสายพันธุ์นี้กลายพันธุ์ไปจากสายพันธุ์เดิมอู่ฮั่น ประมาณ 60-70 ตำแหน่ง
โอไมครอนสายพันธุ์ย่อย BA.2 ถูกนำมาถอดรหัสทั้งจีโนมจากตัวอย่างผู้ติดเชื้อจากทั่วโลกทั้งสิ้น 10,811 ราย คิดเป็นน้อยกว่า 0.5% พบในประเทศไทย 2 ราย คิดเป็น 1% ซึ่งสายพันธุ์นี้กลายพันธุ์ไปจากสายพันธุ์เดิมอู่ฮั่น ประมาณ 70-80 ตำแหน่ง
ทางศูนย์จีโนมทางการแพทย์ โรงพยาบาลรามาธิบดีตรวจพบ BA.2 จำนวน 1 ตัวอย่าง ด้วยเทคโนโลยี "Mass array genotyping" ซึ่งกำลังยืนยันผลด้วยเทคนิค "Long read, whole genome sequencing" คาดว่าจะแล้วเสร็จในอาทิตย์นี้
ส่วนโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย 'BA.3' ถูกนำมาถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมจากตัวอย่างจากทั่วโลกประมาณ 86 ราย คิดเป็น 0.5% ยังไม่พบในประเทศไทย ซึ่งกลายพันธุ์ต่างไปจากสายพันธุ์ดั้งเดิมอู่ฮั่น ประมาณ 55-65 ตำแหน่ง
การคัดกรองทางห้องปฏิบัติการเบื้องต้นเพื่อแยกสายพันธุ์เดลต้าและโอไมครอน ออกจากกันมักจะตรวจโดยวิธี RT-PCR 3 ตำแหน่งบน 3 ยีน
โดยเดลต้า จะถูกตรวจด้วย RT-PCR ได้ครบทั้ง 3 ยีน ส่วนโอไมครอนสายพันธุ์หลัก 'BA.1' จะตรวจด้วยชุดตรวจ RT-PCR ได้เพียง 2 ใน 3 ยีน เนื่องจากตรวจไม่พบ S ยีน หรือมี 'S target failure (SGTF)' เนื่องจากมีการกลายพันธุเกิดการขาดหายไปของกรดอะมิโนตำแหน่งที่ 69-70 บนโปรตีนหนามจนตัวตรวจจับ (PCR primers) จับยีน S ไม่ได้
'BA.2' บางครั้งถูกเรียกว่าสายพันธุ์ล่องหน (Stealth Variant) เพราะสามารถตรวจ RT-PCR ได้ครบทั้งสามยีน ทำให้แยกไม่ออกระหว่าง เดลต้า กับ 'BA.2' เนื่องจากสามารถตรวจยีน S ของ 'BA.2' ด้วยชุดตรวจ RT-PCR ที่มีจำหน่ายในท้องตลาดทั่วไปได้
สำนักงานความมั่นคงด้านสุขภาพของสหราชอาณาจักร (UKHSA) ประกาศให้ BA.2 เป็นสายพันธุ์ที่ต้องสอบสวน (Variant Under Investigation: VUI) เมื่อวันที่ 21 ม.ค. 2565
ส่วนที่ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ฯ ใช้เทคโนโลยี 'จีโนไทป์' จึงไม่ประสบปัญหา 'S target failure (SGTF)' สามารถพัฒนาให้ชุดตรวจตรวจจับทั้ง BA.1, BA.2, และ BA.3 และ เดลต้า อัลฟ่า เบต้า แกมม่า ไปพร้อมกันได้ในหลอดเดียว (single tube reaction) ภายใน 24-48 ชั่วโมง ด้วยค่าใช้จ่ายที่ประหยัดกว่าการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนม
'BA.2' กลายพันธุ์ต่างไปจากสายพันธุ์ดั้งเดิมอู๋ฮั่น มากที่สุดประมาณ 70-80 ตำแหน่ง อย่างไรก็ตามยังไม่มีข้อมูลยืนยันชัดเจนทางคลินิกว่ามีอาการรุนแรงกว่าโอไมครอนสายพันธุ์หลัก 'BA.1' หรือไม่ แต่คาดคะเนจากข้อมูลทางระบาดวิทยาว่าอาจแพร่ติดต่อได้เร็วกว่าโอไมครอนสายพันธุ์หลักอยู่บ้าง
'BA.2' เคยได้รับความสนใจจากนักวิจัยทั่วโลกชั่วระยะเวลาหนึ่ง ก่อนจะหมดความสนใจไป เพราะพบการระบาดในวงจำกัด (อ่านประกอบ : https://www.facebook.com/CMGrama/posts/4586461878128223)
แต่ปัจจุบันกลับพบว่ามีการระบาดแพร่กระจายมากขึ้น โดยนักวิจัยสามารถถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมจากตัวอย่างจากทั่วโลกได้แล้วทั้งสิ้นถึง 10,811 ราย
ส่วน 'BA.3' ทั่วโลกสามารถถอดรหัสทั้งจีโนมมาได้เพียง 86 ตัวอย่าง กลายพันธุ์ต่างไปจากสายพันธุ์ดั้งเดิมอู่ฮั่น น้อยที่สุดประมาณ 55-65 ตำแหน่ง ไม่มีข้อมูลทางคลินิกมากนัก