ศาลปกครองเชียงใหม่มีคำสั่งยกคำขอทุเลาการบังคับตามกฎข้อบังคับเกี่ยวกับการกำหนดวิธีการเสนอรายชื่อผู้สมควรดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ของผู้ฟ้องคดีทั้ง 13 ราย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 7 ม.ค. 2564 ศาลปกครองเชียงใหม่มีคำสั่งยกคำขอทุเลาการบังคับตามกฎ ในคดีหมายเลขดำที่ 469/2564 ระหว่าง นายสมชาย ปรีชาศิลปกุล กับพวกรวม 13 คน ผู้ฟ้องคดี กับสภามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กับพวกรวม 2 คน ผู้ถูกฟ้องคดี คดีนี้ผู้ฟ้องคดีทั้งสิบสามเป็นผู้ปฏิบัติงานในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ฟ้องว่า การที่สภามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) ออกข้อบังคับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ว่าด้วยการสรรหาธิการบดี (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2564 ข้อ 5 วรรคสาม มีสาระสำคัญว่า
“ในการเสนอรายชื่อผู้สมควรดำรงตำแหน่งอธิการบดีทุกขั้นตอนให้ใช้วิธีปรึกษาหารือ และมิให้ดำเนินการโดยวิธีเลือกตั้งหรือหยั่งเสียง หากปรากฏหลักฐานว่าผู้สมัครหรือผู้ถูกเสนอชื่อรายใดยอมรับวิธีการดังกล่าวให้คณะกรรมการตัดชื่อออกจากกระบวนการสรรหา และถ้ามีผู้ปฏิบัติงานในมหาวิทยาลัยสนับสนุนก็ให้ถือว่ามีความผิดทางวินัย”
เป็นการตราข้อบังคับที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและเป็นการกระทำที่ไม่สุจริตทำให้ได้รับความเดือดร้อนเสียหาย ขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนข้อบังคับดังกล่าว และขอให้ทุเลาการบังคับตามข้อบังคับนี้ มิให้นำมาใช้บังคับกับการสรรหาอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ ซึ่งศาลมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองชี้แจงข้อเท็จจริง ในกรณีดังกล่าว
ศาลปกครองเชียงใหม่วินิจฉัยว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 อาศัยอำนาจตามมาตรา 25 วรรคหนึ่ง (3) และมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พ.ศ. 2551 ออกข้อบังคับดังกล่าวในชั้นนี้ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่ากระบวนการในการออกข้อบังคับไม่เป็นไปตามรูปแบบขั้นตอนหรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนด
ส่วนปัญหาว่าข้อบังคับดังกล่าวมีเนื้อหาที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เป็นประเด็นในเนื้อหาแห่งคดีที่ศาลต้องแสวงหาข้อเท็จจริงต่อไป จึงเห็นว่าข้อบังคับดังกล่าวไม่น่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย และการให้ข้อบังคับนี้มีผลใช้บังคับในระหว่างการพิจารณาคดี ไม่น่าจะทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงที่ยากแก่การเยียวยาแก้ไขในภายหลัง เพราะหากต่อมาศาลวินิจฉัยว่าเป็นกฎที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลย่อมจะพิพากษาให้เพิกถอนกฎดังกล่าวได้
ประกอบกับการที่ศาลจะมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามข้อบังคับดังกล่าวย่อมจะส่งผลทำให้กระบวนการสรรหาอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่ดำเนินการอยู่ขณะนี้ ต้องล่าช้าออกไปและจะเป็นอุปสรรคแก่การบริหารงานของรัฐ ตามมาตรา 66 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ พ.ศ. 2542 และข้อ 72 วรรคสาม แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ฯ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2543 กรณียังไม่มีเหตุอันสมควรที่ศาลจะมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามข้อ 5 วรรคสาม ของข้อบังคับดังกล่าว ศาลปกครองเชียงใหม่จึงมีคำสั่งยกคำขอทุเลาการบังคับตามกฎของผู้ฟ้องคดีทั้งสิบสาม