‘ธปท.’ ร่วมมือ ‘สรรพากร-ภาคการเงิน-ภาคธุรกิจ’ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินและการชำระเงินสำหรับภาคธุรกิจ หนุนการทำธุรกรรมการค้าดิจิทัลครบวงจร ลดต้นทุนจัดส่งเอกสาร-เชื่อมโยงการออกใบเสร็จ พร้อมให้บริการสินเชื่อธุรกิจ
..................................
เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. น.ส.สิริธิดา พนมวัน ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายระบบการชำระเงินและเทคโนโลยีทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ ธปท. ภาคธุรกิจ ภาคการเงิน และภาครัฐ อยู่ระหว่างพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินและการชำระเงินสำหรับภาคธุรกิจ หรือ โครงการ Smart Financial and Payment Infrastructure for Business ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนให้ภาคธุรกิจสามารถทำธุรกรรมการค้าเป็นดิจิทัลอย่างครบวงจร ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และยกระดับการแข่งขันของภาคธุรกิจไทย
“ปัจจุบันการทำธุรกรรมทางการค้าส่วนใหญ่ยังใช้เอกสารกระดาษในกระบวนการซื้อขายระหว่างภาคธุรกิจจำนวนมากซึ่งมีต้นทุนสูง และใช้เวลา เช่น ต้นทุนในการนำส่งและจัดเก็บเอกสาร ความเสี่ยงที่จะเกิดความผิดพลาดและสูญหายของเอกสาร ระยะเวลาในการดำเนินงานของกระบวนการต่างๆ รวมถึงการชำระเงินข้ามธนาคาร การตรวจสอบข้อมูลการชำระ (reconcile) เพื่อบันทึกบัญชี การส่งมอบใบเสร็จรับเงิน และการเชื่อมต่อกับระบบของภาครัฐ โดยเฉพาะด้านภาษี ซึ่งโครงการนี้จะช่วยลดข้อจำกัดในการดำเนินธุรกิจแบบเดิมได้อย่างมีประสิทธิภาพ” น.ส.สิริธิดา กล่าว
สำหรับการพัฒนาโครงการในระยะแรก ประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่
ส่วนแรก คือ โครงสร้างพื้นฐานกลางที่ให้ผู้ใช้บริการส่งข้อมูลทางการซื้อขายสินค้า การชำระเงินและภาษี โดยในเบื้องต้นจะมี 3 บริการ คือ 1) บริการส่ง-รับใบแจ้งหนี้ทางดิจิทัล ที่จะช่วยให้การวางบิลเรียกเก็บเงินสะดวกขึ้น รวมถึงการนำส่งใบกำกับภาษีทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax invoice) 2) บริการการชำระเงินพร้อมข้อมูลการค้าที่จะช่วยให้ภาคธุรกิจมีข้อมูลในการตรวจสอบกระทบยอด (reconcile) ที่รวดเร็ว
และ 3) บริการการชำระเงินที่เชื่อมโยงกับการออกใบเสร็จรับเงิน ที่ช่วยกระบวนการทำงานของภาคธุรกิจมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้ ภาคธุรกิจสามารถเลือกใช้บริการจากบริการที่เหมาะสมกับความต้องการของภาคธุรกิจได้ ปัจจุบันระบบอยู่ในระหว่างการพัฒนาโดยคาดว่าจะเปิดให้บริการในครึ่งหลังปี 2565
ส่วนที่สอง คือ บริการให้สินเชื่อ หรือ digital supply chain financing ที่จะช่วยสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและเสริมสภาพคล่องให้กับภาคธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลที่จำเป็นของภาคธุรกิจที่ช่วยตรวจสอบ invoice รวมทั้งการให้สินเชื่อซ้ำซ้อน (double financing) ช่วยลดเวลาในการพิจารณาให้สินเชื่อ ซึ่งจะเริ่มเปิดในบริการภายในเดือน ธ.ค.2564 นี้
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวได้รับการออกแบบ โดยใช้ประโยชน์จากมาตรฐานข้อความการชำระเงิน ISO 20022 ที่เป็นมาตรฐานสากลซึ่งเอื้อให้สามารถส่งข้อมูลทางการเงินไปพร้อมกับการชำระเงิน ช่วยให้ภาคธุรกิจทำรายการซื้อขายสินค้าและชำระเงินทางดิจิทัลพร้อมได้รับข้อมูลที่เกี่ยวข้องอย่างครบวงจร
โดยผู้ขายสินค้าสามารถเรียกเก็บเงินตามใบแจ้งหนี้ (invoice) ทางอิเล็กทรอนิกส์ ผู้ซื้อสามารถชำระเงินตามใบแจ้งหนี้ได้สะดวกทางอิเล็กทรอนิกส์และชำระเงินข้ามธนาคาร ผู้ขายสามารถตรวจสอบข้อมูลการชำระเงินกับรายการเรียกเก็บเงินได้รวดเร็ว ถูกต้อง และเชื่อมโยงกับการส่งข้อมูลใบกำกับภาษี (e-Tax Invoice) และใบเสร็จรับเงิน (e-Receipt) ทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ เป็นการเชื่อมโยงข้อมูลการค้า การชำระเงิน และภาษีได้แบบครบวงจรทางดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ ยังช่วยสร้างให้ธุรกิจมี digital footprint ที่จะเพิ่มความน่าเชื่อถือของข้อมูลธุรกรรมการค้าและเพิ่มโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของภาคธุรกิจด้วยต้นทุนที่เหมาะสม โดยเฉพาะ SMEs รวมถึงสามารถต่อยอดบริการและนวัตกรรมใหม่ ๆ อันจะส่งผลให้เกิดการยกระดับความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจต่อไป
“ที่ผ่านมา ธปท. สนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินและการชำระเงินดิจิทัล เพื่อเอื้อให้เกิดการใช้งานร่วมกันของผู้ประกอบการภาคการเงิน ภาคธุรกิจและภาครัฐ ซึ่งจะส่งผลให้ประชาชนได้รับบริการทางการเงินต่าง ๆ ที่มีความสะดวก ปลอดภัย มีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังเช่นบริการพร้อมเพย์ที่ปัจจุบันมีการลงทะเบียนเพิ่มขึ้นเป็น 66.9 ล้านหมายเลข และมีการใช้งานสูงขึ้นต่อเนื่องมาโดยตลอดเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 29.5 ล้านรายการ คิดเป็นมูลค่า 9.41 หมื่นล้านบาทต่อวัน (ข้อมูล ณ เดือน ก.ย.2564)” น.ส.สิริธิดา กล่าว
สำหรับ ภาคธุรกิจ ภาคการเงิน และภาครัฐ ซึ่งร่วมกับธปท. พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินและการชำระเงินสำหรับภาคธุรกิจ อาทิ สมาคมธนาคารไทย กรมสรรพากร สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทย สำนักงานระบบการชำระเงิน (PSO) บริษัท เนชั่นแนล ไอทีเอ็มเอ๊กซ์ จำกัด (NITMX)