'หมอยง'เผยแยกทิ้งขยะติดเชื้อให้ถูกต้อง จะเป็นทางออกหนึ่งในการลดการระบาดของโรค ทั้งในภาวะปกติหรือในช่วงมีการระบาดของโรคติดต่อ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 26 พ.ย.2564 นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Yong Poovorawan ระบุว่า ในช่วงที่มีการระบาดของโควิตอย่างมาก ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะนอนโรงพยาบาลและมีส่วนหนึ่ง จะแยกกักตัวอยู่ที่บ้าน ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม จะเกิดมีขยะติดเชื้อเป็นจำนวนมาก
ในระยะหลังมีการทำ ATK และป้ายจมูกกันเป็นจำนวนมาก ก็จะเกิดขยะติดเชื้อเป็นจำนวนมากเช่นกันลองนึกภาพ ATK เป็นจำนวน หลายล้านชิ้น โอกาสที่เชื้อจะหลุดลงท่อน้ำทิ้งหรือในขยะที่ทิ้งเป็นประจำ ก็จะทำให้มีการตรวจพบเชื้อโควิดได้ ทีมของ นายจตุวัฒน์ แสงสานนท์ ภาควิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมคณะวิทยาศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทำการศึกษาหาพันธุกรรมของไวรัส โควิดจากน้ำที่บ่อบำบัดน้ำเสียในกทม.สามารถพบเชื้อไวรัสโควิดได้ มีความสัมพันธ์กับอัตราการระบาดของโรคในผู้ป่วยแต่ละวัน
DOI: 10.1016/j.scitotenv.2021.151169 ขณะที่ทำการศึกษา จำนวนผู้ป่วยยังมีจำนวนน้อย อย่างมากสุดเป็นหลักร้อยต่อวัน แต่เมื่อผู้ป่วยเป็นหลักหมื่นต่อวัน การตรวจน่าจะพบมากกว่านี้อีกมาก
จากข้อมูลดังกล่าว เป็นข้อเตือนใจอย่างดียิ่ง สำหรับทุกคน ในการกำจัดขยะติดเชื้อให้ถูกต้อง โดยเฉพาะควรจะต้องมีถุงแดงแยกเก็บขยะติดเชื้อ ในขณะที่ยังไม่มีการแยกทิ้งขยะให้ถูกต้อง ทางกทม.เองก็น่าจะมีการแยกขยะ โดยเฉพาะในช่วงที่มีการระบาดของโรคและมีการทำการกักตัวที่บ้าน การทำลายเชื้อโรคก่อนทิ้งก็จะเป็นวิธีออกทางหนึ่ง ในการตรวจ ATK แต่ละครั้งอุปกรณ์การตรวจต่างๆควรทำลายเชื้อเสียก่อน เช่นใช้แอลกอฮอล์ หรือน้ำยาล้างห้องน้ำ sodium hypochlorite ฆ่าเชื้อเสียก่อนที่จะทิ้ง
สำหรับบ้านเราแม้กระทั่งผ้าอ้อมเด็ก ที่เคยเสนอแนะ โดยเฉพาะโรคท้องเสียไวรัส rota และ noro ที่มักจะระบาดในหน้าหนาวในเด็กๆ การทิ้งผ้าอ้อมเด็กควรจะทำลายเชื้อเสียก่อน ด้วยวิธีการใช้น้ำยาล้างห้องน้ำ หรือแยกขยะได้จะเป็นการดียิ่ง
ทาง กทม. ก็น่าจะมีวิธีการแยกขยะติดเชื้อ ให้ความรู้กับประชาชนทั่วไป ในการแยกขยะและการทิ้งขยะให้ถูกต้อง จะเป็นทางออกวิธีหนึ่งในการลดการระบาดของโรค ไม่ว่าจะเป็นภาวะปกติ หรือในช่วงมีการระบาดของโรคติดต่อ
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/