'แอสตร้าเซนเนก้า' เผยข้อมูล 'แพทย์จุฬาฯ' ระบุว่า ผู้ป่วยโควิดมีโอกาสเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตัน-เกล็ดเลือดต่ำ มากกว่าการฉีดวัคซีน ชี้ประเทศไทยมีโอกาสเกิดน้อยกว่า 1 ใน 2,000,000 โดส แนะฉีดวัคซีนจะเป็นประโยชน์ทั้งต่อตนเองและระบบสาธารณสุข
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 21 ก.ย.2564 บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด เผยแพร่เอกสารข่าว ระบุ ข้อมูลจาก รศ.นพ.นภชาญ เอื้อประเสริฐ สาขาวิชาโลหิตวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่า ภาวะลิ่มเลือดอุดตันเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตในคนปกติ ซึ่งโรคหลอดเลือดแดงที่หัวใจอุดตัน หลอดเลือดแดงที่สมองอุดตัน และหลอดเลือดดำที่ขาอุดตัน เป็นภาวะลิ่มเลือดอุดตันที่พบบ่อยที่สุด 3 ลำดับแรกในประชากรทั่วไป
โดยปัจจัยเสี่ยงสำคัญของภาวะลิ่มเหลือดอุดตันในหลอดเลือดแดงที่หัวใจและสมองซึ่งเป็นภาวะที่พบบ่อยที่สุด มีหลายประการ ได้แก่ ความสูงอายุ ความอ้วน การสูบบุหรี่ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง และปัจจัยทางพันธุกรรม ขณะที่ภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำที่ขาเป็นภาวะหลอดเลือดดำอุดตันที่พบบ่อยที่สุด ปัจจัยเสี่ยงสำคัญได้แก่ สูงอายุ อ้วน การไม่ขยับเขยื้อนเป็นเวลานาน มะเร็ง ฮอร์โมนเพศหญิง (ยาคุมกำเนิด การตั้งครรภ์) และปัจจัยทางพันธุกรรม
"สำหรับผู้ป่วยโควิดนั้น มีความเสี่ยงของการเกิดลิ่มเลือดอุดตันสูงกว่าคนปกติทั่วไปหลายเท่า โดยจากการศึกษาแบบ meta-analysis ซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Thorax ปี 2021 โดยรวบรวมรายงานการศึกษาต่างๆ 102 การศึกษา พบว่า ผู้ป่วยโควิด เกิดหลอดเลือดดำอุดตันสูงถึง 15% และเพิ่มสูงถึง 23% ในผู้ป่วยโควิดที่เข้ารับการรักษาใน ICU ขณะที่พบผู้ป่วยโควิดมีภาวะหลอดเลือดแดงอุดตัน 4% นอกจากนี้ยังพบว่าภาวะลิ่มเลือดอุดตันในผู้ป่วยโควิด มีความรุนแรงและมีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่าภาวะลิ่มเลือดอุดตันในประชากรทั่วไป” รศ.นพ.นภชาญ กล่าว
รศ.นพ.นภชาญ กล่าวอีกว่า วัคซีนโควิดทุกชนิดมีความปลอดภัยสูง อย่างไรก็ตาม มีรายงานการเกิดหลอดเลือดดำที่สมองอุดตัน ร่วมกับภาวะเกล็ดเลือดต่ำภายหลังการฉีดวัคซีนโควิด ชนิดเวกเตอร์อะดีโนไวรัส (Adenoviral vectors) ในระยะเวลา 5-30 วัน โดยจะมีภาวะเกล็ดเลือดต่ำน้อยกว่า 150,000/µL ร่วมกับหลอดเลือดอุดตัน เรียกภาวะนี้ว่า ภาวะเกล็ดเลือดต่ำที่กระตุ้นการเกิดหลอดเลือดอุดตันจากภูมิคุ้มกันภายหลังได้รับวัคซีน หรือ vaccine-induced immune thrombotic thrombocytopenia (VITT)
รศ.นพ.นภชาญ กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาวะดังกล่าวจะมีความรุนแรง แต่ก็เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้น้อยมาก จากการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ของสมาคมโรคหัวใจของสหรัฐอเมริกา (Journal of American College of Cardiology 2021) พบว่า โอกาสการเกิดหลอดเลือดดำที่สมองอุดตันภายหลังฉีดวัคซีนเท่ากับ 3.6 ต่อ 1,000,000 คน ในขณะที่โอกาสเกิดหลอดเลือดดำสมองอุดตันจากการเป็นโรคติดเชื้อโควิด อยู่ที่ 207 ต่อ 1,000,000 คน ซึ่งความเสี่ยงของการเกิดหลอดเลือดดำที่สมองอุดตันจากการเป็นโควิดนี้มากกว่าความเสี่ยงจากการฉีดวัคซีนถึง 70-200 เท่า
การฉีดวัคซีนโควิดทุกชนิดไม่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดอุดตันทั้งหลอดเลือดแดงหัวใจ หลอดเลือดแดงสมอง และหลอดเลือดดำที่ขา เมื่อเปรียบเทียบกับอัตราการเกิดลิ่มเลือดอุดตันในประชากรทั่วไป สำหรับภาวะเกล็ดเลือดต่ำที่กระตุ้นการเกิดหลอดเลือดอุดตันจากภูมิคุ้มกันภายหลังได้รับวัคซีน หรือ VITT นั้นพบว่าโอกาสเกิดน้อยกว่า 1 ใน 100,000 โดสของการฉีดวัคซีนในประชากรยุโรป อย่างไรก็ตามข้อมูลจากประเทศอินเดียพบโอกาสของการเกิด VITT มีน้อยกว่า 1 ใน 1,000,000 โดส และสำหรับประเทศไทยพบโอกาสเกิด VITT น้อยกว่า 1 ใน 2,000,000 โดส
“การเกิดลิ่มเลือดอุดตันหลังฉีดซีนโควิดส่วนใหญ่ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดร่วม (coincidence) โดยมักเกิดจากโรคประจำตัว หรือปัจจัยเสี่ยงของผู้เข้ารับการฉีดวัคซีน โดยที่บางครั้งผู้ที่เข้ารับการฉีดวัคซีนไม่ทราบมาก่อนว่าตนเองมีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง มะเร็ง เป็นต้น” รศ.นพ.นภชาญ กล่าว
ดังนั้น แม้จะเป็นภาวะลิ่มเลือดอุดตันที่รุนแรงแต่ก็ไม่ใช่ภาวะแทรกซ้อนที่ต้องวิตกกังวลสำหรับการรับวัคซีนโควิดเนื่องจากโอกาสพบต่ำมาก อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีโรคประจำตัวต่างๆ ควรควบคุมโรคประจำตัวของตนเองให้ดี รับประทานยาและตรวจติดตามสม่ำเสมอซึ่งเป็นการป้องกันการเกิดลิ่มเลือดอุดตันจากโรคประจำตัวของตัวเองมากกว่าการป้องกันการเกิดลิ่มเลือดอุดตันจากวัคซีน
สำหรับอาการทั่วไปที่เกิดตามหลังการฉีดวัคซีน ได้แก่ เป็นไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ชาปลายนิ้วมือ หรือปวดตึงแขนด้านที่ฉีดยา มักจะหายไปเองภายใน 48-72 ชั่วโมง โดยไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษาเพิ่มเติมเป็นพิเศษ ดังนั้นหากมีอาการปวดศีรษะ ตามัว แขนขาอ่อนแรง ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ขาบวม เจ็บหน้าอก เหนื่อยหอบผิดปกติ เกิน 3 วันหลังฉีดวัคซีน หรือเป็นอาการที่เกิดใหม่หลังฉีดวัคซีนในระหว่าง 5-30 วันควรไปปรึกษาแพทย์
“ปัจจุบัน โอกาสเสียชีวิตจากการเป็นโรคโควิด สูงถึง 1-2% ซึ่งสูงกว่าความเสี่ยงของการฉีดวัคซีนโควิด อย่างมากนับพันเท่า การฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโควิดจึงมีประโยชน์อย่างมากทั้งต่อตัวเองในการป้องกันการติดเชื้อ หรือลดความรุนแรงของการติดเชื้อ รวมทั้งลดอัตราการเสียชีวิต ขณะเดียวกันยังเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันในหมู่ประชากร ควบคุมการติดเชื้อ และภาระต่อระบบสาธารณสุขของประเทศ" รศ.นพ.นภชาญ กล่าว
นอกจากนี้ จากการศึกษาในประเทศอิสราเอลพบว่า การติดเชื้อโควิด มีความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดอุดตันและการเกิดเลือดออกรุนแรง เช่น ในสมองสูงกว่าการฉีดวัคซีนอย่างมาก ดังนั้นนอกจากการฉีดวัคซีนจะเป็นการป้องกันการติดเชื้อโควิดแล้ว ยังลดโอกาสเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันหลังติดเชื้อโควิดอีกด้วย
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage