“...คำถามคือเมื่อคุณมีวัคซีนที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพไม่ว่าจะชนิดเดียวหรือมากกว่าหนึ่งชนิด คุณจะทำให้ประชาชนได้เข้าถึงวัคซีนได้อย่างรวดเร็วที่สุดอย่างไร...จำนวนโดสวัคซีนที่จะมีความพร้อมในช่วงเดือน ธ.ค. นั้นคงไม่พอที่จะฉีดให้กับคนหลายคนอย่างแน่นอน และคงต้องรอไปอีกหลายเดือนในปี 2564..."
--------------------
หลายประเทศน่าจะมีวัคซีนโควิด-19 ใช้ได้เป็นทางการในช่วงต้นปี 2564
คือ ความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับความคืบหน้าการผลิตวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 หรือโคโรน่าไวรัส ที่ปรากฏเป็นข่าวล่าสุด ณ เวลานี้
โดยเมื่อเร็วๆ นี้ สำนักข่าวการ์เดี้ยนของอังกฤษ ได้เผยแพร่รายงานข่าวประมวลความเห็นของบุคลากรด้านสุขภาพในหลายประเทศทั่วโลก ถึงช่วงระยะเวลาที่วัคซีนโควิด-19 จะมีความพร้อมสำหรับการใช้งานกับมนุษย์เป็นทางการ ซึ่งเสียงส่วนใหญ่มีความเห็นตรงกันว่า น่าจะมีวัคซีนใช้ได้ในช่วงเวลาประมาณต้นปี 2564 หลังจากที่มีการอนุมัติวัคซีนในช่วงสิ้นปี 2563 แล้ว
เริ่มต้นจาก นพ.แอนโทนี่ ฟาวซี่ ผู้อำนวยการสถาบันโรคติดเชื้อและโรคภูมิแพ้ของสหรัฐฯ หนึ่งในคณะทำงานพิเศษเพื่อต่อต้านโรคระบาดของทำเนียบขาว ได้ให้สัมภาษณ์ยืนยันเมื่อวันที่ 25 ต.ค.ที่ผ่านมาว่า จะมีการรู้ผลจนเป็นที่แน่ชัดในปลายเดือน พ.ย. ถึงต้นเดือน ธ.ค. ว่า วัคซีนนั้นจะปลอดภัยและมีประสิทธิภาพหรือไม่
นพ.แอนโทนี่ ฟาวซี่ ผู้อำนวยการสถาบันโรคติดเชื้อและโรคภูมิแพ้ของสหรัฐฯ (อ้างอิงรูปภาพจาก https://spectrumnews1.com/ky/lexington/health/2020/10/15/dr--anthony-fauci-recommends-against-big-thanksgiving-gatherings)
โดย นพ.ฟาวซี่ เคยถูกถามโดยสำนักข่าวบีบีซี ว่า ที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้กล่าวว่าจะมีวัคซีนโควิด-19 ออกมาก่อนช่วงสิ้นปีนั้นเป็นความจริงหรือไม่
นพ.ฟาวซี่ ได้ตอบกลับว่า เราจะรู้ว่าวัคซีนจะปลอดภัยหรือไม่ก็ในช่วงปลายเดือน พ.ย. ถึงต้นเดือน ธ.ค.
“คำถาม คือ เมื่อคุณมีวัคซีนที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพไม่ว่าจะชนิดเดียวหรือมากกว่าหนึ่งชนิด คุณจะทำให้ประชาชนได้เข้าถึงวัคซีนได้อย่างรวดเร็วที่สุดอย่างไร” นพ.ฟาวซี่ระบุ และกล่าวต่อว่าจำนวนโดสวัคซีนที่จะมีความพร้อมในช่วงเดือน ธ.ค. นั้นคงไม่พอที่จะฉีดให้กับคนหลายคนอย่างแน่นอน และคงต้องรอไปอีกหลายเดือนในปี 2564
แต่แน่นอนว่าบุคลากรทางการแพทย์จะเป็นคนกลุ่มแรกที่จะได้เข้าถึงวัคซีนใดก็ตาม พร้อมกับกลุ่มประชาชนที่มีปัญหาในด้านสุขภาพ ซึ่งมีโอกาสที่อาการจะทรุดหนักลงถ้าหากได้รับเชื้อไวรัสโควิด-19
“การแจกจ่ายวัคซีนนั้นอาจจะเริ่มต้นได้ในปลายปีนี้ ต้นเดือน ม.ค.,ก.พ.,มี.ค.ในช่วงปลายปีหน้าก็เป็นได้ เมื่อคุณพูดถึงจำนวนการฉีดวัคซีนในสัดส่วนประชากรที่มากพอจะไปหยุดวงจรการระบาดได้ สิ่งนี้จะต้องไม่เกิดขึ้นในช่วงไตรมาสสองหรือสามของปี 2564” นพ.ฟาวซี่กล่าว
ล่าสุด มีรายงานว่า วัคซีนที่มีการพัฒนาโดยนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด และบริษัทยาแอสตร้าเซนเนก้า ณ เวลานี้อยู่ที่การทดลองการรักษาด้วยระยะที่ 3 นั้นน่าจะเป็นวัคซีนชนิดแรกที่จะได้ใช้งานก่อนวัคซีนประเภทอื่นๆ
ทั้งนี้ การให้สัมภาษณ์ของ นพ.ฟาวซี่นั้น เกิดขึ้นหลังจากที่มีรายงานข่าวจากกระทรวงสาธารณสุขของอังกฤษ ระบุว่าจะเริ่มมีกระบวนการฉีดวัคซีนให้กับบุคลากรทางการแพทย์ที่อยู่ในแนวหน้า ภายในอีกไม่กี่สัปดาห์หลังจากนี้
โดยสำนักข่าวเดลี่เมล์ของอังกฤษได้เผยแพร่ข้อมูลบันทึกของ นพ.เกล็น เบอร์ลีย์ ประธานผู้บริหารเครือข่ายโรงพยาบาลในพื้นที่มิดส์แลนด์ของอังกฤษ ที่ว่าบุคลากรทางด้านสาธารณสุขของอังกฤษได้รับการแจ้งให้เตรียมพร้อมสำหรับโปรแกรมการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในช่วงต้นเดือน ธ.ค. นี้แล้ว
“ข้อมูลล่าสุดระบุว่าวัคซีนสำหรับไวรัสโคโรน่าน่าจะพร้อมในปีนี้ สำหรับทีมงานของหน่วยงานทางด้านสาธารณสุขจะเป็นผู้ที่ได้รับวัคซีนในช่วงก่อนวันคริสมาสต์นี้” เอกสารของนายเบอร์ลีระบุ
อย่างไรก็ตาม มีแหล่งข่าวในกระทรวงสาธารณสุขได้ออกมาชี้แจงว่า ขณะที่หลายโรงพยาบาลกำลังที่จะเตรียมแผนที่จะช่วงในการแจกวัคซีนเมื่อได้รับการอนุมัติ แต่กรอบเวลาที่นายเบอร์ลีได้รับมานั้นยังเป็นแค่การคาดการณ์เท่านั้น
“ยังไม่มีความคืบหน้าว่าวัคซีนจะมาถึงเมื่อไร ไม่มีการระบุวันที่ ไม่มีกำหนดการจากกระทรวงสาธารณสุขออกมา และมีแต่ความไม่พอใจในความไม่ชัดเจนเท่านั้น” แหล่งข่าวอาวุโสจากกระทรวงสาธารณสุขระบุ
ขณะที่นายแพทริค วอลแลนซ์ หัวหน้าคณะที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์ของรัฐบาลอังกฤษ ได้ให้ข้อมูลกับทางรัฐสภาอังกฤษว่า วัคซีนจะยังไม่พร้อมในประเทศอังกฤษจนกว่าจะถึงช่วงฤดูใบไม้ผลิ หรือประมาณวันที่ 20 มี.ค.
แต่ทางด้านรัฐบาลประเทศไอร์แลนด์ ก็ได้ออกมาแสดงความเห็นที่เป็นบวกเกี่ยวกับการผลิตวัคซีนเช่นกัน โดย นพ.ลีโอ วาร์รัดการ์ (Leo Varadkar) รองนายกรัฐมนตรีของไอร์แลนด์ ให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า เขาเชื่อมั่นว่าภายในไม่ถึง 2 เดือน น่าจะมีการอนุมัติวัคซีนออกมา และไม่น่าจะเกินช่วงไตรมาสแรกของปี 2564 ก็น่าจะมีการเริ่มฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มเสี่ยงต่อโรค
นพ.ลีโอ วาร์รัดการ์ (Leo Varadkar) รองนายกรัฐมนตรีของไอร์แลนด์ (อ้างอิงรูปภาพจาก https://news.sky.com/story/coronavirus-republic-of-ireland-could-begin-vaccinations-in-early-2021-says-leo-varadkar-12114248)
ส่วนความคืบหน้าที่ประเทศเยอรมนี นายเยนส์ ชพาห์น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเยอรมนี ได้ออกมาประมาณการณ์ช่วงเวลาเช่นกัน
โดยระบุว่าวัคซีนนั้นน่าจะมีความพร้อมได้ในช่วงต้นปี 2564 แต่คงต้องใช้เวลาประมาณ 6-7 เดือน จึงจะมีทรัพยากรวัคซีนที่เพียงพอสำหรับสร้างภูมิคุ้มกันให้กับชาวเยอรมนีได้มากเพียงพอ
นายเยนส์ ชพาห์น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเยอรมนี (อ้างอิงรูปภาพจาก:https://www.handelsblatt.com/english/politics/persuading-doctors-gadfly-minister-jens-spahn-takes-on-german-healthcare/23582092.html?ticket=ST-3255521-XfDrjvy5mqBVdYRccLR5-ap3)
ทั้งนี้ นอกจากประเด็นเรื่องการมีวัคซีนที่เพียงพอแล้ว อีกประเด็นหนึ่งที่ทางเยอรมนีต้องคำนึงถึงก็คือเรื่องการจัดเก็บวัคซีนด้วย
โดยมีรายงานข่าวจากกระทรวงสาธารณสุขเยอรมนีว่า ได้มีการวางแผนสร้างศูนย์เก็บวัคซีนแล้วจำนวนกว่า 60 ชนิดด้วยกัน เพื่อที่จะรับรองว่าจะสามารถเก็บวัคซีนได้ในอุณหภูมิที่เหมาะสม และยังได้ร้องขอให้อีก 16 รัฐทั่วประเทศเยอรมนี เตรียมตัวที่จะทำที่จัดเก็บวัคซีนให้แล้วเสร็จก่อนวันที่ 10 พ.ย.
ทั้งหมด คือ ความคืบหน้าการผลิตวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 หรือโคโรน่าไวรัส ในหลายประเทศทั่วโลกล่าสุด
(เรียบเรียงจาก:https://www.theguardian.com/world/2020/oct/25/hopes-rise-for-approval-of-coronavirus-vaccine-by-end-of-this-year)
ในขณะที่ประเทศไทย สำนักข่าวอิศรา รายงานข่าวไปแล้วว่า ในช่วงกลางเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุข และบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ บริษัท เอสซีจี และแอสตร้าเซนเนก้า ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลง MOU ว่า แอสตร้า เซนเนก้า จะมอบวัคซีนตัวอย่างที่ได้รับการรับรองแล้ว เพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตวัคซีน AZD 1222 ให้กับบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ เพื่อเริ่มต้นกระบวนการผลิตวัคซีนสำหรับคนไทย และประชากรในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จำนวนทั้งสิ้นกว่า 200 ล้านโดส คาดว่าจะผลิตแล้วเสร็จในช่วงเดือน ก.ค. 2564 นี้
(อ่านประกอบ:ผ่าปมร้อนวัคซีนโควิดไทย! ทำไม ออกซ์ฟอร์ด เลือกบ.สยามไบโอไซเอนซ์ ร่วมกระบวนการผลิต)
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage