“...ทั้งสองชื่อที่เสนอมา นายกนก ค่อนข้างไม่มีที่ตำหนิติเตียน ส่วนนายไพบูลย์ ผมไม่รู่จักเป็นการส่วนตัว แต่รู้จักผ่านข่าวสารมาโดยตลอด ฝ่ายผมรับไม่ได้จริงๆ ถ้าท่านไพบูลย์เป็น ผมอาจจะลาออก เพราะไม่ต้องการให้คณะรัฐมนตรีมาสั่ง และ กมธ. ควรทำงานอย่างอิสระ...” นายอดิศร กล่าวขณะที่มีการคัดเลือกประธาน กมธ.
ในการประชุมนัดแรกของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาติดตาม ตรวจสอบ การใช้เงินตาม พ.ร.ก. 3 ฉบับ เพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 วงเงิน 1.9 ล้านล้านบาท หรือที่มีชื่อเรียกสั้นๆว่า ‘กมธ.สอบงบโควิด’
ที่ประชุมมีวาระพิจารณาเลือกประธาน กมธ. เพื่อทำหน้าที่ควบคุมการประชุมตลอด 120 วันหลังจากนี้ โดยศึกครั้งนี้เป็นการชิงดำกันระหว่าง ส.ส.ซีกรัฐบาลด้วยกัน ระหว่าง ‘ไพบูลย์ นิติตะวัน’ ส.ส.พลังประชารัฐ และ ‘กนก วงษ์ตระหง่าน’ ส.ส.ประชาธิปัตย์
แม้สุดท้าย ‘ไพบูลย์’ คือคนที่ได้รับเลือกให้ทำหน้าที่ ผ่านการ ‘โหวตลับ’ และชนะด้วยคะแนน 28 ต่อ 19 เสียง และงดอออกเสียง 1 เสียง
ก่อนถึงวันนี้ชื่อของเขาถูกส่งออกจาก พปชร. ถึงวิปรัฐบาล และยกให้เป็นเต็งหนึ่งตั้งแต่ต้น ขณะที่ชื่อของ ‘กนก’ ถูกเสนอกลางวงประชุม โดย ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล หลังซีกฝ่ายค้านเรียงแถว ‘ไม่ไว้วางใจ’ การทำหน้าที่ของ ‘ไพบูลย์’
(ผลคะแนนการเลือกตั้งประธาน กมธ. ระหว่างนายไพบูลย์และนายกนก)
‘อดิศร เพียงเกษ’ กมธ.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตามหลักการ คนตรวจสอบเรื่องนี้ควรมาจากซีกฝ่ายค้าน เพื่อช่วยเหลือฝ่ายบริหารในการตรวจสอบการใช้งบประมาณ ดังนั้นคนที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งประธาน ย่อมเป็นคนที่สังคมทั่วประเทศไทยให้การยอมรับโดยไม่มีเงื่อนไข ต้องมีข้อติหรือข้อติงน้อยที่สุด
“ทั้งสองชื่อที่เสนอมา นายกนกค่อนข้างไม่มีที่ตำหนิติเตียน ส่วนนายไพบูลย์ ผมไม่รู่จักเป็นการส่วนตัว แต่รู้จักผ่านข่าวสารมาโดยตลอด ฝ่ายผมรับไม่ได้จริงๆ ถ้าท่านไพบูลย์เป็น ผมอาจจะลาออก เพราะไม่ต้องการให้คณะรัฐมนตรีมาสั่ง และ กมธ. ควรทำงานอย่างอิสระ” นายอดิศร กล่าว
‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ ส.ส.และหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า เราต้องการรักษาผลประโยชน์ให้กับประชาชน ควรให้ฝ่ายค้านทำการตรวจสอบให้การใช้เงินอย่างถูกทิศถูกทาง เมื่อวันก่อนนายกรัฐมนตรี แถลงปรับตัวแบบ New Normal ก็ควรที่จะต้องเริ่มทำจากเรื่องนี้ก่อน
“ถ้านายกฯจริงใจที่จะปรับเปลี่ยนโครงสร้างให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม การทำงานก็ต้องมีความยืดหยุ่น มีความรวดเร็วในแก้ปัญหา และควรแสดงความจริงใจแรกเริ่มด้วยการเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” นายพิธา กล่าว
‘มุข สุไลมาน’ ส.ส.และรองหัวหน้าพรรคประชาชาติ กล่าวว่า การเลือกประธานจะเป็นภาพแรกที่คนข้างนอกจะได้เห็น แล้วเขาจะยอมรับหรือร้องยี้ ก็จะดูตั้งแต่การเลือกประธาน ดูแล้วคงจะไม่ยอมรับเพราะเขารู้ประวัติหรือบทบาทที่ผ่านมาว่ามีความไว้วางใจหรือไม่มากน้อยแค่ไหน
“ผมอยากให้ กมธ.ชุดนี้มีความบริสุทธิ์ใจในการทำงาน เพื่อประโยชน์บ้านเมืองควรสละความเป็นส่วนตัว เลือกคนดีที่คิดว่าเชื่อว่าเขาสามารถนำสิ่งเหล่านี้ไปในทางที่ดีได้ตั้งแต่แรก” นายมุข กล่าว
‘วิสาร เตชะธีราวัฒน์’ ส.ส.เพื่อไทย กล่าวว่า อยากให้เราเริ่มทำงานด้วยความปรองดอง เพราะต้องทำงานกันอีกหลายเดือน สิ่งหนึ่งที่เป็นข้อคิดไว้คือ ยังไม่ทันประชุมกัน รัฐบาลก็ส่งนายไพบูลย์มาคุมเสียแล้ว
“ผมกับพรรคพวกหลายคนได้ยื่นไมตรีให้กับฝ่ายรัฐบาลทุกพรรค แต่ปรากฏว่า ท่านยืนยันว่าหัวเด็ดตีนขาดต้องเป็นคนนี้ อาจารย์ไพบูลย์กับผมไม่มีอะไรกัน แต่ว่ารัฐบาลทำแบบนี้ เข้าใจว่าเริ่มต้นก็จะถูกตำหนิ เสียหายหมด คนจะเข้าใจว่ารัฐบาลส่งอาจารย์ไพบูลย์มาคุมพวกเรา” นายวิสาร กล่าว
(บรรยากาศการลงคะแนนเลือกประธาน กมธ.สอบงบโควิด)
‘สมศักดิ์ คุณเงิน’ ส.ส.พลังประชารัฐ กล่าวว่า เราทุกคนในนี้เชื่อมั่นในระบบ ถ้าคิดว่าผู้นำมีความคับแคบ ก็คงไม่ได้ตั้ง กมธ.กันตั้งแต่ต้น อย่างไรก็ตามคนเป็นประธานใช้อำนาจตามอำเภอใจไม่ได้ เพราะต้องมีการลงมติกันทุกเรื่องอยู่แล้ว
“สภามอบหมายพวกเรา 49 คนมาทำภารกิจนี้ ย่อมได้รับการรับรองมาตรฐานเบื้องต้นว่า ทุกคนมีคุณสมบัติที่ดีที่จะนั่งเป็นประธานได้ ดังนั้นถ้ามีผู้เสนอชื่อ 2 คนก็ควรจะเข้าสู่กระบวนการคัดเลือก ไม่ต้องมาแสดงความเห็นส่วนตัวใส่กัน เพื่อให้เกียรติกันและกันจากนี้” นายสมศักดิ์ กล่าว
‘ณัฐวุฒิ ประเสริฐสุวรรณ’ ส.ส.ชาติไทยพัฒนา กล่าวในขณะที่มีการเสนอชื่อว่า ประธาน กมธ.จำเป็นต้องได้คนมีความรู้ความสามารถ เป็นที่ประจักษ์ของทุกคน และตนเห็นอยู่ท่านหนึ่ง เป็นคนที่มีความรู้ความสามารถเป็นอย่างยิ่ง คือ อาวุโสด้านวัยวุฒิ และอาวุโสด้านคุณวุฒิ เป็นที่ยกย่องในสังคมนักวิชาการ จึงขอเสนอชื่อ ‘กนก วงษ์ตระหง่าน’
“ผมเห็นท่านมีความตั้งใจ มีความปรารถนา ที่จะรักษาเงินของประชาชนที่จะต้องใช้หนี้กันจนถึงลูกหลาน หากรัฐบาลต้องการเห็นประสิทธิภาพการทำงาน รัฐบาลต้องใจกว้างกว่านี้ อย่ารับตำแหน่งประธานคณะนี้ แล้วจะสง่างามมากในสายตาประชาชนเป็นอย่างมาก” นายณัฐวุฒิ
‘ณัฐวุฒิ’ เล่าถึงสาเหตุที่เสนอชื่อบุคคลอื่นแทนที่จะสนับสนุน ‘ไพบูลย์’ ที่เป็นข้อเสนอจากซีกรัฐบาลด้วยกัน ว่า การทำหน้าที่ กมธ.ทุกคนต้องทิ้งความเป็นพรรค ไม่มีกลุ่ม ไม่มีข้าง และควรมองหาคนที่มีความเหมาะสมในการทำหน้าที่ ซึ่งนายกนก มีความพร้อมตามที่กล่าวไปข้างต้น
“ก่อนหน้านี้มีข่าวว่าจะมีการชี้คนนั้นคนนี้เป็นประธาน ผมก็ไม่อยากเห็นการชี้นำ กมธ.ชุดนี้ เพราะเราต้องตรวจสอบเงินจำนวนมาก ฉะนั้นถ้าได้คนที่มีลักษณะอย่างอาจารย์กนกมาทำหน้าที่ น่าจะเหมาะสมที่สุด” นายณัฐวุฒิ กล่าว
เขากล่าวด้วยว่า การตัดสินใจครั้งนี้ พรรคให้อิสระในการทำหน้าที่ของ ส.ส.อย่างเต็มที่ อะไรที่สมาชิกตัดสินใจแล้วเห็นว่าเหมาะสม พรรคจะไม่เข้ามาก้าวก่าย ขณะเดียวกันคิดว่าเรื่องนี้ไม่มีมติพรรคร่วม เพราะก่อนประชุมไม่มีใครมากำกับ และถือเป็นเรื่องดีที่ไม่มีใครมาคอยกำกับเรื่องนี้
(นายกนก วงษ์ตระหง่าน และ นายณัฐวุฒิ ประเสริฐสุวรรณ)
ด้าน ‘สุชาติ ชมกลิ่น’ ส.ส.พลังประชารัฐ ในฐานะประธาน ส.ส. ต้องรับบทประสานสิบทิศภายใน กมธ.กล่าวขณะการประชุมว่า ทั้ง 49 คนนี้มีคุณสมบัติครบทั้งคุณวุฒิและวัยวุฒิ ส่วนที่ทุกคนเป็นห่วงว่าการใช้เงินจะออกนอกลู่นอกทาง ขอเรียนว่าไม่ว่าใครจะเป็นประธาน ไม่ว่าจะเป็นนายไพบูลย์ หรือ นายกนก เชื่อว่าทุกคนจะพิจารณาในกรอบการใช้เงินที่กฎหมายกำหนดอยู่แล้ว
“ผมในฐานะสังกัดพรรคพลังประชารัฐยืนยันว่าจะต้องเสนอนายไพบูลย์ แต่ขอให้ยืนยันด้วยเกียรติและศักดิ์ศรี คงไม่มีใครอยากทำอะไรให้เป็นตราบาปกับลูกหลานเรา และเชื่อว่าทุกคนมีชื่อเสียงที่สะสมกันมายาวนาน คงไม่อยากให้ใครมาทำร้ายเกียรติและศักดิ์ศรีทั้งของตนเองและพรรคด้วย” นายสุชาติ กล่าว
‘สุชาติ’ ยืนยันว่า การเสนอชื่อแข่งกันใน กมธ. ไม่ใช่ภาพความขัดแย้งระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล แต่เป็นความสวยงามของประชาธิปไตย ที่ต่างฝ่ายต่างได้แสดงความเห็น ขณะเดียวกัน กมธ. ไม่มีการแบ่งข้าง จะมีก็แต่ กมธ.เสียงข้างมากหรือเสียงข้างน้อย และเชื่อว่า เมื่อผ่านการโหวตคัดเลือกไปแล้ว จะไม่มีใครติดใจอะไรกันอีก
“อย่าไปมองว่ามีการป่วนกัน ทีแรกเขาอาจจะมองว่ามีการล็อคคนเข้ามา แต่มีการโหวตลงคะแนนกันแล้ว ผมเชื่อว่านักการเมืองทุกคนยอมรับได้ เพราะเขาเห็นว่า ผ่านกระบวนการประชาธิปไตยแล้ว และนี่คือความสวยงามของสภาเรา” นายสุชาติ กล่าว
สำหรับ ‘ไพบูลย์’ ก่อนที่จะเดินทางมาถึงวันนี้ วันที่ต้องนั่งเก้าอี้ประธาน กมธ.สอบงบโควิด เงินกู้ก้อนสำคัญของรัฐบาล เส้นทางการเมืองในช่วงเลือกตั้งที่ผ่านมา มีหลายเรื่องที่น่าสนใจ
เขาเป็นอดีตหัวหน้าพรรคประชาชนปฏิรูป ที่หาเสียงเลือกตั้งด้วยแคมเปญน้อมนำคำสอนพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหาทุกข์ร้อนให้กับประชาชน กระทั่งได้รับคะแนนนิยม จนทำให้ตัวเขาเองเป็น ส.ส.หนึ่งเดียวของพรรค
หลังการเลือกตั้ง เขาเริ่มมีบทบาทต่อพรรคพลังประชารัฐ จากการประกาศเลิกพรรคตัวเอง ที่มีอายุได้เพียง 11 เดือน พร้อมย้ายเข้าสังกัดสมาชิกพรรคพลังประชารัฐเมื่อวันที่ 9 ก.ย.2562
21 ธันวาคม 2562 ในการประชุมใหญ่สามัญประจำปีพรรคพลังประชารัฐ เขาได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 17 กรรมการบริหารพรรคที่ได้รับเลือกเข้ามาเพิ่มเติม พร้อมได้รับตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค ทำให้จำนวนกรรมการบริหารพรรควันนั้นมีทั้งหมด 34 คน
1 มิถุนายน 2563 เขาเป็นผู้ส่งสัญญาณสำคัญอีกครั้ง หลังเป็นผู้แถลงข่าวยืนยันการลาออกของคณะกรรมการบริหารพรรค 18 คน ส่งผลให้ ‘อุตตม สาวนายน’ หัวหน้าพรรคต้องพ้นจากตำแหน่ง รวมถึง 34 กรรมการบริหารพรรคที่เหลือสถานะแค่ ‘รักษาการ’ รอการคัดเลือกใหม่ในวันที่ 27 มิ.ย.นี้
และถือเป็นอีกครั้งที่เขารับบท ‘ตัวเปิด’ เบิกทางให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐคนต่อไป
ข่าวประกอบ :
เลือก'ไพบูลย์'ประธาน กมธ.สอบเงินกู้โควิด หวิดวุ่น!พรรคร่วมรบ.-ฝ่ายค้านเสนอ'กนก'เข้าชิง
กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage