"...รัฐธรรมนูญสหรัฐฯได้มีการกำหนดให้รัฐสภานั้นเป็นผู้ร่วมกันกำหนดลำดับขั้นของผู้สืบทอดการเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ เอาไว้ ซึ่งรัฐสภาได้ร่วมกันกำหนดลำดับขั้นของผู้ที่จะมาเป็นประธานาธิบดีฯ ครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2490 ซึ่งผลจากการกำหนดลำดับขั้นในครั้งนั้นก็คือประธานรัฐสภา ที่ตอนนี้ก็คือนางแนนซี่ เพโลซี่ จากพรรคเดโมแครตจะขึ้นเป็นประธานาธิบดีต่อ แต่ปัญหาประการหนึ่งก็คือ รัฐธรรมนูญนั้นไม่ได้กำหนดเอาไว้ในเรื่องของการตีความว่าประธานาธิบดีขาดความสามารถในการปฏิบัติหน้านี้..."
หนึ่งในประเด็นการเมืองโลกอันเป็นผลสืบเนื่องมาจากสถานการณ์โควิด-19 หรือโคโรน่าไวรัส ที่ถูกกล่าวถึงกันมากที่สุดในสัปดาห์ที่ผ่านมา คือ กรณีที่ผู้ช่วยของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และนายไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ถูกวินิจฉัยว่าติดเชื้อโควิด 19 ทำให้สาธารณชนอเมริกันเป็นกังวลว่าเชื้อโควิด 19 ได้ระบาดเข้าถึงตัวผู้บริหารระดับสูงสหรัฐฯแล้ว
ล่าสุด สำนักข่าวบลูมเบิร์กของสหรัฐฯ ได้นำเสนอบทความที่ใช้ชื่อว่า จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากประธานาธิบดีสหรัฐฯติดโควิด 19 ระบุว่า ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับสหรัฐฯ ถ้าหากทั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯและรองประธานาธิบดีติดโควิด 19 มีหลายรูปแบบมาก ทั้งสภาวะการหยุดชะงักงันเป็นการชั่วคราวในการบริหารประเทศ ไปจนถึงวิกฤติการณ์รัฐธรรมนูญในการหาตัวผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแทน
โดยผู้เชี่ยวชาญหลายฝายได้ให้ทรรศนะที่แตกต่างกันไปถึงตัวผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ถ้าหากเกิดเหตุการณ์ต่างๆขึ้น
แต่สิ่งที่จะตามมาอย่างแน่นอน ถ้าหากมีการติดโควิด 19 ของประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี ก็คือ ผลกระทบทางการเมืองและเศรษฐกิจในแง่ลบอย่างรุนแรง
ส่วนจะเลวร้ายแค่ไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าอาการป่วยนั้นหนักขนาดไหน และขึ้นอยู่กับว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯจะหมดความสามารถในการบริหารประเทศหรือไม่
โดยนายเดวิด แอกเซลรอด อดีตที่ปรึกษาประธานาธิบดีบารัก โอบามา ได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบลูมเบิร์กเอาไว้ว่า ในสถานการณ์เช่นนี้ ทำเนียบขาวจะมีขั้นตอนในการปฏิบัติสำหรับทุกเหตุการณ์อยู่แล้ว ว่าจะต้องทำอย่างไร แม้กระทั่งเกิดสถานการณ์การก่อการร้าย หรือการโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์
นายเดวิด ยังกล่าวด้วยว่า อย่างไรก็ตาม สถานการณ์โรคระบาดที่ทำเนียบขาวกำลังเผชิญอยู่ ณ เวลานี้ ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเขาได้เคยคาดการณ์มาก่อน
ขณะที่นายเอียน เบรมเมอร์ ประธานบริษัท Eurasia Group ซึ่งเป็นบริษัทให้คำปรึกษาด้านความเสี่ยงทางการเมือง ได้ให้สัมภาษณ์ว่าหลังจากมีการวินิจฉัยอาการจนพบว่าติดเชื้อแล้ว สิ่งที่จะตามมาก็คือหุ้นในตลาดหุ้นที่จะตกทันที
อย่างไรก็ตาม นักเล่นหุ้นอาจจะยังคงสบายใจว่าจะไม่มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้น เพราะก่อนหน้านี้นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษก็เคยต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่เพราะติดโควิด 19 มาแล้วช่วงเวลาหนึ่ง และในช่วงที่นายบอริสหยุดปฏิบัติหน้าที่ เขาก็ไม่ได้ส่งมอบอำนาจให้ใครแต่อย่างใด เพียงแต่ให้นายโดมินิก ราห์บ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศปฏิบัติหน้าที่แทนเท่านั้น
“ถ้าหากนายทรัมป์ต้องกักตัวเอง แต่ยังคงมีอำนาจสั่งการรัฐบาล และยังคงทวิตเตอร์แบบที่เขาทำทุกวันนี้ ผมคิดว่าผลกระทบต่อตลาดหุ้นนั้นน่าจะน้อยมาก” นายเอียนกล่าว
แต่ถ้าหากอาการป่วยของประธานาธิบดีสหรัฐฯนั้นหนักมากจนกระทั่งทวิตเตอร์ไม่ไหว
ในข้อกฎหมายก็มีขั้นตอนปฏิบัติในการผ่องถ่ายอำนาจอีกเช่นกัน โดยในรัฐธรรมนูญสหรัฐฯที่ระบุไว้ในการปรับแก้ครั้งที่ 25 อนุญาตให้ประธานาธิบดีสหรัฐฯส่งต่ออำนาจการปฏิบัติหน้าที่ไปให้กับรองประธานาธิบดี และสามารถเรียกอำนาจนั้นคืนได้ ถ้าหากเห็นว่าตัวเองพร้อมปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งที่ผ่านมา นายจอร์จ ดับเบิลยู บุช อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ เคยทำเช่นนี้ 2 ครั้ง เนื่องจากต้องเข้ารับการรักษาพยาบาล และอดีตประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ก็เคยทำเช่นนี้เหมือนกัน ในตอนที่เขาได้รับบาดเจ็บจากการถูกลอบยิง
ดังนั้นถ้าหากนายโดนัลด์ ทรัมป์ จะต้องเข้าพักฟื้นถึงขั้นต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ รัฐธรรมนูญก็ยังคงเอื้อให้มีการส่งถ่ายอำนาจบริหารไปให้กับรองประธานาธิบดี และคณะรัฐมนตรีคนอื่นๆ
ส่วนทางด้านนายอิลยา ซอมิน ศาสตราจารย์ด้านนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัย จอร์จ เมสัน ได้กล่าวแสดงความเห็นว่า ถ้าหากสถานการณ์เลวร้ายจริงๆถึงขั้นที่ว่าทั้งประธานาธิบดี และรองประธานาธิบดีถึงแก่อสัญกรรมโดยกะทันหัน ก็มีการกำหนดแนวทางสำหรับสถานการณ์เอาไว้อยู่แล้วก็คือประธานรัฐสภาซึ่งตอนนี้คือนางแนนซี่ เพโลซี่จะต้องขึ้นดำรงตำแหน่งแทน
อย่างไรก็ตาม มีนักวิชาการอีกหลายคนได้ให้สัมภาษณ์ว่าอาจจะเกิดสถานการณ์ที่มีความโกลาหลตามมาได้ ถ้าหากทั้งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีนั้นไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้
เพราะว่ากฎหมายสหรัฐฯในปัจจุบันได้ให้รายละเอียดความชัดเจนการแก้ไขสถานการณ์เช่นนี้ไว้น้อยมาก
นายไบรอัน คอลท์ ศาสตราจารย์ด้านนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยมิชิแกน กล่าวว่า เหตุการณ์เช่นนี้จะนำไปสู่ความวุ่นวายและวิกฤติการณ์ทางรัฐธรรมนูญตามมาได้ เพราะจะต้องมีการส่งเรื่องไปให้ศาลตีความกฎหมาย และศาลก็ต้องจะต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างรวดเร็ว
เพราะว่าการไม่รู้ว่าใครคือประธานาธิบดีสหรัฐฯ แม้เพียงไม่กี่ชั่วโมงก็หมายถึงหายนะอันร้ายแรงสำหรับประเทศ
ซึ่งถ้าประธานาธิบดีสหรัฐฯและรองประธานาธิบดีไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ สภาวการณ์เช่นนี้จะไม่สามารถนำเอารัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขครั้งที่ 25 มาใช้งานได้
"รัฐธรรมนูญสหรัฐฯได้มีการกำหนดให้รัฐสภานั้นเป็นผู้ร่วมกันกำหนดลำดับขั้นของผู้สืบทอดการเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ เอาไว้ ซึ่งรัฐสภาได้ร่วมกันกำหนดลำดับขั้นของผู้ที่จะมาเป็นประธานาธิบดีฯ ครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2490 ซึ่งผลจากการกำหนดลำดับขั้นในครั้งนั้นก็คือประธานรัฐสภา ที่ตอนนี้ก็คือนางแนนซี่ เพโลซี่ จากพรรคเดโมแครตจะขึ้นเป็นประธานาธิบดีต่อ แต่ปัญหาประการหนึ่งก็คือ รัฐธรรมนูญนั้นไม่ได้กำหนดเอาไว้ในเรื่องของการตีความว่าประธานาธิบดีขาดความสามารถในการปฏิบัติหน้านี้" นายไบรอันระบุ
นายไบรอัน คอลท์ ศาสตราจารย์ด้านนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยมิชิแกน (อ้างอิงรูปภาพจาก:https://www.lenconnect.com)
นางแนนซี่ เพโลซี่ ส.ส.รัฐแคลิฟอร์เนีย พรรคเดโมแครต และประธานสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐอเมริกา (อ้างอิงรูปภาพจาก https://www.independent.co.uk/)
ซึ่งประเด็นนี้จะนำไปสู่ความขัดแย้งในการตีความว่าใครจะได้เป็นประธานาธิบดีกันแน่ เพราะอาจจะเกิดกรณีที่นางแนนซี่ประกาศตัวว่าเป็นประธานาธิบดี พร้อมๆ กับในเวลาเดียวกันกับที่ทั้งประธานาธิบดีทรัมป์ฯ รองประธานาธิบดีเพนซ์ หรือฝ่ายกฎหมายที่เกี่ยวข้องได้ประกาศตัวเช่นกันว่า เขานั้นมีคุณสมบัติเหมาะสมในการเป็นประธานาธิบดีอยู่
อย่างไรก็ดี ปัญหาเรื่องการสืบทอดตำแหน่งประธานาธิบดีนั้นเคยเกิดมาแล้วครั้งหนึ่ง ในช่วงคดีวอเตอร์เกต เมื่อนายสปิโร แอกนิว รองประธานาธิบดีสหรัฐฯในสมัยประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน ได้ลาออกจากตำแหน่ง และส่งต่อตำแหน่งให้กับนายเจอร์รัล ฟอร์ดเป็นรองประธานาธิบดีสหรัฐ
ในช่วงเปลี่ยนผ่านการดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีขณะนั้น ปรากฏว่ามีระยะเวลาถึง 8 สัปดาห์ด้วยกันที่ตำแหน่งรองประธานาธิบดีสหรัฐฯได้ว่างลง ในช่วงเวลาที่นายคาร์ล อัลเบิร์ต ประธานรัฐสภาจากพรรคเดโมแครต ได้เข้าสาบานตนเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ และได้ทำหน้าที่รักษาการประธานาธิบดีช่วงระยะเวลาหนึ่ง ก่อนที่เจอร์รัล ฟอร์ดจะได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯในเวลาต่อมา
ทางด้านของไบรอัน คอลท์ ศาสตราจารย์ด้านนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยมิชิแกน ยังได้เคยรียกร้องด้วยว่า สหรัฐฯควรจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้เกิดความชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะถ้าหากเกิดปัญหาทั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯและรองประธานาธิบดีสหรัฐฯไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้
เหตุการณ์ดังกล่าวก็ควรจะมีความชัดเจนไปเลยว่ารัฐมนตรีที่มีความสำคัญในลำดับถัดไปคือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ซึ่งตอนนี้คือนายไมค์ ปอมเปโอ สมควรที่จะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งประธานาธิบดีในลำดับ 3 ต่อจากรองประธานาธิบดี
นายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ อ้างอิงรูปภาพจาก (https://justthenews.com/)
แต่อย่างไรก็ดี แม้จะมีความกังวลต่างๆออกมามากมาย เกี่ยวกับประเด็นเรื่องโควิด 19 ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อตำแหน่งผู้นำสูงสุดของประเทศ
แต่ล่าสุดทางทำเนียบขาวได้ออกมายืนยันแล้วว่าทั้งประธานาธิบดีทรัมป์ และรองประธานาธิบดีเพนซ์ นั้นได้รับการตรวจหาเชื้อโควิด 19 อยู่สม่ำเสมอ และยังมีความพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่บริหารประเทศต่อไป
เรียบเรียงจาก: https://www.bloomberg.com/news/articles/2020-05-13/what-happens-if-the-president-tests-positive-for-coronavirus
กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage