"...ผู้ประกอบการประเมินว่าการระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่จะจบลงใน 3 เดือน ซึ่งทำให้ภาคท่องเที่ยวสูญเสียรายได้ 6-7.5 หมื่นล้านบาท และกว่าที่การท่องเที่ยวจีนจะฟื้นตัวก็ต้องใช้เวลาอีก 3 เดือน จึงเท่ากับว่ารายได้ของภาคการท่องเที่ยวจะหายไปไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท..."
นับเป็นการเริ่มต้นศักราชใหม่ที่สาหัสสากรรจ์ เพราะเพียงไม่ถึง 1 เดือน เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับวิกฤตย่อมๆมาแล้ว 3 ระลอก และส่งผลให้แนวโน้มเศรษฐกิจในปี 2563 มีทิศทางที่ไม่สดใสนัก
ระลอกแรก วิกฤติความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ-อิหร่านครั้งใหม่ หลังสหรัฐฯสังหารนายพลอิหร่าน ส่งผลให้ราคาน้ำมันถีบตัวสูงขึ้นก่อนลดลงสู่ระดับปกติ และแม้ว่าความขัดแย้งจะไม่ลุกลามเป็นสงครามโลก แต่ก็ทำให้เศรษฐกิจและการค้าโลกอยู่ในความ ‘เสี่ยง’ และจะกระทบต่อการส่งออกไทยระยะต่อไป
ระลอกสอง ร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี’ 63 ที่ส่อ ‘โมฆะ’ เหตุ ส.ส.เสียบบัตรแทนกัน ซึ่งจะทำให้ ร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี’ 63 ต้องล่าช้าไปอย่างน้อย 1-2 เดือน หลังจากดีเลย์มาแล้ว 4 เดือน ส่งผลให้เม็ดเงินของภาครัฐที่ใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน ‘ไม่มาตามนัด’ ท่ามกลางการส่งออกไทยที่มีแนวโน้มฟื้นอย่างเชื่องช้า
ล่าสุดระลอกสาม วิกฤติ ‘ไวรัสโคโรน่า’ สายพันธุ์ใหม่ จากเมืองอู่ฮั่นในประเทศจีน ที่กำลังแพร่ระบาดในจีนและทั่วโลก แม้ว่าจะมีความคล้ายคลึงกับการระบาดของโรคซาร์ส (SARS) เมื่อปี 2546 แต่สถานการณ์การแพร่ระบาดรุนแรงมากกว่า
กระทั่งทางการจีนต้องสั่งปิดเมืองอู่ฮั่น ซึ่งเป็นศูนย์กลางการระบาด พร้อมทั้งสั่งเฝ้าระวังเมืองสำคัญอีกหลายเมือง และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน สั่งห้ามทัวร์จีนออกนอกประเทศ รวมทั้งห้ามขายแพ็กเกจเที่ยวบินและโรงแรมให้ชาวจีนที่ต้องการเดินทางไปต่างประเทศ เป็นเวลา 3 เดือน หรือตั้งแต่ 27 ม.ค.-เม.ย.2563
มีการประเมินว่าการระบาดของไวรัสโคโรน่า 2019 จะสร้างความเสียหายให้กับภาคการท่องเที่ยว และเศรษฐกิจไทย '3 เท่าตัว' เมื่อเทียบกับการระบาดของโรคซาร์สครั้งก่อน ซึ่งนักท่องเที่ยวต่างชาติหายไป 1 ล้านคน ในห้วงเวลาเพียง 3 เดือนเศษ และทำให้ไทยต้องสูญรายได้ 3.1 หมื่นล้านบาท
เนื่องจากปัจจุบันจีนเป็นนักท่องเที่ยวอันดับ 1 ของไทย และในช่วง 17 ปีที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวจีนเพิ่มขึ้นเกือบ 14 เท่าตัว หรือเพิ่มขึ้นจาก 7.97 แสนคนในปี 2545 เป็น 10.99 ล้านคนในปี 2562 หรือคิดเป็นสัดส่วนเกิน 1 ใน 4 ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดของไทยที่มีจำนวน 39.7 ล้านคน
“จากช่วงตรุษจีนจนถึงเดือนเม.ย. ปกติจะมีนักท่องเที่ยวจีนมาไทย 2.7 ล้านคน ซึ่งการระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ที่ยังรุนแรง คาดว่าจะทำให้นักท่องเที่ยวจีนลดลงประมาณ 70% หรือ 1.89 ล้านคน แต่หากทางการจีนควบคุมการระบาดได้เร็ว ผลกระทบจะน้อยกว่านี้” ยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ประเมิน
หากคิดจากค่าใช้จ่ายรายหัวของนักท่องเที่ยวจีนที่อยู่ที่ 5 หมื่นบาท/ทริป จะพบว่าในช่วง 3 เดือนของปีนี้ ไทยจะสูญเสียรายได้จากนักท่องเที่ยวจีนอย่างน้อย 9.45 หมื่นล้านบาทเลยทีเดียว
ยุทธชัย สุนทรรัตนเวช รองประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ว่า การที่จีนสั่งห้ามทัวร์จีนออกนอกประเทศ ส่งผลให้นักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางแบบกรุ๊ปทัวร์หายไป 4-5 แสนคน/เดือน หรือคิดเป็น 60% ของนักท่องเที่ยวจีนที่มีเที่ยวไทย 8 แสนคน/เดือน หรือคิดเป็นรายได้ที่หายไปเดือนละ 2-2.5 หมื่นล้านบาท
“เมื่อนำค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวจีนที่อยู่ที่ 5 หมื่นบาท/คน/ทริป มาคูณกับคนจีนที่เที่ยวแบบกรุ๊ปทัวร์ที่หายไป 4-5 แสนคน/เดือน จะทำให้ภาคการท่องเที่ยวไทยสูญเสียรายได้อย่างน้อยเดือนละ 2-2.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งยังไม่รวมรายได้จากนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางด้วยตัวเองที่มีแนวโน้มท่องเที่ยวลดลงด้วย” ยุทธชัยกล่าว
ยุทธชัย ระบุว่า ขณะนี้ผู้ประกอบการประเมินว่าการระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่จะจบลงใน 3 เดือน ซึ่งทำให้ภาคท่องเที่ยวสูญเสียรายได้ 6-7.5 หมื่นล้านบาท และกว่าที่การท่องเที่ยวจีนจะฟื้นตัวก็ต้องใช้เวลาอีก 3 เดือน จึงเท่ากับว่ารายได้ของภาคการท่องเที่ยวจะหายไปไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท
ยุทธชัย สุนทรรัตนเวช
ยุทธชัย ยังแสดงความกังวลว่า การแพร่ระบาดของโรคที่ติดมากับชาวจีน ทำให้คนไทยบางส่วนเริ่มมีพฤติกรรมไม่ต้อนรับและไม่อยากให้นักท่องเที่ยวจีนเข้าประเทศไทย ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทยได้ แต่ในขณะเดียวกัน หากรัฐบาลไทยปล่อยให้มีผู้ติดเชื้อชาวจีนในไทยเพิ่มขึ้น ก็จะทำให้นักท่องเที่ยวอาเซียนไม่มาไทยเช่นกัน
“ตอนนี้เรากังวลและต้องการให้รัฐบาลรับมือ 3 เรื่อง คือ 1.ต้องป้องกันไม่ให้มีผู้ติดเชื้อในไทยเพิ่มขึ้น 2.ต้องป้องกันไม่ให้มีการแพร่เชื้อจาก ‘คนสู่คน’ ในประเทศไทย และ3.ควรมีการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค พร้อมๆกับการดูแลไม่ให้ชาวจีนมีทัศนคติที่เป็นลบในการเดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทย” ยุทธชัยกล่าว
ยุทธชัย เสนอว่า รัฐบาลควรมีมาตรการพักหนี้ให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวเป็นเวลา 6 เดือน และผ่อนปรนเงื่อนไขในการกู้เงินให้กับผู้ประกอบการ เนื่องจากหลักเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ค่อนข้างเข้มงวด ทำให้ผู้ประกอบการกู้เงินไม่ได้ แม้ว่ารัฐบาลจะอนุมัติวงเงินสินเชื่อให้ไว้ก็ตาม
แต่ทว่าในมุมมองของ เชาว์ เก่งชน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กลับมองต่างออกไป โดย เชาว์ กล่าวกับสำนักข่าวอิศรา ว่า หากการระบาดของโรคเกิดขึ้นเพียงสั้นๆ ไม่เกิน 1 เดือน จะไม่กระทบต่อประมาณการนักท่องเที่ยวจีนทั้งปี 2563 ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 11.1-11.3 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้น 1-2.8% จากปีที่แล้ว ส่วนในระยะสั้นคงจะผลกระทบบ้าง แต่จะเพิ่มขึ้นในระยะต่อไป
“การห้ามทัวร์จีนออกและเหตุการณ์จบไม่เกิน 1 เดือน เพื่อระงับการระบาดของโรค แม้ว่าจะผลกระทบระยะสั้น แต่ในช่วงถัดไปนักท่องเที่ยวจีนจะกลับมาฟื้นตัว โดยเรายังคงตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนทั้งปี 2563 ว่าจะอยู่ที่ 11.10 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้น 1% และทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติในไทยทั้งหมดอยู่ที่ 40.5 ล้านคนหรือเพิ่มขึ้น 1.8%” เชาว์กล่าว
อย่างไรก็ตาม หากการระบาดของโรคยืดเยื้อออกไปตั้งแต่ 1-3 เดือน ศูนย์ฯคาดจะทำให้นักท่องเที่ยวจีนลดลงเหลือ 10.77-10.94 ล้านคน หรือติดลบ 0.5-2% จากปีที่แล้ว หรือคิดเป็นรายได้จากนักท่องเที่ยวจีนที่หายไปประมาณ 40,000 ล้านบาท และจะทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งปี 2563 อยู่ที่ 40.1 ล้านคน ซึ่งยังเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 0.8%
เชาว์ ระบุว่า หากการแพร่ระบาดยืดเยื้อนานกว่า 3 เดือนขึ้นไป หรือพบว่ามีการแพร่ระบาดจากในประเทศไทยเพิ่มขึ้น หรือพบการติดเชื้อจาก 'คนสู่คน' ในประเทศไทย ศูนย์ฯจะต้องทบทวนประมาณการจำนวนและรายได้นักท่องเที่ยวต่างชาติใหม่ทั้งหมด เพราะประเด็นเหล่านี้มีผลให้นักท่องเที่ยวชาติอื่นๆยกเลิกไม่มาเที่ยวไทย
“ถ้าเกิน 1 เดือน เกิน 3 เดือน อันนี้จะเป็นอีกกรณีหนึ่งแล้ว และหากการแพร่ระบาดของโรค ลากยาวไปถึงช่วงฤดูการท่องเที่ยวของไทย (ไฮซีชั่น) ด้วย ตรงนี้จะมีผลกระทบมาก แต่หากเหตุการณ์จบเร็ว ตัวเลขผู้ติดเชื้อในไทยไม่ได้เพิ่มขึ้น และมาตรการของภาครัฐสร้างความมั่นใจให้เขาได้ เราเชื่อว่านักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งปีจะไม่กระทบ” เชาว์กล่าว
อย่างไรก็ดี การประเมินผลกระทบจากไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 ตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่า จะต้องไม่มีการติดเชื้อจาก ‘คนสู่คน’ ในประเทศไทย จากปัจจุบันที่พบเพียงชาวจีน 8 รายที่ติดเชื้ออยู่แล้วก่อนจะมาประเทศไทย แต่หากพบว่ามีการติดเชื้อในประเทศไทย ทางศูนย์วิจัยฯจะต้องทบทวนประมาณการตัวเลขนักท่องเที่ยวใหม่เช่นกัน
ในขณะที่การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ ได้กลายเป็นมรสุมระลอกใหม่เข้า ‘ซ้ำเติม’ เศรษฐกิจไทย จึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และหน่วยงานภาครัฐ ต้องมีมาตรการรับมือแต่เนิ่นๆและเข้มข้น เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจไทยบอบช้ำไปมากกว่านี้
อ่านประกอบ : ร่างพ.ร.บ.งบปี’ 63 ส่อ ‘แท้ง’ ซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยซบยาว
"ดอน"ยัน 64 คนไทยใน"อู่ฮั่น"ยังปลอดภัย ประสานจีนช่วยเต็มที่
นายกฯเตรียมออกแถลงการณ์ "ไวรัสโคโรนา-PM2.5"
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/