
การยุบสภาของนายอนุทินทำให้ความขัดแย้งชายแดนที่ทวีความรุนแรงขึ้นและมีความซับซ้อนมากขึ้น ในขณะที่นายอนุทินเข้ารับตำแหน่งรักษาการนายกรัฐมนตรีที่มีข้อจำกัด ประเทศไทยก็กำลังเตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้งกะทันหันที่อาจวุ่นวายภายในสองเดือน นี้
สืบเนื่องจากข่าวสถานการณ์การสู้รบชายแดนไทยและกัมพูชา ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่าการสู้รบจะสิ้นสุดเมื่อใด แม้ว่าหลายประเทศได้แสดงท่าทีว่าต้องการให้ทั้งไทยและกัมพูชา เคารพปฏิญญาสันติภาพที่ทำไว้ที่ประเทศมาเลเซียเมื่อเดือนตุลาคมก็ตาม
ล่าสุดเมื่อวันที่ 14 ธ.ค.ที่ผ่านมา วิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์ ลอนดอน มหาวิทยาลัยกรุงลอนดอน เหตุใดการเมืองภายในประเทศจึงยิ่งทำให้ความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาซับซ้อนขึ้น
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงได้นำเอาบทความดังกล่าวมานำเสนอ มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
ความขัดแย้งชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชา ซึ่งเคยปะทุขึ้นเมื่อเดือน ก.ค. ได้กลับมาปะทุอีกครั้งเมื่อวันที่ 7 ธ.ค. มีรายงานผู้เสียชีวิตมากกว่า 20 ราย ซึ่งรวมถึงพลเรือนไทย 4 ราย และพลเรือนกัมพูชา 11 ราย จากการปะทะกันที่กลับมาเกิดขึ้นใหม่ตั้งแต่นั้นมา
ผู้คนอีกครึ่งล้านคนต้องอพยพออกจากพื้นที่ชายแดนทั้งสองประเทศ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นไม่ถึงสองเดือนหลังจากที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีไทย และ พล.อ. ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้ลงนามในข้อตกลงสันติภาพนอกรอบการประชุมสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน มาเลเซีย นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีส่วนช่วยในการเป็นผู้ไกล่เกลี่ยยุติความขัดแย้ง ได้เรียกข้อตกลงนี้ว่า "เป็นประวัติศาสตร์"
ประธานาธิบดีทรัมป์ยืนยันเรื่องความขัดแย้งไทยและกัมพูชามีความคืบหน้า (อ้างอิงวิดีโอจาก AFP)
แล้วทำไมทั้งสองประเทศถึงต้องต่อสู้กันอีกครั้ง?
สำหรับนายอนุทิน ข้อตกลงสันติภาพได้สร้างความท้าทายภายในประเทศอย่างชัดเจน เนื่องจากความขัดแย้งชายแดนได้นำไปสู่การแสดงออกถึงความรู้สึกชาตินิยมสุดขีด เขามารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หลังจากที่ น.ส.แพทองธารถูกปลดจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเนื่องจากมีท่าทีประนีประนอมกับกัมพูชามากเกินไป
นายอนุทินขึ้นสู่อำนาจเมื่อต้นเดือน ก.ย. ด้วยการสนับสนุนจากพรรคประชาชน ซึ่งเป็นหัวก้าวหน้าในประเทศ เขายินยอมที่จะนำรัฐบาลเสียงข้างน้อยและจัดการเลือกตั้งใหม่ภายในสี่เดือนหลังจากเข้ารับตำแหน่ง ตั้งแต่นั้นมา
นายอนุทินได้พยายามที่จะเพิ่มโอกาสให้ตัวเองและพรรคภูมิใจไทยในการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยการเอาใจกองทัพไทยที่มีอิทธิพลและกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวไทยฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากทั้งสองกลุ่มนี้ได้รับแรงสนับสนุนจากความขัดแย้ง
นายอนุทินจึงไม่สามารถแสดงความอ่อนแอได้ เขาได้เรียนรู้เรื่องนี้ในเดือน พ.ย. เมื่อเขาต้องออกมาขอโทษต่อสาธารณะเกี่ยวกับการสื่อสารที่ผิดพลาดเรื่องเกี่ยวกับกรณีการรุกล้ำพรมแดน
หลังจากนั้นไม่นานนายกรัฐมนตรีไทยได้พยายามเพิ่มความนิยมให้กับตัวเอง โดยประกาศว่าจะนำบันทึกความเข้าใจหรือ MOU ทวิภาคีสองฉบับเกี่ยวกับความขัดแย้งชายแดนตั้งแต่ต้นปี ค.ศ.2000 ไปลงประชามติ บันทึกความเข้าใจดังกล่าวผูกมัดทั้งสองประเทศให้ทำงานร่วมกันในการปักปันเขตแดนทางบกและทางทะเลที่มีข้อพิพาท แต่ผลโพลจากการสำรวจแสดงให้เห็นว่าคนไทยจำนวนมากจะสนับสนุนการลงประชามติเพื่อระงับบันทึกความเข้าใจเหล่านั้น
จากนั้นในวันที่ 10 พ.ย.ที่ผ่านมา นายอนุทินได้จุดชนวนไฟชาตินิยมให้รุนแรงขึ้นไปอีกโดยการระงับการบังคับใช้ข้อตกลงสันติภาพ เขาได้กล่าวหากัมพูชาว่ามีการวางทุ่นระเบิดใหม่ในพื้นที่ชายแดนที่มีข้อพิพาท หลังจากที่ทหารไทยหลายนายได้รับบาดเจ็บระหว่างการลาดตระเวนตามปกติ
นอกเหนือจากโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้น ตามมาด้วยหลักฐานที่น่าเชื่อถือ นี่เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับนายอนุทินในการเสริมสร้างความน่าเชื่อถือในฐานะ โดยเล่นประเด็นชาตินิยมและซื้อใจกองทัพ นายกรัฐมนตรีไทยได้เยี่ยมทหารที่ได้รับบาดเจ็บ ร้องไห้ที่ข้างเตียงโรงพยาบาล และอนุญาตให้กองทัพใช้กำลังเต็มที่เพื่อปกป้องอธิปไตยของประเทศไทย
ทั้งนี้กองทัพไทยไม่เคยอยู่ภายใต้การควบคุมของพลเรือนอย่างสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม ความเต็มใจของนายอนุทินที่ปล่อยให้กองทัพจัดการกับความขัดแย้งชายแดนโดยไม่สำรวจทางเลือกทางการทูตเพิ่มเติม ได้สะท้อนให้เห็นถึงภาพที่กองทัพไทยพยายามจะสื่อมาตลอดว่ากองทัพเป็นผู้เสียสละในการเป็นผู้ค้ำประกันประเทศชาติ
ด้วยเหตุนี้ นายอนุทินจึงสามารถใช้ประโยชน์และเข้าถึงความนิยมที่กำลังพุ่งสูงขึ้นของกองทัพในหมู่ประชาชนชาวไทย กล่าวคือ เขาใช้ภาพลักษณ์ที่ดีและคะแนนนิยมของกองทัพเพื่อเสริมสร้างความนิยมของตนเอง หรือเพื่อได้รับการสนับสนุนจากประชาชนสำหรับบทบาทของเขาในการจัดการกับความขัดแย้งชายแดน
หลังจากก่อนหน้านี้ นายอนุทินต้องเผชิญกับปัญหาและข้อวิจารณ์มากมาย ทั้งเรื่องการจัดการปัญหาน้ำท่วมที่ผิดพลาดที่หาดใหญ่ ข้อถกเถียงว่าบุคคลระดับสูงในรัฐบาลไปเกี่ยวข้องกับนายเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ ผู้ต้องสงสัยว่าเป็นอาชญากรข้ามชาติในคดีสแกมเมอร์ ซึ่งทั้งสองเรื่องนี้ทำให้เกิดข้อสงสัยเรื่องเจตจำนงในการต่อต้านการทุจริตบ่อนทำลายความนิยมและของนายอนุทินเป็นอย่างยิ่ง
ความตึงเครียดชายแดนที่ทวีความรุนแรงขึ้นได้เบี่ยงเบนความสนใจชั่วคราวจากปัญหาภายในประเทศ โดยวันที่ 11 ธ.ค. เพียงห้าวันหลังจากการสู้รบปะทุอีกครั้ง นายอนุทินก็ประกาศยุบสภา ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิด เพราะก่อนหน้านี้มีการประกาศว่าการยุบสภาจะเกิดในช่วงปลายเดือน ม.ค.
แต่นายอนุทินเผชิญกับการลงมติไม่ไว้วางใจที่อาจเกิดขึ้นจากความไม่เห็นด้วยกับพรรคประชาชนเกี่ยวกับวิธีการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ร่างโดยทหารของประเทศไทย ในฐานะผู้นำรัฐบาลเสียงข้างน้อย นายอนุทินไม่น่าจะรอดจากการลงมติไม่ไว้วางใจ ดังนั้นเขาจึงยุติปัญหาล่วงหน้า จนำทำให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น
@กลยุทธ์เบี่ยงเบนความสนใจของกัมพูชา
สำหรับกัมพูชา พล.อ.ฮุน มาเนตก็ไม่พ้นจากแรงกดดันภายในประเทศเช่นกัน เขากำลังเผชิญกับปัญหาการชะลอตัวของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ขัดแย้งกับวาระการพัฒนาซึ่งได้เคยประกาศไว้
ความขัดแย้งชายแดนมีส่วนทำให้เกิดปัญหานี้ แต่ปัญหาภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และการลงทุนที่ลดลงจากจีน ซึ่งเป็นคู่ค้าหลักและเป็นที่มาของนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ที่สุดของกัมพูชา ก็เป็นสาเหตุด้วยเช่นกัน
ตอนนี้ พล.อ.ฮุน มาเนตสามารถใช้ประโยชน์จากผลกระทบชายแดนเพื่อสร้างปรากฏการณ์รวมใจเป็นหนึ่งเดียวของคนในชาติเพื่อสนับสนุนผู้นำและประเทศชาติในยามวิกฤตหรือความขัดแย้งชายแดน เพื่อจะเบี่ยงเบนความสนใจของประชาชนจากปัญหาเศรษฐกิจได้
ชื่อเสียงของกัมพูชาในระดับโลกก็ได้รับผลกระทบจากเครือข่ายศูนย์หลอกลวงหรือสแกมเมอร์ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องเช่นกัน การคว่่ำบาตรของสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรครั้งล่าสุดต่อนายเฉิน จื้อซึ่งเป็นบุคคลสำคัญในอุตสาหกรรมการหลอกลวงที่มีความเชื่อมโยงใกล้ชิดกับบุคคลระดับสูงภายในพรรคประชาชนกัมพูชาที่ปกครองประเทศ ได้ทำให้เกิดภาพลักษณ์เชิงลบต่อระบอบการปกครองกัมพูชามากยิ่งขึ้น และได้เพิ่มปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ
ข่าว F16 ของไทยทิ้งระเบิดใส่คาสิโนในกัมพูชา (อ้างอิงวิดีโอจาก Times Now)
การคว่ำบาตรยังส่งผลทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับเจตนาต่อต้านการทุจริตภายในประเทศของ พล.อ.ฮุน มาเนตด้วย
ในบริบทนี้ พล.อ.ฮุน มาเนตอาจพยายามใช้ประโยชน์จากความขัดแย้งที่ปะทุขึ้นใหม่เพื่อกอบกู้ความเสียหายบางส่วนที่ส่งผลกับภาพลักษณ์ของตัวเอง
กัมพูชาเคยได้รับประโยชน์จากการทำให้ความขัดแย้งกลายเป็นประเด็นระหว่างประเทศมาก่อน ในฐานะประเทศที่เล็กกว่าและอ่อนแอทางทหาร กัมพูชาจึงมักจะสนับสนุนการไกล่เกลี่ยระหว่างประเทศสำหรับข้อพิพาทชายแดนกับประเทศไทย
กลยุทธ์นี้มักจะประสบความสำเร็จ คำตัดสินต่างๆ ของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้ยืนยันกรรมสิทธิ์ของกัมพูชาเหนือปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการปะทะกันบ่อยครั้งกับประเทศไทย
การยุบสภาของนายอนุทินทำให้ความขัดแย้งชายแดนที่ทวีความรุนแรงขึ้นและมีความซับซ้อนมากขึ้น ในขณะที่นายอนุทินเข้ารับตำแหน่งรักษาการนายกรัฐมนตรีที่มีข้อจำกัด ประเทศไทยก็กำลังเตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้งกะทันหันที่อาจวุ่นวายภายในสองเดือน นี้
การยุบสภานี้ไม่เพียงแต่สร้างสุญญากาศอำนาจชั่วคราวที่ไม่เป็นผลดีต่อสันติภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นแรงจูงใจเพิ่มเติมสำหรับนายอนุทินและพรรคการเมืองที่มีแนวคิดอนุรักษ์นิยมที่จะใช้ความขัดแย้งเป็นกลยุทธ์ระดมพลในการเลือกตั้ง
ในขณะเดียวกัน กองทัพไทยมีอิสระมากขึ้นในการที่จะจัดการกับความขัดแย้งตามที่เห็นสมควร โดยแลกกับต้นทุนด้านมนุษยธรรม เศรษฐกิจ และชื่อเสียงที่สูงขึ้น
และแน่นอนว่าทั้งสองประเทศและประชาชนของพวกเขาก็จะได้รับความเสียหายจากความขัดแย้งที่ทวีความรุนแรงขึ้นตามไปด้วย
เรียบเรียงจาก:https://www.theweek.in/wire-updates/international/2025/12/14/fes7-thai-cambodia-politics.amp.html

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา