
ถ้าหากต้องมีการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีเจาะจง ก็ควรใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน เร่งด่วน หรือจำเป็นอย่างยิ่ง เช่น ภัยพิบัติ อย่างไรก็ตาม ถ้าหากเป็นสิ่งที่มันเกิดขึ้นทุกปี เช่นเหตุน้ำท่วม ก็ถือว่ามันเป็นงานที่ควรมีการวางแผนได้ล่วงหน้า ก็ควรต้องมีการประมูลหรือประกวดราคา เพื่อให้ได้ราคาที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับรัฐ
นับตั้งแต่ต้นปี 2568 จนถึงปลายปี หนึ่งในข่าวการตรวจสอบกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ที่สังคมให้ความสนใจมากที่สุด คงหนีไม่พ้นข่าวบริษัท ไทยคิงดี จำกัด (ชื่อเดิม บริษัท ไทยคิงเทค จำกัด) ซึ่งเป็นบริษัท 1 ใน 3 แห่งของ นายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือ ‘กัน จอมพลัง’ นักธุรกิจผู้อาสาช่วยเหลืองานสังคมชื่อดัง เป็นคู่สัญญาจัดซื้อจัดจ้างกับหน่วยงานของรัฐรวม 8 สัญญา ด้วยวิธีการเจาะจงหรือก็คือไม่ผ่านการประกวดราคาแข่งขันกับบริษัทอื่นนั่นเอง
โดยฐานข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐระบุถึง 8 สัญญาว่าทำขึ้นในช่วงระหว่างปี 2566-2568 แบ่งออกเป็นสัญญากับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 7 สัญญา มูลค่า 3,413,272 บาท และสัญญากับกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพอีก 1 สัญญามูลค่า 60,000 บาท รวมทั้งสิ้น 8 สัญญา คิดเป็นมูลค่า 3,473,272 บาท โดยทุก 8 สัญญานั้นมีมูลค่าสัญญาอยู่ที่ไม่เกิน 5 แสนบาท
ไม่ใช่แค่บริษัทไทย คิงดี เท่านั้น ที่มีกรณีแบบนี้ เพราะในช่วงปี 2568 ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวได้พบกับกรณีการจัดจ้างบริษัทด้วยวิธีการเจาะจงให้เข้ามาเป็นคู่สัญญารัฐ ในมูลค่าสัญญาไม่เกิน 5 แสนบาท โดยพบด้วยกันอย่างน้อย 1 บริษัทได้แก่
กรณี บริษัท ดิ อาร์ท คอร์ปอเรชั่น จำกัด ได้รับงานว่าจ้างจากสำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ช่วงปี 2565-2568 โดยใช้วิธีเฉพาะเจาะจง ไม่เกินวงเงิน 5 แสนบาท ให้ดำเนินโครงการระบบไฟฟ้าในโรงเรียนทั่วประเทศ รวมมูลค่า 200 กว่าล้านบาท แยกเป็นปี 2567 รวม 473 โครงการ รวม 183.52 ล้านบาท ปี 2568 รวม 178 โครงการ รวม 67.78 ล้านบาท (ข้อมูลวันที่ 7 พฤษภาคม 2568)

นอกจากนั้นยังมีข่าวที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจพบว่าองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.)หลายแห่งใน จ.สงขลา มีพฤติการณ์ซอยสัญญาในแผนการจัดซื้อจัดจ้างประจำปีให้มีวงเงินต่อสัญญาน้อยกว่า 5 แสนบาท เพื่อเป็นการแบ่งซื้อแบ่งจ้างที่ทำให้สามารถจัดซื้อจัดจ้างโดยวิธีเฉพาะเจาะจงได้ ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเข้าไปมีส่วนได้เสียและภาครัฐต้องจัดซื้อในราคาสูง

คำถามสำคัญก็คือว่ากฎระเบียบอะไร ทำไมถึงเอื้อให้ทั้งบริษัท ไทยคิงดี จำกัด,บริษัท ดิ อาร์ท คอร์ปอเรชั่น จำกัด รวมไปถึงบริษัทอื่นๆที่ไมได้กล่าวถึง มา ณ ที่นี้ สามารถเป็นคู่สัญญารัฐคิดเป็นมูลค่าหลายล้านบาท ด้วยวิธีการเจาะจง หรือก็คือไม่ต้องไปแข่งกับเอกชนเจ้าอื่นนั่นเองและเรื่องนี้จะมีการแก้ไขปัญหาในอนาคตหรือไม่
@กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง
ก่อนหน้านี้ นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง ตอนหนึ่งยืนยันว่าการทำสัญญาของบริษัท ไทยคิงดี กับกรมประมงนั้น เป็นไปตามระเบียบวิธีการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งมีเกณฑ์ว่า วงเงินเท่าใดจะใช้วิธีไหน ถ้าวงเงินเกิน 5 แสนบาท ก็ต้องใช้ e-bidding ถ้าวงเงินต่ำกว่า 5 แสนบาท ในการดำเนินงานก็สามารถใช้วิธีเจาะจงได้ฉะนั้นกรมประมงจึงใช้วิธีการจ้างงานดังกล่าวในการจ้างบริษัท ไทยคิงดี
สำหรับระเบียบการจัดซื้อจัดจ้าง ที่เกี่ยวกับการใช้วิธีเจาะจงนั้น เมื่อปี 2561 กรมบัญชีกลางเคยออกประกาศซ้อมความเข้าใจการจัดซื้อจัดจ้างตามกฎกระทรวงกำหนดพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุนและกำหนดวิธีการจัดซื้อฯ โดยวิธีคัดเลือกและวิธีเฉพาะเจาะจง 2560 และกำหนดแนวทางปฏิบัติในการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างฯโดยวิธีเฉพาะเจาะจงตาม พรบ.ฯ ม.56 วรรคหนึ่ง(2)(ซ)
โดยตอนหนึ่งระบุว่ากรณีวงเงินฯ ไม่เกิน 500,000 บาท หน่วยงานของรัฐจะดำเนินการโดยวิธีวิธีเฉพาะเจาะจง ตาม พรบ.ฯ มาตรา 56 วรรคหนึ่ง (2) (ข) ก็ได้
ทั้งนี้หน่วยงานจะตั้งกรรมการหรือไม่ตั้งกรรมการก็ได้ในกรณีการจัดซื้อที่มีลักษณะเจาะจง ซึ่งถ้าหากไม่ตั้งกรรมการ หน่วยงานก็จะต้องมีการเจรจากับฝ่ายผู้ประกอบการโดยตรง (ดูเอกสารประกอบ)


แต่ระเบียบการจัดซื้อลักษณะแบบนี้อาจเป็นช่องทางเอื้อให้ฝ่ายผู้ประกอบการเข้ามาเป็นคู่สัญญารัฐในสัญญาซึ่งมีวงเงินต่ำกว่า 500,000 บาท แต่กระทำหลายสัญญา เพื่อจะเลี่ยงจากการประกวดราคาตามขั้นตอนปกติได้หรือไม่
ซึ่งการกระทำเช่นนี้แม้ไม่ผิดระเบียบ แต่ปัญหาที่ตามมา แน่นอนว่าอาจจะทำให้ภาครัฐไม่ได้เป็นคู่สัญญากับเอกชนที่มีความสามารถเหมาะสมกับงานที่สุดอย่างแท้จริง
@สตง.เดินหน้าตรวจทุกโครงการที่มีปัญหา
ด้านนายสุทธิพงษ์ บุญนิธิ โฆษกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) กล่าวถึงปัญหาเรื่องนี้เอาไว้ว่าส่วนตัว คงต้องสงวนคำตอบ เพราะ ณ เวลานี้ยังไม่มีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับบริษัทที่ถูกจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีการเจาะจงอยู่ในมือ
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ เคยมีข่าวอ้างอิงจากแหล่งข่าวจาก สตง.ว่าตอนนี้ สตง.ได้ดำเนินการตรวจสอบทุกบริษัทซึ่งเป็นของบุคคลที่มีชื่อเสียง ที่เข้ามาเป็นคู่สัญญารัฐด้วยวิธีเจาะจง ไม่ใช่แค่บริษัท ไทยคิงดี เพียงแห่งเดียวโดยการเข้าไปตรวจสอบนั้นเจ้าหน้าที่จาก สตง.จะมีการตั้งคำถามด้วยกันสามข้อกับหน่วยงานที่เป็นเจ้าของสัญญาด้วยวิธีเจาะจงได้แก่
1. ทำไมหน่วยงานราชการ ต้องเจาะจงจ้างบริษัทเข้ามารับงานโดยใช้วิธีเจาะจง
2. กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างเป็นอย่างไร ปฏิบัติถูกต้องตามระเบียบราชการหรือไม่
และ 3. ผลงานที่ออกมาเป็นอย่างไร คุ้มค่ากับงบประมาณที่ใช้จ่ายไปหรือไม่ โดยให้ตรวจสอบย้อนหลังไปหลายปีด้วย
อย่างไรก็ตาม ก็ต้องรอดูต่อไปในอนาคตว่า สตง.จะมีการแถลงผลเรื่องนี้สู่สาธารณะหรือไม่
@ ‘ดร.มานะ’ แนะการจัดซื้อต้องเน้นไปที่เปิดเผยข้อมูล
ด้าน ดร.มานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ให้ความเห็นเกี่ยวกับปัญหาด้านการจัดซื้อด้วยวิธีเจาะจงเอาไว้ว่า หน่วยงานรัฐมักนิยมใช้วิธีนี้โดยอ้างความง่ายและความรวดเร็ว หรือใช้ข้ออ้างอื่นๆ อาทิ ต้องการส่งเสริมธุรกิจและอุตสาหกรรมหลายประเภท อย่างเช่นสินค้าจากผู้ประกอบการขนาดเล็กหรือขนาดกลาง หรือ SME และ MME ต้องการส่งเสริมสินค้าบัญชีนวัตกรรม หรือสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ก็เลยเป็นที่มาของการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษ
อย่างไรก็ตาม การกระทำเช่นนี้ก่อให้เกิดผลกระทบเชิงลบ ตัวอย่างเช่น กรณีสินค้า SME ทำให้เกิดแนวคิดที่ภาครัฐจะถอดธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมบัญชีของผู้ประกอบการที่ได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐ หรือเอื้อให้ซื้อสินค้า SME ได้ในราคาสูงกว่าตลาด ซึ่งส่งผลเสียอย่างร้ายแรงต่อเนื่อง และปัญหาดังกล่าวสะท้อนถึงการใช้เส้นสายพวกพ้อง และการใช้อำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐในทางที่ผิด
ดร.มานะกล่าวถึงกรณีการจัดซื้อจัดจ้างบริษัท ไทยคิงดี ด้วยว่านี่เป็นเพียง "เศษเสี้ยว" ของปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นกับการจัดซื้อของหน่วยงานจำนวนมาก ซึ่งมักจะมีบริษัทเดิมๆ ผู้จัดหาประจำเดิมๆ และหน่วยงานเดิมๆ ที่ได้งานอยู่เสมอ
ดร.มานะกล่าวต่อไปถึงแนวทางแก้ไขในสามข้อด้วยกันได้แก่
1.การตรวจสอบตัวเลขผิดปกติ: โดยการจัดซื้อที่มีตัวเลขผิดปกติ หรือเข้าข่ายการสมรู้ร่วมคิดในการประมูล จะต้องถูกตรวจสอบโดยหน่วยงานต้นสังกัด หรือหน่วยงานที่กำกับดูแล รวมถึงผู้มีอำนาจอนุมัติงบประมาณ หรืออย่างเช่นกรณีที่มีการ การาแบ่งสัญญาการจัดซื้อออกเป็นส่วนย่อย ๆ เพื่อให้เข้าข่ายการจัดซื้อด้วยวิธีพิเศษหรือหลีกเลี่ยงกฎเกณฑ์การตรวจสอบการจัดซื้อที่มีตัวเลขผิดปกติในลักษณะนี้ ต้องถูกตรวจสอบเช่นกัน
2.ความรับผิดชอบของผู้กำกับดูแล: หน่วยงานที่กำกับดูแล หรือหน่วยงานต้นสังกัด จะต้องเข้ามามีส่วนรับผิดชอบ ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นภาระของหน่วยงานที่จัดซื้อเพียงอย่างเดียว
3.การประกาศข้อมูลที่โปร่งใส:โดยที่ผ่านมาการประกาศข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างตามเงื่อนไข เช่นการประกาศจำนวนวัน ยังไม่เกิดผลในทางปฏิบัติ หน่วยงานจำนวนมากยังไม่ดำเนินการ ทำให้ผู้ค้ารายอื่นและประชาชนไม่ทราบข้อมูลและไม่สามารถทักท้วงได้ ดังนั้นการประกาศที่ชัดเจนและโปร่งใสผ่านช่องทางสาธารณะ เช่น อินเทอร์เน็ต จึงเป็นสิ่งจำเป็น
ดร.มานะยังกล่าวทิ้งท้ายด้วยว่าสำหรับสถานการณ์น้ำท่วมที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา สถานการณ์แบบนี้ การซื้อด้วยวิธีเจาะจงหรือวิธีพิเศษสามารถทำได้แต่จำเป็นต้องมีการเปิดเผยรายละเอียดการบันทึกข้อมูลอย่างชัดเจนต่อสาธารณะ และผู้บังคับบัญชาจะต้องมีส่วนรับผิดชอบด้วย เพื่อป้องกันการโยนความรับผิดชอบและป้องกันผลประโยชน์ที่อาจตกอยู่กับผู้ใหญ่

@ ‘ปรีติ’ ชี้สัญญาเนื้อหาคล้ายกันควรรวบเป็นรายการเดียวกัน
ส่วนนายปรีติ เจริญศิลป์ สส.พรรคประชาชน ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (กมธ.ป.ป.ช.) กล่าวถึงปัญหาเรื่องการแบ่งสัญญาย่อยเพื่อให้มีมูลค่าต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด 500,000 บาท เพื่อหลีกเลี่ยงการประมูลและใช้วิธีเฉพาะเจาะจงว่า กรณีนี้อาจผลให้เกิดความไม่โปร่งใสและอาจนำไปสู่การทุจริต ซึ่งเรื่องนี้เป็นปัญหาที่มีมานานแล้ว โดยข้อสังเกตุของพฤติการณ์ก็คือ จะมีการซื้อสินค้าประเภทเดียวกันซ้ำๆ ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน เช่น เดือนต่อเดือน หรือการแยกซื้อชิ้นส่วนของอุปกรณ์ที่ควรจะรวมเป็นรายการจัดซื้อจัดจ้างเดียวกัน
โดยการกระทำดังกล่าวแม้ไม่ผิดระเบียบโดยตรง แต่มีเจตนาเพื่อหลีกเลี่ยงหลักการประมูลแข่งขัน ซึ่งอาจส่อไปในทางที่ทำให้รัฐเสียประโยชน์ได้
นายปรีติกล่าวต่อถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาว่า จำเป็นต้องมีการแก้ไขประกาศและระเบียบย่อยที่เกี่ยวข้องในกระทรวงการคลังและกรมบัญชีกลาง โดยยเสนอให้กำหนดหลักเกณฑ์เพิ่มเติมเพื่อป้องกันการซอยย่อยสัญญา เช่น
-กำหนดความถี่และระยะเวลา: หากเป็นการจัดซื้อสินค้าลักษณะเดียวกันภายในระยะเวลาที่กำหนด ควรถือเป็นรายการจัดซื้อจัดจ้างเดียวกัน
นายปรีติยังกล่าวด้วยว่าอีกหน่วยงานที่ควรเข้ามามีบทบาททำหน้าที่ตรวจสอบก็คือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ก็ควรเข้ามาตรวจสอบด้วยเช่นกัน ในกรณีที่มีการร้องเรียนเกี่ยวกับความไม่โปร่งใสเข้ามา ส่วนกระทรวงการคลังและกรมบัญชีกลางในฐานะหน่วยงานหลัก ควรมีบทบาทในการออกระเบียบย่อยที่รัดกุม เพื่อปกป้องเงินภาษีของประชาชน และสร้างความโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
“โดยส่วนตัวผมเห็นว่าถ้าหากต้องมีการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีเจาะจง ก็ควรใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน เร่งด่วน หรือจำเป็นอย่างยิ่ง เช่น ภัยพิบัติ อย่างไรก็ตาม ถ้าหากเป็นสิ่งที่มันเกิดขึ้นทุกปี เช่นเหตุน้ำท่วม ก็ถือว่ามันเป็นงานที่ควรมีการวางแผนได้ล่วงหน้า ก็ควรต้องมีการประมูลหรือประกวดราคา เพื่อให้ได้ราคาที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับรัฐ” นายปรีติกล่าว

@ข้อสรุปแนวทางการแก้ปัญหา
จากคำให้สัมภาษณ์ของ ดร.มานะ กับ นายปรีติ จะสรุปได้ถึงแนวทางการแก้ปัญหาเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีเจาะจงในวงเงินไม่เกิน 5 แสนบาท ซึ่งอาจจะกลายเป็นการเอื้อพวกพ้อง ได้ใน 5 ประเด็นดังต่อไปนี้
1.เพิ่มความโปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูลของการจัดซื้อจัดจ้าง โดยหน่วยงานต้องเผยแพร่ข้อมูลและชี้แจงเหตุผลในการใช้วิธีเจาะจงอย่างชัดเจนและโปร่งใส เพื่อป้องกันการเอื้อประโยชน์พวกพ้อง, ,
2.แก้ไขประกาศและระเบียบย่อยของกระทรวงการคลังและกรมบัญชีกลาง เพื่อป้องกันการซอยย่อยสัญญาที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน โดยกำหนดหลักเกณฑ์เพิ่มเติม เช่น การกำหนดความถี่และระยะเวลาของรายการจัดซื้อจัดจ้าง หากมีการจัดซื้อสินค้าเหมือนกันในช่วงเวลาที่กำหนด ให้ถือเป็นรายการเดียวกัน
3.หน่วยงานตรวจสอบเช่น สตง. และ ป.ป.ช. ควรมีบทบาทในการตรวจสอบอย่างละเอียด โดยเฉพาะกรณีที่พบลักษณะสัญญาคล้ายกันหรือการจัดซื้อในระยะเวลาติดต่อกัน เพื่อคัดกรองความไม่โปร่งใสหรือการทุจริต,
4.วางแผนจัดซื้อจัดจ้างล่วงหน้าในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ซ้ำๆ เป็นประจำทุกปี เพื่อลดการใช้วิธีเจาะจงในเชิงเอื้อประโยชน์
และ 5.เน้นความรับผิดชอบของหน่วยงานต้นสังกัดและหน่วยงานกำกับดูแล ไม่ปล่อยให้เป็นภาระเฉพาะฝ่ายจัดซื้อ พร้อมทั้งตรวจสอบตัวเลขและกระบวนการจัดซื้อที่ผิดปกติ,
ส่วนหน่วยงานรัฐไทยจะมีการออกระเบียบเพื่อแก้ปัญหาอะไรเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างแบบเจาะจงเพื่อเอื้อพวกพ้อง สิ่งนี้ก็เป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันในอนาคตต่อไป

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา