
"...ตั้งแต่ 23 กุมภาพันธ์ 2554 ตลอดมาถึงวันเกิดเหตุที่ถังแก๊สรั่วไหล (18 ธันวาคม 2567) ไม่เคยปรากฏว่าผลิตภัณฑ์ของผู้ฟ้องคดี ไม่ได้มาตรฐานหรือกระบวนการผลิตของโรงงานผู้ฟ้องคดีไม่ถูกต้อง หรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย กฎระเบียบ ที่กำหนดไว้แต่อย่างใด ซึ่งจากการตรวจสอบที่ผ่านมา ผู้ฟ้องคดี ไม่เคยได้รับแจ้งว่าผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ภายใต้เครื่องหมายการค้า SKY ไม่ได้มาตรฐานหรือกระบวนการผลิตไม่ถูกต้อง..."
......................................
จากกรณีที่เมื่อวันที่ 28 มี.ค.2568 ได้เหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 7.7 แมกนิจูด มีศูนย์กลางที่ประเทศเมียนมา และส่งผลกระทบมาถึงประเทศไทย จนเป็นเหตุให้ตึกสำนักงานตรวจเงิน (สตง.) แห่งใหม่ ที่อยู่ระหว่างก่อสร้างพังถล่มลงมา มียอดผู้เสียชีวิตเกือบ 100 ราย โดยตึกดังกล่าว มีกิจการร่วมค้าไอทีดี-ซีอาร์อีซี อันประกอบไปด้วย บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ (มหาชน) และบริษัทไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างฯ
อย่างไรก็ดี จากเหตุการณ์ดังกล่าว นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม ในขณะนั้น ได้เปิดเผยในรายการ ‘เจาะลึกทั่วไทย อินไซด์ ไทยแลนด์’ ว่าเหล็กข้ออ้อยที่ใช้ในการก่อสร้างโครงการฯดังกล่าว ซึ่งมีสัญลักษณ์ ‘SKY’ ที่บ่งบอกชื่อบริษัทผู้ผลิต คือ บริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด นั้น เป็นเหล็กที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมเคยสั่งปิดโรงงานเหล็กของบริษัท ซิน เคอ หยวนฯ ชั่วคราวไปตั้งแต่เดือน ธ.ค.2567
ต่อมา บริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด ได้ยื่นหนังสือถึงประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ร้องขอความเป็นธรรมให้ตรวจสอบ ไต่สวนพฤติการณ์ และดำเนินคดีกับนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม ข้าราชการการเมือง ข้าราชการประจำ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องฯ
กรณีมีเจตนาฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง โดยมีอคติจงใจปฏิบัติหน้าที่ในฐานะ รมว.อุตสาหกรรมโดยมิชอบ สั่งปิดโรงงานเหล็กของ บริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จํากัด ทำให้บริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด ได้รับความเสียหาย 2,640 ล้านบาท นั้น (อ่านประกอบ : อ้างผลสอบฯ‘เหล็ก’ได้มาตรฐาน! เปิดคำร้อง‘ซินเคอหยวน’ยื่น‘ป.ป.ช.’ไต่สวนฯสั่งปิดโรงงานมิชอบ)
ล่าสุดเมื่อวันที่ 19 ก.ย.ที่ผ่านมา บริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด (ผู้ฟ้องคดี) ยื่นฟ้องนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ที่ 1 กับพวก รวม 16 คน (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1-16) ต่อศาลปกครองระยอง โดยขอให้ศาลมีคำสั่งหรือคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งกรมโรงงานอุตสาหกรรม ที่มีคำสั่งให้บริษัทฯหยุดประกอบกิจการโรงงานเหล็กทั้งหมด รวมถึงเพิกถอนคำสั่งอายัดเหล็กฯของบริษัทฯด้วย
ขณะเดียวกัน บริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด ยังขอให้ศาลฯบังคับให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1-16 ร่วมกันชำระเงินค่าเสียหายให้แก่บริษัทฯ เป็นเงินทั้งสิ้น 3,218,288,376.22 บาท ซึ่งประกอบด้วย ค่าสูญเสียรายได้และค่าขาดประโยชน์อันควรได้จากการทำธุรกิจ 3,141 ล้านบาท
และค่าจ้างพนักงานระหว่างหยุดประกอบกิจการ 77.28 ล้านบาท พร้อมทั้งชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปีจากต้นเงินค่าเสียหายจำนวน 3,218,288,376.22 บาท ให้กับบริษัทฯ (อ่านประกอบ : ‘ซินเคอหยวน’ฟ้อง‘ศาลปค.’ขอเพิกถอนคำสั่งปิด‘โรงงานเหล็ก’-บังคับ‘เอกนัฏ-พวก’ชดใช้ 3.2 พันล.)
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงขอนำเสนอรายละเอียดคำฟ้องของ บริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด ในคดีนี้ ดังนี้
@‘อุตฯจ.ระยอง’สั่งปิด‘โรงงานเหล็ก’หลังเกิดเหตุ‘ถัง LPG’รั่ว
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ถึงที่ 16 มีพฤติการณ์กระทำการใดๆ อันเป็นการร่วมกันกระทำการอันไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยการออกคำสั่ง หรือกระทำการอื่นใดเนื่องจากกระทำโดยไม่มีอำนาจหรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่ หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย หรือโดยไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอนหรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำนั้น หรือโดยไม่สุจริตหรือมีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม
หรือมีลักษณะเป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จำเป็นหรือสร้างภาระให้เกิดกับผู้ฟ้องคดีเกินสมควร หรือเป็นการใช้ดุลยพินิจโดยมิชอบ หรือร่วมกันกระทำการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร อันเป็นการร่วมกันกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี โดยมีพฤติการณ์ในการร่วมกันกระทำละเมิด และออกคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
กล่าวคือ เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ.2567 ผู้ฟ้องคดี (บริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด) ได้ทำการเคลื่อนย้ายถังแก๊สแอลพีจี (LPG) ซึ่งตั้งอยู่บริเวณพื้นที่โล่งด้านนอกอาคารโรงงาน จุดเคลื่อนย้ายมีระยะห่างจากอาคารโรงงานประมาณ 80 เมตร
โดยผู้ฟ้องคดี ว่าจ้างผู้ประกอบการรถเครนมาทำการเคลื่อนย้าย แต่ระหว่างเคลื่อนย้ายได้เกิดอุบัติเหตุ มีเหตุการณ์ถังแก๊สแอลพีจี (LPG) รั่วไหล ทำให้เกิดเพลิงไหม้ มีคนงานได้รับบาดเจ็บ และผนังอาคารโรงงานได้รับความเสียหายเล็กน้อย
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 15 ตำแหน่ง อุตสาหกรรมจังหวัดระยอง ได้มีคำสั่งทางปกครอง ดังนี้
(คำสั่งที่ 1) วันที่ 18 ธันวาคม 2567 ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 15 ได้มีหนังสือที่ รย.0034(2)/2948 แจ้งคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดี หยุดประกอบกิจการโรงงาน สาเหตุสันนิษฐานเบื้องต้น อาจจะเกิดจากการระเบิดของถังแก๊ส LPG ทำให้เกิดเหตุไฟลุกไหม้ ลักษณะดังกล่าวอาจก่อให้เกิดอันตราย ความเสียหายฯ แก่บุคคลหรือทรัพย์สินที่อยู่ใกล้เคียงกับโรงงาน
จึงมีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดี หยุดประกอบกิจการโรงงานทั้งหมด จนกว่าจะได้รับการปรับปรุงซ่อมแซมเครื่องจักร ภาชนะรับแรงดัน ปรับสภาพพื้นที่ให้เรียบร้อย จัดการสิ่งปฏิกูล หรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วที่เกิดจากเหตุเพลิงไหม้ ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่องการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว พ.ศ.2566
และจนกว่าจะจัดมีการตรวจสอบ/ทวนสอบ อุปกรณ์ระบบดับเพลิง มาตรการหรือระบบเฝ้าระวังเหตุเพลิงไหม้ภายในโรงงานว่าสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งต้องเป็นไปตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมเรื่อง การป้องกันและระงับอัคคีภัยในโรงงาน พ.ศ.2552 โดยให้ดำเนินการแล้วเสร็จภายในวันที่ 20 มกราคม พ.ศ.2568
(คำสั่งที่ 2) วันที่ 19 ธันวาคม 2567 ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 15 ได้มีหนังสือ ที่ รย.0034(2)/4972 แจ้งคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีหยุดประกอบกิจการโรงงาน(เพิ่มเติม) โดยมีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีหยุดประกอบกิจการโรงงานทั้งหมด และดำเนินการปรับปรุงแก้ไขโรงงานเพิ่มเติม ดังนี้
(1) ให้ดำเนินการตรวจสอบและปรับปรุงแก้ไขอาคารโรงงานในส่วนที่ได้รับความเสียหายจากเพลิงไหม้ โดยให้มีการรับรองความมั่นคงแข็งแรงของอาคารจากวิศวกรผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม
(2) ให้รับรองความแข็งแรงของถังบรรจุออกซิเจน โดยให้มีการรับรองจากวิศวกรผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมหรือหน่วยงานที่กฎหมายกำหนด
(3) ให้ตรวจสอบระบบไฟฟ้าภายในโรงงานให้มีสภาพสมบูรณ์พร้อมใช้งานโดยให้มีการรับรองจากวิศวกรผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม
(4) ให้ตรวจสอบระบบดับเพลิง อุปกรณ์และระบบป้องกันอัคคีภัยภายในโรงงานให้มีสภาพสมบูรณ์พร้อมใช้งาน โดยให้มีการรับรองจากวิศวกรผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมหรือหน่วยงานที่กฎหมายกำหนด
(5) ให้ดำเนินการจัดการเรื่องสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วที่เกิดจากเหตุเพลิงไหม้ไปกำจัดให้ถูกต้องตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การจัดการสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว พ.ศ.2566 ลงวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ.2566 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
โดยการดำเนินการในข้อ 1 ถึง 5 ขอให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 20 มกราคม พ.ศ.2568 และหากปรับปรุงแก้ไขโรงงาน ณ จุดที่เกิดเหตุแล้วเสร็จ ให้มีหนังสือแจ้งสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดระยองทราบ เพื่อจักได้ตรวจสอบและอนุญาตให้ประกอบกิจการต่อไป ปรากฏตามหนังสือของสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดระยอง
ต่อมาวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ.2567 กรมโรงงานอุตสาหกรรม(ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 ได้มีหนังสือที่ อก 0311/12520 แจ้งให้ผู้ฟ้องคดี ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด
โดยแจ้งว่ากรมโรงงานอุตสาหกรรม (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า โรงงานของผู้ฟ้องคดี อยู่ในเขตประกอบการอุตสาหกรรมตามมาตรา 30 แห่งพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ.2535 ซึ่งได้รับการยกเว้นไม่ต้องขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (ร.ง.4)
แต่การประกอบกิจการโรงงานยังคงต้องปฏิบัติตามกฎกระทรวงที่ออกตามมาตรา 8 ประกาศของรัฐมนตรีที่ออกตามกฎกระทรวงดังกล่าว ประกาศของรัฐมนตรีที่ออกตามมาตรา 32 (1) และบทบัญญัติอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการควบคุมการประกอบกิจการโรงงาน ตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ.2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
นอกจากนี้ โรงงานของผู้ฟ้องคดี อยู่ในประเภทหรือชนิดของโรงงานที่จะต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment) หรือ EIA ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมฯ โดยแจ้งให้ผู้ฟ้องคดี ถือปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยโรงงานและข้อกำหนดในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด
มิฉะนั้นอาจได้รับโทษตามกฎหมาย รวมทั้งอาจเป็นเหตุให้มีการออกคำสั่งทางปกครองให้ผู้ฟ้องคดี ปรับปรุงแก้ไขโรงงาน หยุดประกอบกิจการโรงงาน หรือปิดโรงงานต่อไปได้
@‘กรมโรงงานฯ’สั่ง‘ซินเคอหยวน’ปรับปรุงโรงงาน 7 ประเด็น
(คำสั่งที่ 3) วันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ.2567 กรมโรงงานอุตสาหกรรม (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 ได้มีหนังสือที่ อก 0311/12597 แจ้งผู้ฟ้องคดี (บริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด) เรื่องคำสั่งให้หยุดประกอบกิจการโรงงานทั้งหมด อ้างว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ได้พิจารณาข้อเท็จจริงที่ได้จากการตรวจสอบทั้งหมดแล้ว พอสันนิษฐานได้ว่าเหตุเพลิงไหม้และกลุ่มควันขนาดใหญ่บริเวณอาคารโรงงานอาจเกิดจากการระเบิดของถังแก๊ส LPG ที่อยู่ในโรงงาน
นอกจากนี้ ยังปรากฏว่าภายในโรงงานของผู้ฟ้องคดี มีการวางถุงบรรจุขนาดใหญ่ (Big Bag) ซึ่งภายในถุงบรรจุฝุ่นที่เกิดจากประกอบกิจการโรงงานในส่วนเตาหลอมเหล็ก มีการวางไว้ภายนอกอาคารโรงงาน และมีเป็นจำนวนมาก จึงเป็นการไม่ปฏิบัติหน้าที่ของผู้ก่อกำเนิดสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมฯ
อีกทั้งมีความเป็นไปได้ว่า หากถุงบรรจุฝุ่นเกิดการฉีกขาดจะทำให้มีฝุ่นรั่วไหลลงบนพื้นภายในโรงงาน รวมทั้งฟุ้งกระจายออกนอกบริเวณโรงงาน จึงพิจารณาได้ว่าการประกอบกิจการโรงงานของผู้ฟ้องคดี ก่อและอาจก่อให้เกิดอันตราย ความเสียหายและความเดือดร้อนอย่างร้ายแรงแก่บุคคลหรือทรัพย์สินที่อยู่ใกล้เคียงกับโรงงานได้ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 จึงมีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดี หยุดประกอบกิจการโรงงานทั้งหมด และให้ดำเนินการ ดังต่อไปนี้
(1) ให้ดำเนินการปรับปรุง ซ่อมแซม เครื่องจักร ภาชนะรับแรงดัน ปรับสภาพพื้นที่ให้เรียบร้อย
(2) ให้รับรองความแข็งแรงของถังบรรจุออกซิเจน โดยให้มีการรับรองจากวิศวกรผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมหรือหน่วยงานที่กฎหมายกำหนด
(3) ให้ตรวจสอบระบบไฟฟ้าภายในโรงงานให้มีสภาพสมบูรณ์พร้อมใช้งานโดยให้มีการรับรองจากวิศวกรผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม
(4) ให้ตรวจสอบระบบดับเพลิง อุปกรณ์และระบบป้องกันอัคคีภัยภายในโรงงานให้มีสภาพสมบูรณ์พร้อมใช้งาน โดยให้มีการรับรองจากวิศวกรผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมหรือหน่วยงานที่กฎหมายกำหนด
(5) ให้ตรวจสอบ/ทบทวนอุปกรณ์ระบบดับเพลิง มาตรการหรือระบบเฝ้าระวังเหตุเพลิงไหม้ภายในโรงงานว่าสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่องการป้องกันและระงับอัคคีภัยภายในโรงงาน พ.ศ.2552
(6) ให้ดำเนินการตรวจสอบและปรับปรุงแก้ไขอาคารโรงงานในส่วนที่ได้รับความเสียหายจากเพลิงไหม้ โดยให้มีการรับรองความมั่นคงแข็งแรงของอาคารจากวิศวกรผู้ประกอบอาชีพวิศวกรรมควบคุม
(7) ให้ดำเนินการจัดการเรื่องสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วที่เกิดจากเหตุเพลิงไหม้ รวมทั้งเก็บรวบรวมถุงบรรจุขนาดใหญ่ (Big Bag) ที่บรรจุฝุ่นจากเตาหลอมเหล็กทั้งหมดไปจัดเก็บไว้ภายในอาคารโรงงานที่มีหลังคาปกคลุมฯ
โดยขอให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 20 มกราคม พ.ศ.2568 และหากปรับปรุงแก้ไขโรงงาน ณ จุดที่เกิดเหตุแล้วเสร็จ ให้มีหนังสือแจ้งกรมโรงงานอุตสาหกรรมทราบ เพื่อจะได้ตรวจสอบและอนุญาตให้ประกอบกิจการโรงงานต่อไป ปรากฏตามหนังสือของกรมโรงงานอุตสาหกรรม
@‘ซินเคอหยวน’อ้าง 3 คำสั่ง‘กรมโรงงานฯ’ไม่ชอบด้วยกม.
ข้อเท็จจริงตามคำสั่งที่ 1, ที่ 2, ที่3 ไม่ถูกต้อง เนื่องจากจุดที่ตั้งของถังแก๊ส LPG อยู่นอกตัวอาคารโรงงาน แต่การเคลื่อนย้ายที่ใช้รถเครนยกถังแก๊สออกจากจุดที่ตั้งเกิดความไม่เสถียรในการยกเคลื่อนย้าย เป็นเหตุให้ถังบรรจุก๊าชได้รับความเสียหาย มีก๊าช LPG ในส่วนที่ค้างอยู่ในถังเล็กน้อยรั่วไหล
และช่วงเกิดเหตุกระแสลมได้พัดพาก๊าช LPG ที่รั่วไหลไปติดกับไอความร้อนของ Billet ที่กำลังรีดออกจากระบบ ฮอตชาร์ท (Hot charge) ในตัวอาคารโรงงานทำให้เกิดเปลวไฟและย้อนกลับไปที่ถังแก๊สต้นเหตุ ซึ่งถังแก๊สส่วนที่เคลื่อนย้ายจะใช้สำหรับเตาเผา Billet ที่ไม่ได้ใช้งานมานาน
โดยไม่ได้ใช้กับกระบวนการผลิตเหล็กจากเตา IF ระบบ ฮอตชาร์ท ในวันเกิดเหตุ ซึ่งการผลิตเหล็กจากเตา IF ระบบ Hot charge ไม่ต้องใช้เตาเผา Billet ที่ต้องใช้ก๊าซ LPG เป็นเชื้อเพลิง ดังนั้น ก๊าช LPG จึงไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการผลิตเหล็กจากเตา IF ระบบ Hot charge แต่อย่างใด
บริษัทฯได้ทำการเคลื่อนย้ายถังก๊าช LPG ที่ไม่ได้ใช้แล้ว ดังนั้น การออกคำสั่ง ที่ 1,2,3 ให้บริษัทฯ ดำเนินการปรับปรุง ซ่อมแซม เครื่องจักร จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ดังนั้น ข้อเท็จจริงที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 มีคำสั่งที่ 3 โดยสันนิษฐานว่าเหตุเพลิงไหม้และกลุ่มควันขนาดใหญ่บริเวณอาคารโรงงานอาจเกิดจากการระเบิดของถังแก๊ส LPG ที่อยู่ในโรงงานจึงไม่ถูกต้อง ไม่ใช่ดังข้อสันนิษฐาน คำสั่งให้ดำเนินการปรับปรุง ซ่อมแซม เครื่องจักรฯ และส่วนอื่นๆ 7 ข้อ
ในส่วนนี้ จึงเป็นการเพิ่มภาระสร้างขั้นตอนโดยไม่จำเป็น หรือสร้างภาระให้เกิดกับผู้ฟ้องคดีเกินสมควร อันเป็นการกลั่นแกล้งให้ผู้ฟ้องคดีต้องรับภาระเพิ่มเติม โดยมีการสร้างขั้นตอนโดยไม่จำเป็นให้ผู้ฟ้องคดีต้องปฏิบัติตามคำสั่ง และ ยังเป็นการออกคำสั่งซ้ำกับคำสั่งที่ 1, ที่ 2 ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 15 อีกด้วย เพียงแต่สั่งเพิ่มเติมให้เก็บรวบรวมถุงบรรจุฝุ่นขนาดใหญ่(Big Bag)ที่บรรจุฝุ่นจากเตาหลอมเหล็กทั้งหมดไปจัดเก็บไว้ภายในอาคารที่มีหลังคาปกคลุม
ต่อมาวันที่ 27 ธันวาคม 2567 ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 15 ได้มีหนังสือแจ้งผู้ฟ้องคดี เรื่องยกเลิกคำสั่งที่ 1 และ คำสั่งที่ 2 ที่ให้หยุดประกอบกิจการโรงงาน รวมทั้งส่วนที่สั่งเพิ่มเติม มีผลตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ.2567 เป็นต้นไป
เหตุผลเนื่องจากคำสั่งที่ 3 ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 มีเหตุในการออกคำสั่งและเนื้อหาการสั่งการเช่นเดียวกับที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 15 ได้สั่งไว้ ปรากฏตามหนังสือของสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดระยอง
การยกเลิกคำสั่งที่ 1,2 ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 15 ก็เพื่อสนองตอบคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย (คำสั่งที่ 3) ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 เนื่องจากเป็นการออกคำสั่งที่ 3 ทับซ้อนกับคำสั่งที่ 1, ที่ 2 เดิม ที่มีผลใช้บังคับอยู่ ซึ่งการออกคำสั่งที่ 3 นั้น มีเจตนาพิเศษซ่อนเร้นการเพิ่มภาระเพิ่มเติมข้อที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งแก่ผู้ฟ้องคดี ในส่วนของเครื่องจักรฯ ให้ต้องแก้ไขเพิ่มเติมปรับปรุง ซ่อมแซมเครื่องจักร และการจัดเก็บถุง (Big Bag)
การยกเลิกคำสั่งที่ 1 ที่ 2 มีเจตนาพิเศษเพื่อให้ผู้ฟ้องคดี จำต้องปฏิบัติตามคำสั่งที่ 3 ซึ่งเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งต่อมาในส่วนสาระสำคัญของคำสั่งที่ 3 กลุ่มผู้ถูกฟ้องคดีทั้งหมดได้ร่วมกันนำมาใช้เป็นเงื่อนไขในการอ้างเป็นข้อสงสัยแก่ผู้ฟ้องคดีอยู่เรื่อยไป โดยขอให้ผู้ฟ้องคดีชี้แจงและตอบข้อสงสัยเรื่อยมา
แม้ว่าผู้ฟ้องคดีจะได้ปฏิบัติทำตามคำสั่งการทุกอย่างครบถ้วนแล้วก็ตาม ซึ่งผู้ฟ้องคดีต้องรับภาระเพิ่มเติม ตามที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 และ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 ได้สร้างขั้นตอนโดยไม่จำเป็นให้ผู้ฟ้องคดีจำต้องปฏิบัติตามตลอดมา
@ชี้‘กรมโรงงานฯ’เจตนากลั่นแกล้ง แม้ปฏิบัติตามคำสั่ง
ผู้ฟ้องคดี (บริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด) ได้ปฏิบัติตามคำสั่ง ที่ 1, ที่ 2, ที่ 3 ดังที่กล่าวมาทุกคำสั่ง โดยแก้ไขปรับปรุงตามข้อกำหนดในคำสั่งการทั้ง 7 ข้อครบถ้วนทุกประการ โดยมีหนังสือโต้ตอบระหว่างผู้ฟ้องคดี กับ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3,ที่ 4 และ ที่ 6 ดังนี้
วันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ.2567 ผู้ฟ้องคดี มีหนังสือถึงอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4) ชี้แจงการแก้ไขปัญหาตามสั่งการตามหนังสือที่ อก 0311/12597 ลงวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ.2567 เสร็จสิ้นแล้ว จึงขอให้ กรมโรงงานอุตสาหกรรม (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 มาตรวจสอบพื้นที่โรงงาน พร้อมทั้งขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 และ ที่ 6 มีหนังสือแจ้งเปิดประกอบกิจการโรงงานของผู้ฟ้องคดีตามปกติ
วันที่ 14 มกราคม พ.ศ.2568 กรมโรงงานอุตสาหกรรม (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 ได้มีหนังสือถึงผู้ฟ้องคดี แจ้งว่าเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2568 ได้ติดตามการดำเนินการแก้ไข พบว่า
(1) คำสั่งให้ดำเนินการปรับปรุง ซ่อมแซมเครื่องจักร ภาชนะรับแรงดัน ปรับสภาพพื้นให้เรียบร้อยนั้น ผลการตรวจสอบพบว่าภาชนะรับแรงดัน รถเครน และรถบรรทุกที่เพลิงไหม้ยังไม่มีการเคลื่อนย้ายฯ เพื่อปรับสภาพพื้นที่บริเวณที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ให้เป็นปกติเรียบร้อยฯ
(2) คำสั่งให้รับรองความแข็งแรงของถังบรรจุออกซิเจน โดยให้มีการรับรองจากวิศวกรผู้ประกอบอาชีพวิศวกรรมควบคุมหรือหน่วยงานที่กฎหมายกำหนด พบว่าได้ตรวจสอบความแข็งแรงของถังบรรจุอ๊อกซิเจนฯ และถังบรรจุอาร์กอน โดย บริษัท บางกอก อินดัสเตรียล แก๊ส จำกัด แต่การตรวจสอบและรับรองความแข็งแรงของถังบรรจุดังกล่าวต้องให้หน่วยตรวจสอบภาชนะบรรจุก๊าชประเภท 2 ที่ได้รับความเห็นชอบจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม เป็นผู้ตรวจสอบ
(3) คำสั่งให้ตรวจสอบระบบไฟฟ้าภายในโรงงานฯ พบว่าได้มีการตรวจสอบระบบไฟฟ้าภายในโรงงานโดยสามัญวิศวกร สาขาวิศวกรรมไฟฟ้า แขนงไฟฟ้ากำลัง (สฟก.5870) เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ.2567 แต่วิศวกรผู้ตรวจสอบรับรองมีข้อสังเกตให้ปรับปรุงแก้ไข จึงเห็นควรปรับปรุงแก้ไขให้ครบถ้วนตามประเด็น พร้อมให้ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมตรวจสอบรับรองอีกครั้ง
(4) คำสั่งให้ตรวจสอบระบบดับเพลิง พบว่ามีการตรวจสอบและรับรองความสมบูรณ์ของระบบดับเพลิงอุปกรณ์ โดยผู้ตรวจสอบอาคารตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร ซึ่งไม่ใช่วิศวกรผู้ประกอบอาชีพวิศวกรรมควบคุม จึงควรให้วิศวกรผู้ประกอบอาชีพวิศวกรรมควบคุม ตรวจสอบและรับรองความสมบูรณ์พร้อมใช้งาน ระบบดับเพลิง อุปกรณ์และระบบป้องกันอัคคีภัยภายในโรงงานตามมาตรฐานของ national fire protect authority (NFPA)
(5) คำสั่งให้ตรวจสอบ ทบทวนอุปกรณ์ระบบดับเพลิง มาตรการณ์หรือระบบเฝ้าระวังเหตุเพลิงไหม้ภายในโรงงานฯ พบว่ามีการตรวจสอบและรับรองความสมบูรณ์ฯ โดยผู้ตรวจสอบอาคารตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร แต่ยังไม่ได้จัดให้มีแผนป้องกันและระงับอัคคีภัยในโรงงานฯ
(6) คำสั่งให้ตรวจสอบและปรับปรุงแก้ไขอาคารโรงงานในส่วนที่ได้รับความเสียหายจากเพลิงไหม้ฯ พบว่ามีการซ่อมแซมอาคารโรงงานในส่วนที่ได้รับความเสียหายจากเพลิงไหม้แล้ว ได้ตรวจสอบและรับรองความมั่นคงแข็งแรงของอาคาร โดยผู้ตรวจสอบอาคารตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร ซึ่งไม่ใช่วิศวกรผู้ประกอบอาชีพวิศวกรรมควบคุม
จึงควรให้วิศวกรผู้ประกอบอาชีพวิศวกรรม (วุฒิวิศวกร สาขาวิศวกรรมโยธา) ควบคุม ตรวจสอบและรับรองความมั่นคงแข็งแรงของอาคารโรงงานในส่วนที่ได้รับความเสียหายจากเพลิงไหม้ .
(7) คำสั่งให้จัดการเรื่องสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วที่เกิดจากเหตุเพลิงไหม้ รวมทั้งเก็บรวบรวมถุงบรรจุขนาดใหญ่ (big bag) ที่บรรจุฝุ่นจากเตาหลอมเหล็กทั้งหมดไปจัดเก็บไว้ภายในโรงงานที่มีหลังคาปกคลุม พบว่าได้เก็บรวบรวมและขนย้ายถุงบรรจุขนาดใหญ่ฯ ทั้งหมดไปจัดเก็บไว้ในอาคารเก็บที่มีผนังทึบสี่ด้านและมีหลังคาปกคลุม รวมถึงเก็บรวบรวมและขนย้ายวัสดุที่ไม่ใช้แล้วประเภทต่างๆ
ทั้งนี้ ในอาคารถุงบรรจุขนาดใหญ่ (อาคารหมายเลข 59) มีการเก็บสารเคมีอันตรายที่บรรจุภัณฑ์ชำรุด และมีการสูบบุหรี่ในบริเวณดังกล่าว เห็นควรต้องจัดการแยกหมวดหมู่ของสารเคมีแต่ละชนิด ติดป้ายชี้บ่งว่าเป็นพื้นที่จัดเก็บสารเคมีอันตรายแสดงให้ชัดเจนไม่ปะปนกัน
โดยสรุปแจ้งว่า ผู้ฟ้องคดี ยังปฏิบัติตามคำสั่งที่ 3 ลงวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ.2567 ไม่แล้วเสร็จ
ผู้ฟ้องคดี เห็นว่า ตามหนังสือของกรมโรงงานอุตสาหกรรม (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 ได้อาศัยตำแหน่งหน้าที่โดยมีเจตนากลั่นแกล้งผู้ฟ้องคดี โดยการสร้างเงื่อนไขเพิ่มเติมให้ผู้ฟ้องคดีจำต้องปฏิบัติตามคำสั่ง เพื่อจะนำมาเป็นเหตุในการออกคำสั่งไม่อนุญาตให้ผู้ฟ้องคดีเปิดดำเนินกิจการโรงงานได้ตามปกติ
โดยอ้างว่าผู้ฟ้องคดียังไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งครบถ้วน และให้ผู้ฟ้องคดีต้องทำการแก้ไขปรับปรุงตามที่ได้สั่งการเพิ่มเติมอีกอยู่เรื่อยไป ได้แก่ ต้องตรวจสอบและรับรองความสมบูรณ์พร้อมใช้งาน ระบบดับเพลิง อุปกรณ์และระบบป้องกันอัคคีภัยภายในโรงงานตามมาตรฐานของ national fire protect authority (NFPA),
ต้องจัดให้มีแผนป้องกันและระงับอัคคีภัยในโรงงานฯ, การจัดการสิ่งปฏิกูล หรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วที่เกิดจากเหตุเพลิงไหม้
แม้ผู้ฟ้องคดีจะนำไปเก็บไว้ภายในโรงงานในอาคารที่มีผนังทึบสี่ด้านและมีหลังคาปกคลุมแล้ว (อาคารหมายเลข 59) แต่ก็ยังอ้างว่ามีการเก็บสารเคมีอันตรายที่บรรจุภัณฑ์ชำรุด และมีการสูบบุหรี่ในบริเวณดังกล่าว ต้องจัดการแยกหมวดหมู่ของสารเคมีแต่ละชนิด ติดป้ายชี้บ่งว่าเป็นพื้นที่จัดเก็บสารเคมีอันตรายแสดงให้ชัดเจนไม่ปะปนกัน
ผู้ฟ้องคดี ได้ลงทุนประกอบธุรกิจไปจำนวนมากหลายพันล้านบาท จึงจำต้องยอมทำตามคำสั่งการเพิ่มเติม ทุกกรณี
ต่อมาวันที่ 20 มกราคม 2568 ผู้ฟ้องคดี ได้ทำหนังสือถึงกรมโรงงานอุตสาหกรรม(ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) รายงานความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาโดยยืนยันว่าได้ปฏิบัติตามคำสั่งเพิ่มเติมของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ครบถ้วนแล้ว จึงขอความอนุเคราะห์ได้โปรดอนุญาตให้ดำเนินกิจการต่อไปตามปกติ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ไม่มีคำสั่งอนุญาต
@ออกคำสั่ง‘ฉบับ 4’แจ้ง‘ซินเคอหยวน’ปิดโรงงานชั่วคราว
(คำสั่งที่ 4) วันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2568 กรมโรงงานอุตสาหกรรม (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 7 ได้มีหนังสือแจ้งคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดี หยุดประกอบกิจการโรงงานทั้งหมดเป็นการชั่วคราว อ้างว่าเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2568 กรมโรงงานอุตสาหกรรม ได้ตรวจสอบการปรับปรุงแก้ไขโรงงาน
พบว่า ผู้ฟ้องคดี (บริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด) ได้ปรับปรุงแก้ไขโรงงานและปฏิบัติถูกต้องแล้วเสร็จตามคำสั่งในข้อที่ 2, 3, 6 และ 7 แต่ยังปฏิบัติไม่ถูกต้องครบถ้วนตามข้อ 1, 4 และ 5 ฯ จึงเป็นการปฏิบัติตามคำสั่งไม่แล้วเสร็จให้ถูกต้องภายในเวลาที่กำหนดไว้ คือ 20 มกราคม พ.ศ.2568 จึงอนุญาตขยายระยะเวลาให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ.2568 .
ผู้ฟ้องคดี เห็นว่า คำสั่งตามข้อ 1,4, 5 กรณีให้ซ่อมแซม เครื่องจักร ภาชนะรับแรงดัน และ ให้ตรวจสอบ/ทบทวนอุปกรณ์ระบบดับเพลิง มาตรการหรือระบบเฝ้าระวังเหตุเพลิงไหม้ภายในโรงงาน ตามที่ นายวีระพงษ์ เอี่ยมเจริญชัย (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 7) กล่าวถึงนั้น เป็นคำสั่งที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
เนื่องจากเครื่องจักรที่ทำการผลิตเหล็กจากเตาเผา IF ระบบ Hot charge ไม่ต้องใช้เตาเผาอบ Billet และไม่ได้ใช้ก๊าซ LPG เป็นเชื้อเพลิง การสั่งให้ซ่อมแซม เครื่องจักรฯ จึงเป็นการกลั่นแกล้ง และเพิ่มภาระแก่ผู้ฟ้องคดีเกินความจำเป็น
วันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2568 ผู้ฟ้องคดี ทำหนังสือถึงอุตสาหกรรมจังหวัดระยอง เรื่องขอหยุดการใช้เครื่องจักรชั่วคราว โดยได้ส่งแผนผังรายการเครื่องจักร, แผนภูมิกระบวนการผลิต, สมดุลมวลกระบวนการผลิต, กระบวนการผลิตเหล็กเส้นกรมและเหล็กข้ออ้อย โดยบริษัทฯขอหยุดการใช้เครื่องจักรชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2568 ถึงวันที่ 6 มกราคม พ.ศ.2569
โดยการหยุดเครื่องการใช้งานเครื่องจักรเตาอบเหล็ก และเตาหลอม ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิตและกำลังการผลิตเหล็กเส้นตามกำลังเครื่องจักรที่ได้ทำการติดตั้งไว้ ปรากฏตามหนังสือของผู้ฟ้องคดี เอกสารหมายเลข 15 ซึ่งวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568 สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดระยองพิจารณรับทราบและบันทึกแจ้งหยุดใช้เครื่องจักรบางส่วนชั่วคราวไว้แล้ว
วันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2568 ผู้ฟ้องคดี ได้ทำหนังสือถึงอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4) เรื่องขอชี้แจงการดำเนินการปรับปรุงแก้ไขโรงงานเพิ่มเติม โดยได้ดำเนินการแก้ไขปรับปรุงโรงงานเพิ่มเติมตามสั่งการทุกประเด็นถูกต้องครบถ้วนแล้วเสร็จภายในวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ.2568 จึงขอความอนุเคราะอนุมัติให้ผู้ฟ้องคดี เปิดดำเนินกิจการต่อไป แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 ไม่มีคำสั่งอนุญาต ปรากฏตามหนังสือของผู้ฟ้องคดี
วันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2568 อุตสาหกรรมจังหวัดระยอง โดย นายวีระ นันทะเศรษฐ์ (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 16) มีหนังสือแจ้งกำชับให้ปฏิบัติตามคำสั่งให้หยุดประกอบกิจการโรงงานทั้งหมด โดยอ้างว่าสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดระยอง ไม่อาจบันทึกหรือรับทราบการแจ้งขอหยุดการใช้เครื่องจักรชั่วคราวได้
วันที่ 4 มีนาคม พ.ศ.2568 ผู้ฟ้องคดีทำหนังสือถึงอุตสาหกรรมจังหวัดระยอง เรื่องขอแจ้งลดการใช้กำลังเครื่องจักรและเปลี่ยนแปลงผังเครื่องจักรให้ถูกต้อง ขอให้เพิ่มเติมเอกสารจำนวนเครื่องจักรและกำลังการผลิตตามที่ดำเนินการปรับลดให้ตรงกับข้อเท็จจริงในการแจ้งเปิดดำเนินการในครั้งแรกด้วย
และในวันเดียวกัน (4 มีนาคม 2568) ผู้ฟ้องคดี ได้ทำหนังสือเรื่องขอแจ้งการหยุดใช้เครื่องจักรชั่วคราว กรณีเตาอบเหล็ก ใช้อบ Billet ในกรณีที่เหล็กเย็นเร็วกว่าปกติ ซึ่งไม่มีเตาส่วนนี้ก็ยังคงผลิตเหล็กเส้นได้ตามกำลังการผลิตปกติและได้มาตรฐานตามที่กำหนด ปรากฏตามหนังสือของผู้ฟ้องคดี
วันที่ 5 มีนาคม พ.ศ.2568 ผู้ฟ้องคดี ได้ทำหนังสือถึงอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4) เรื่องขอชี้แจงการปฏิบัติตามคำสั่งเพิ่มเติม ดังนี้
(1) ได้แจ้งขอหยุดการผลิตที่ใช้ก๊าช LPG ซึ่งได้รับอนุมัติเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2568 และต่อมา 4 มีนาคม พ.ศ.2568 ได้ยื่นขอหยุดการใช้เครื่องจักรชั่วคราว (เตาอบเหล็ก) พร้อมกับขอลดกำลังเครื่องจักรต่ออุตสาหกรรมจังหวัดระยอง
(2) ระบบดับเพลิงและอุปกรณ์ป้องกัน ได้มีการตรวจสอบระบบปั๊มน้ำ สายฉีด ท่อดับเพลิง หัวฉีด และระบบสปริงเกอร์ มีการออกแบบและติดตั้งท่อน้ำระบบดับเพลิงเป็นไปตามมาตรฐานการติดตั้งท่อยืน และหัวต่อสายฉีดน้ำดับเพลิง (NFPA 14) ระบบเครื่องสูบน้ำดับเพลิงเป็นไปตามมาตรฐานการติดตั้งเครื่องสูบน้ำดับเพลิง (NFPA 20) ระบบสปริงเกอร์เป็นไปตามมาตรฐานการติดตั้งระบบสปริงเกอร์ (NFPA 13) เมื่อทำการทดสอบมีความพร้อมต่อการใช้งานได้ตามปกติ โดยมีวิศวกรเครื่องกลเป็นผู้ลงนามรับรองระบบ
(3) ระบบสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้มีสภาพสมบูรณ์พร้อมใช้งาน เป็นไปตามมาตรฐานการกำหนดเกี่ยวกับการออกแบบ การติดตั้งระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ (NFPA 72) และได้ทำการทดสอบระบบสัญญาณมีความพร้อมใช้งานได้ตามปกติ โดยมีวิศวกรไฟฟ้าเป็นผู้ลงนามรับรองระบบ
(4) มีการตรวจสอบ ทบทวน อุปกรณ์ดับเพลิงและมาตรการเฝ้าระวังเหตุเพลิงไหม้ แผนป้องกันระงับอัคคีภัย การอบรม แผนการดับเพลิง และอพยพหนีไฟ ตามประกาศของกระทรวงอุตสาหกรรม
(5) เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2568 นายรินทวัฒน์ สมบัติศิริ ผู้อำนวยการกองส่งเสริมเทคโนโลยีการผลิตและพื้นที่อุตสาหกรรมพร้อมคณะ ได้เดินทางมาตรวจติดตามผลการแก้ไข การสั่งการ ของกรมโรงงานอุตสาหกรรม โดยแจ้งว่าการแก้ไขเป็นไปตามสั่งการเป็นที่น่าพอใจ คงมีเพียงรายละเอียดเล็กน้อย ที่จะต้องปรับปรุงบางส่วน
ผู้ฟ้องคดีได้ดำเนินการแก้ไขครบถ้วนแล้วโดยแนบเอกสารประกอบการพิจารณาไปด้วย ซึ่งผู้ฟ้องคดีได้ดำเนินการตามสั่งการเป็นที่เรียบร้อย จึงขอความอนุเคราะห์จากอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4) ยุติคำสั่งหนังสือ ลงวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2568 (คำสั่งที่ 4) เพื่อให้ผู้ฟ้องคดีเปิดดำเนินกิจการต่อไปตามปกติ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 ไม่มีคำสั่งอนุญาตโดยไม่มีคำตอบแต่อย่างใดปรากฏตามหนังสือ
วันที่ 18 มีนาคม พ.ศ.2568 ผู้ฟ้องคดี (บริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด) มีหนังสือถึงอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4) รายงานว่าได้ดำเนินการแก้ไขตามสั่งการ 7 ข้อ พร้อมจัดทำเอกสารสำคัญประกอบรายงานให้ทราบไปแล้ว 2 ครั้ง โดยมีการติดตามและตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ของกรมโรงงานอุตสาหกรรมมาโดยตลอด
จึงขอทราบผลการพิจารณาอนุญาตให้เปิดดำเนินกิจการ เนื่องจากคำสั่งให้หยุดประกอบกิจการโรงงานชั่วคราวได้สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ.2568 แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 ไม่มีคำสั่งอนุญาต
วันที่ 19 มีนาคม 2568 ผู้ฟ้องคดี มีหนังสือถึง เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่องหารือแนวทางปฏิบัติในการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมในรายงาน EIA กรณีชะลอการติดตั้งเครื่องจักรหรือปรับลดเครื่องจักรชั่วคราว ปรากฏตามหนังสือของผู้ฟ้องคดี
@อ้าง‘กรมโรงงานฯ’ออกคำสั่ง‘ฉบับที่ 5’โดยไม่มีอำนาจ-ขัดกฎหมาย
(คำสั่งที่ 5) วันที่ 28 มีนาคม 2568 กรมโรงงานอุตสาหกรรม (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 มีหนังสือแจ้งขยายระยะเวลาการปฏิบัติตามคำสั่งให้หยุดประกอบกิจการโรงงานทั้งหมด โดยเห็นว่าผู้ฟ้องคดีได้ปฏิบัติตามคำสั่งที่ 4 ลงวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2568 ทั้งหมดครบถ้วนแล้ว เว้นแต่ในส่วนของการรับรองรายละเอียดกระบวนการทำงาน แผนภูมิกระบวนการผลิต สมดุลมวลกระบวนการผลิต และระยะเวลาการหลอมเหล็ก จากวิศวกรผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพวิศวกรรม
โดยรับว่าระยะเวลาการปฏิบัติตามคำสั่งที่ 4 ตามหนังสือของกรมโรงงาน ได้สิ้นสุดไปแล้วเมื่อวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ.2568 เห็นควรขยายระยะเวลาการหยุดประกอบกิจการโรงงานเพื่อปฏิบัติตามคำสั่งออกไปอีก โดยให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 7 เมษายน พ.ศ.2568
ผู้ฟ้องคดีเห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 และ ที่ 6 ได้กระทำการโดยมิชอบด้วยกฎหมาย โดยการออกคำสั่งที่ 5 หรือกระทำการอื่นใดโดยไม่มีอำนาจ หรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย หรือโดยไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอนหรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำนั้น หรือโดยไม่สุจริต
หรือมีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม หรือมีลักษณะเป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จำเป็นหรือสร้างภาระให้เกิดกับผู้ฟ้องคดีเกินสมควร หรือเป็นการใช้ดุลยพินิจโดยมิชอบ
กล่าวคือ กรมโรงงานอุตสาหกรรม (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) รับว่า ผู้ฟ้องคดี ได้ปฏิบัติตามคำสั่งที่ 4 ทั้งหมดครบถ้วนแล้ว เว้นแต่ในส่วนของการรับรองรายละเอียดกระบวนการทำงาน แผนภูมิกระบวนการผลิต สมดุลมวลกระบวนการผลิต และระยะเวลาการหลอมเหล็ก จากวิศวกรผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมฯ
คำสั่งในส่วนนี้ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 7 ได้นำมาอ้างเพื่อแจ้งผู้ฟ้องคดีว่าปฏิบัติตามคำสั่งไม่ถูกต้องให้แล้วเสร็จภายในเวลาที่กำหนด ซึ่งได้ล้อมาจากคำสั่งที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 เป็นผู้ออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายมาแต่เดิม
โดยมีเจตนาพิเศษเพื่อกลั่นแกล้งให้ผู้ฟ้องคดีต้องดำเนินการเพิ่มเติมในส่วนของการปรับปรุง ซ่อมแซม เครื่องจักร ภาชนะรับแรงดันฯ ซึ่งผู้ฟ้องคดีเห็นต่างว่ากรณีดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตแต่อย่างใด .
การกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 7 เป็นการร่วมกันแบ่งหน้าที่กันทำ ด้วยการออกคำสั่ง โดยอาศัยตำแหน่งอำนาจหน้าที่ของตนเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดี
ดังนั้น การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 เห็นควรขยายระยะเวลาการหยุดประกอบกิจการโรงงานออกไปโดยให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 7 เมษายน พ.ศ.2568 จึงเป็นการกระทำการโดยมิชอบด้วยกฎหมาย เป็นการออกคำสั่ง หรือกระทำการหรือการกระทำอื่นใดเนื่องจากกระทำโดยไม่มีอำนาจหรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
หรือโดยไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอนหรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำนั้น หรือโดยไม่สุจริต โดยมีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม มีลักษณะเป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จำเป็น โดยสร้างภาระให้เกิดกับผู้ฟ้องคดีเกินสมควร หรือเป็นการใช้ดุลยพินิจโดยมิชอบ
เพื่อจะให้คำสั่งให้หยุดประกอบกิจการโรงงานทั้งหมดฯตามที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 7 ได้ทำขึ้น คงมีผลบังคับใช้ต่อไป ซึ่งไม่มีกฎหมายใดบัญญัติให้อำนาจ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 ให้มีอำนาจขยายระยะเวลาคำสั่งให้หยุดประกอบกิจการโรงงานฯซึ่งสิ้นผลแล้ว ตามกรอบเวลาที่มีผลเพียงวันที่ 6 มีนาคม 2568 ให้สามารถบังคับใช้ได้ต่อไปได้อีกโดยให้ขยายเวลาจนถึงวันที่ 7 เมษายน 2568
@‘ซินเคอหยวน’ส่งหนังสือถึง‘อธิบดี’ขอสั่งเปิดโรงงานเหล็ก
วันที่ 31 มีนาคม 2568 ผู้ฟ้องคดี (บริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด) ได้ทำหนังสือถึง อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม(ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4) ขอให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม(ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) ตรวจสอบการดำเนินการจัดทำเอกสาร รายละเอียดกระบวนการทำงาน แผนภูมิกระบวนการผลิต ระยะเวลาการหลอมเหล็ก
ผู้ฟ้องคดีได้แจ้งด้วยว่า คำสั่งกรมโรงงานอุตสาหกรรม (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) ที่ให้ผู้ฟ้องคดีหยุดประกอบกิจการชั่วคราวเป็นระยะเวลา 90 วันนั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมิใช่เกิดจากกระบวนการผลิตเหล็ก แต่เป็นอุบัติเหตุที่เกิดจากผู้ประกอบการรถยก (เครน) ซึ่งรับจ้างมาทำการขนย้ายถังก๊าช LPG
และเกิดอุบัติเหตุขึ้น ทำให้เกิดเพลิงไหม้ในสถานที่จุดทำการขนย้ายซึ่งอยู่นอกอาคารโรงงานผลิตเหล็ก โดยเหตุการณ์เพลิงไหม้ ไม่ได้เกิดจากเครื่องจักรหรือกระบวนการผลิตเหล็กภายในโรงงาน และห้วงเวลาที่มีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีหยุดประกอบกิจการ
ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหายจากการดำเนินธุรกิจจำนวนมาก และยังต้องจ่ายค่าจ้างแรงงาน ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ค่าดอกเบี้ยในการดำเนินธุรกิจเป็นจำนวนมากในระหว่างที่หยุดประกอบกิจการโดยไม่มีรายรับใดๆเลย ซึ่งเป็นผลมาจากคำสั่งให้หยุดประกอบกิจการชั่วคราวดังกล่าว
ผู้ฟ้องคดีจึงขอให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) มีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดี เปิดดำเนินกิจการต่อไปโดยเร็วที่สุด แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ไม่มีคำสั่งอนุญาต
วันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ.2568 ผู้ฟ้องคดีมีหนังสือถึงอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (ผู้ถูกฟ้องคดีที่4) ขออนุญาตเปิดประกอบกิจการโรงงาน เนื่องจากเจ้าหน้าที่ของกรมโรงงานอุตสาหกรรมได้เข้าตรวจสอบโรงงานของผู้ฟ้องคดีหลายครั้งแล้ว พบว่าผู้ฟ้องคดีได้ปฏิบัติตามคำสั่งของกรมโรงงานอุตสาหกรรมทั้งหมดครบถ้วนแล้ว จึงขอให้มีคำสั่งอนุญาตให้เปิดโรงงาน แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 นิ่งเฉย ไม่มีคำสั่งอนุญาต
วันที่ 26 พฤษภาคม 2568 กรมโรงงานอุตสาหกรรม (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 มีหนังสือให้ผู้ฟ้องคดีชี้แจงข้อเท็จจริงพร้อมเอกสารหลักฐานเพิ่มเติม เนื่องจากยังมีข้อสงสัยในข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการใช้เครื่องจักรในรายการเตาเหนี่ยวนำ เตาอาร์คไฟฟ้า เตาปรับปรุงคุณภาพน้ำเหล็ก โดยขอหลักฐานเพิ่มเติมภายในวันที่ 5 มิถุนายน 2568
การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 แจ้งให้ผู้ฟ้องคดีชี้แจงข้อเท็จจริงเพิ่มเติมโดยอ้างว่ายังมีข้อสงสัยเพิ่มเติมอีก จึงเห็นถึงเจตนาพิเศษที่จะไม่พิจารณาอนุญาตให้ผู้ฟ้องคดีประกอบดำเนินการโรงงานได้ตามปกติ โดยตั้งข้อสงสัยเพิ่มเติมขึ้นอยู่เรื่อยไป การออกคำสั่งดังกล่าวมาจึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดี
โดยเป็นการออกคำสั่ง หรือกระทำการอื่นใดโดยไม่มีอำนาจ หรือกระทำนอกเหนืออำนาจหน้าที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย หรือไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอน หรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำนั้น หรือโดยไม่สุจริต หรือมีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม หรือมีลักษณะเป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จำเป็นหรือสร้างภาระให้เกิดกับผู้ฟ้องคดีเกินสมควร หรือเป็นการใช้ดุลยพินิจโดยมิชอบ
@ชี้‘ทีมสุดซอย’สนองนโยบาย‘เอกนัฏ’ทั้งที่รู้ว่า‘ไม่ถูกต้อง’
29 พฤษภาคม 2568 กรมโรงงานอุตสาหกรรม (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 มีหนังสือชี้แจงทำความเข้าใจโดยสรุปว่าได้เกิดเหตุเพลิงไหม้ถังบรรจุก๊าช LPG (ถังเบ้าท์) ขนาดพื้นที่จัดเก็บ 110,058 ลิตรเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2567 ซึ่งในส่วนที่เกิดเหตุเพลิงไหม้แม้จะอยู่บริเวณภายนอกอาคารโรงงาน
แต่ส่วนที่เกิดเหตุเพลิงไหม้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการผลิตเหล็กเส้นกลม และเหล็กข้ออ้อย โดยอยู่ในส่วนของการให้ความร้อนแก่เหล็กแท่งเพื่อนำไปสู่การรีดเหล็กเส้นและเหล็กข้ออ้อย โดยก๊าซ LPG จากถังที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ปกติจะนำไปใช้ในการให้ความร้อนแก่เหล็กแท่ง
ฉะนั้น การที่ผู้ฟ้องคดี (บริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด) แจ้งว่าเหตุเพลิงไหม้ดังกล่าวไม่ใช่ความผิดที่เกิดจากกระบวนการผลิตเหล็กของผู้ฟ้องคดีจึงเป็นความเข้าใจของผู้ฟ้องคดีเอง แต่ตามข้อเท็จจริงไม่ได้เป็นไปตามที่ผู้ฟ้องคดีเข้าใจ
สำหรับการขยายระยะเวลาการปฏิบัติตามคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีรวม 2 ครั้งนั้น เห็นว่าในการปฏิบัติตามคำสั่งผู้ฟ้องคดีได้ยอมรับและถือปฏิบัติมาโดยตลอดไม่ได้มีการอุทธรณ์คำสั่ง แต่ยังปฏิบัติไม่แล้วเสร็จ เพื่อให้โอกาสแก่ผู้ฟ้องคดีในการที่ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามคำสั่งอย่างถูกต้องครบถ้วน
จึงได้มีการขยายระยะเวลาการปฏิบัติตามสั่งให้กับผู้ฟ้องคดี การขยายเวลาดังกล่าวจึงไม่ได้เป็นการเพิกเฉยไม่ออกคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีเปิดประกอบกิจการโรงงานแต่อย่างใด ปรากฏตามหนังสือกรมโรงงานอุตสาหกรรม
การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 มีหนังสือแจ้งการปฏิบัติหน้าที่ของตนที่ผ่านมา จึงเป็นการใช้อำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบในตำแหน่งของตนเองในการวิเคราะห์พิจารณา เหตุผลที่จะนำมาเป็นเหตุปฏิเสธไม่อนุญาตให้ผู้ฟ้องคดีเปิดดำเนินการโรงงานได้ตามปกติ แม้ส่วนที่เกิดเหตุเพลิงไหม้จะยอมรับว่าอยู่ภายนอกอาคารโรงงาน
แต่ก็กลับบ่ายเบี่ยงว่าเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการผลิตจึงไม่พิจารณาอนุญาตให้ผู้ฟ้องคดีประกอบดำเนินการโรงงานได้ตามปกติ โดยใช้อุบายแจ้งว่าได้ขยายระยะเวลาการปฏิบัติตามคำสั่งให้กับผู้ฟ้องคดี 2 ครั้ง เจตนาเพื่อให้คำสั่งหยุดประกอบกิจการโรงงานทั้งหมดยังมีผลใช้บังคับ
พฤติการณ์ดังกล่าวมาจึงเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดี จึงเป็นกระทำการโดยมิชอบด้วยกฎหมาย เป็นการออกคำสั่ง หรือกระทำการหรือการกระทำอื่นใดเนื่องจากกระทำโดยไม่มีอำนาจหรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
หรือโดยไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอนหรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำนั้น หรือโดยไม่สุจริต หรือมีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม หรือมีลักษณะเป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จำเป็นหรือสร้างภาระให้เกิดกับผู้ฟ้องคดีเกินสมควร หรือเป็นการใช้ดุลยพินิจโดยมิชอบ
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 เป็นคณะทำงานทีมสุดซอย ที่แต่งตั้งโดยนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) การปฏิบัติหน้าที่ดังที่กล่าวมาทั้งหมดก็เพื่อสนองตอบนโยบายในการบริหารราชการแผ่นดินของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ทั้งที่รู้ว่าเป็นโยบายที่ไม่ถูกต้องก็ยังรับมาปฏิบัติตาม และยังสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของตนน้อมรับคำสั่งของตนไปปฏิบัติอีกด้วย
โดยร่วมกันตรวจค้นโรงงานของผู้ฟ้องคดี ซึ่งเป็นพฤติการณ์ที่ไม่เป็นไปตามหลักการที่ถูกต้องและชอบด้วยจริยธรรมในการบริหารราชการแผ่นดิน
วันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ.2568 ผู้ฟ้องคดี (บริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด) ได้ทำหนังสือถึง อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4) ชี้แจงข้อเท็จจริงพร้อมเอกสารหลักฐานเพิ่มเติม ตามที่ได้มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้เครื่องจักรในรายการเตาเหนี่ยวนำ เตาอาร์คไฟฟ้า และ เตาปรับปรุงคุณภาพน้ำเหล็ก
และขอให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม(ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3)มีคำสั่งให้เปิดโรงงานตามปกติภายใน 14 วัน นับจากวันที่ได้รับหนังสือ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 นิ่งเฉย ไม่มีคำสั่งอนุญาต
วันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ.2568 ผู้ฟ้องคดีทำหนังสือถึง อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4)ขอยกเว้นการแจ้งข้อมูลหน่วยการผลิตที่ไม่ใช้บังคับให้ติดตั้งเครื่องมือหรือเครื่องอุปกรณ์พิเศษเพื่อรายงานมลพิษอากาศจากปล่องโรงงาน เนื่องจากผู้ฟ้องคดีได้รับคำสั่งให้หยุดประกอบกิจการโรงงานทั้งหมดเป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 18 ธันวาคม 2567 เป็นต้นมา .
วันที่ 6 มิถุนายน 2568 กรมโรงงานอุตสาหกรรม (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 มีหนังสือแจ้งให้ผู้ฟ้องคดี ชี้แจงพร้อมเอกสารหลักฐานเพิ่มเติม หลังจากที่ผู้ฟ้องคดีได้ชี้แจงประกอบเอกสารโดยผู้แทนของบริษัทฯพร้อมด้วยวิศวกรอุตสาหการ โดยยังมีข้อสงสัยเพิ่มเติมซ้ำอีก โดยอ้างว่าในส่วนของการออกคำสั่งทางปกครองตามมาตรา 39 วรรค 1 การดำเนินการใดๆในแต่ละขั้นตอน ต้องเป็นไปตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย มิได้ขึ้นอยู่กับเวลาที่ผู้ฟ้องคดีแจ้งมา .
ผู้ฟ้องคดี เห็นว่าได้ชี้แจงข้อเท็จจริงตอบข้อสงสัยต่างๆ ให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ครบถ้วนทุกประเด็นแล้ว แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 ก็ยังคงตั้งข้อสงสัยเรื่อยมาอีก โดยมีเจตนาสนองตอบนโยบายของ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) ดังที่กล่าวมาข้างต้น
@ขอเปิด‘โรงงานเหล็ก’อีกครั้ง แต่กลับไม่ได้รับอนุญาต
วันที่ 11 มิถุนายน 2568 กรมโรงงานอุตสาหกรรม (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม มีหนังสือแจ้งเรื่องตรวจโรงงานเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติม โดยอ้างว่าตามที่ผู้ฟ้องคดีและวิศวกรได้ร่วมกันชี้แจงรายละเอียดแล้ว แต่ยังคงมีรายละเอียดบางเรื่องที่ชี้แจงไม่ชัดเจน
จึงได้ขอให้ชี้แจงเพิ่มเติม ซึ่งกรมโรงงานอุตสาหกรรม(ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) ได้พิจารณากระบวนการทำงาน แผนภูมิกระบวนการผลิต สมดุลมวลการผลิต และระยะเวลาการหลอมเหล็กแล้ว เห็นควรแสวงหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติม เพื่อประกอบการพิจารณาตามหนังสือคำสั่งที่อ้างถึง โดยจะไปตรวจสอบโรงงานของผู้ฟ้องคดีในวันที่ 17 มิถุนายน 2568 เวลา 9.00 น. เป็นต้นไป
พฤติการณ์ของกรมโรงงานอุตสาหกรรม (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 มีการกระทำที่ร่วมกันกระทำการโดยมิชอบด้วยกฎหมาย โดยการออกคำสั่ง หรือกระทำการหรือการกระทำอื่นใดเนื่องจากกระทำโดยไม่มีอำนาจหรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
หรือโดยไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอนหรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำนั้น หรือโดยไม่สุจริต หรือมีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม หรือมีลักษณะเป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จำเป็นหรือสร้างภาระให้เกิดกับประชาชนเกินสมควร หรือเป็นการใช้ดุลยพินิจโดยมิชอบ
กล่าวคือ แม้ผู้ฟ้องคดีจะได้ดำเนินการชี้แจงรายละเอียดตามคำสั่งของกรมโรงงานอุตสาหกรรมฯทุกขั้นตอน แต่ก็ยังคงมีข้อสงสัยเพิ่มเติมตามมาอีกเช่นเดิม การอ้างว่ามีรายละเอียดบางเรื่องที่ชี้แจงไม่ชัดเจน จึงต้องการตรวจโรงงานเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติม จึงเป็นเพียงเหตุที่จะได้นำมาพิจารณาประกอบการตั้งข้อให้ผู้ฟ้องคดีชี้แจงเพิ่มเติมอีก เพื่อจะได้ขยายระยะเวลาการปฏิบัติตามคำสั่งให้หยุดประกอบกิจการทั้งหมด ยังมีผลใช้บังคับ
พฤติการณ์ดังกล่าวมาจึงเป็นการร่วมกันกระทำการโดยมิชอบด้วยกฎหมาย เป็นการออกคำสั่ง หรือกระทำการหรือการกระทำอื่นใดเนื่องจากกระทำโดยไม่มีอำนาจหรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย หรือโดยไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอนหรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำนั้น หรือโดยไม่สุจริต หรือมีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม หรือมีลักษณะเป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จำเป็นหรือสร้างภาระให้เกิดกับประชาชนเกินสมควร หรือเป็นการใช้ดุลยพินิจโดยมิชอบ .
การประกอบกิจการโรงงานของผู้ฟ้องคดี ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการถึงวันที่ 31 มกราคม 2569 ซึ่งใกล้จะครบกำหนดระยะเวลาที่ได้รับอนุญาต
การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ปฏิเสธไม่อนุญาตให้ผู้ฟ้องคดีประกอบกิจการโรงงานได้ตามปกติ โดยอ้างเงื่อนไขทางเทคนิคเกี่ยวกับกระบวนการผลิต ตามคำสั่งที่ 3 ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 และ ที่ 6 ดังกล่าวข้างต้น โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 ได้ใช้เป็นเหตุตั้งข้อสงสัยให้ผู้ฟ้องคดี ชี้แจงเพิ่มเติมตลอดมา ก็โดยมีเจตนาถ่วงเวลาให้การประกอบกิจการโรงงานของผู้ฟ้องคดีต้องหมดอายุลง และผู้ฟ้องคดีต้องหยุดประกอบกิจการโรงงานตลอดไปนั่นเอง
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2568 ผู้ฟ้องคดีทำหนังสือถึง อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม(ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4) ขอให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) มีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดี ประกอบกิจการโรงงานได้ตามปกติ โดยให้ส่งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมาตรวจสอบข้อที่ได้สั่งการ ณ ที่โรงงานผู้ฟ้องคดี ในวันที่ 2 กรกฎาคม 2568 เวลา 10.00 น.
และเมื่อตรวจสอบแล้วปรากฏว่าผู้ฟ้องคดี ได้ดำเนินการตามคำสั่งมาครบถ้วนแล้ว ขอได้โปรดมีคำสั่งให้ประกอบการได้ตามปกติดังเดิมด้วย ปรากฏตามหนังสือของผู้ฟ้องคดี
ผู้ฟ้องคดีได้ทำหนังสือลงวันที่ 24 มิถุนายน 2568 ถึงผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 เรื่องอุทธรณ์คำสั่งไม่อนุญาตให้เปิดการประกอบกิจการโรงงาน และขอโต้แย้งคำชี้แจงของกรมโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ยังไม่แจ้งผลการพิจารณาแต่อย่างใด .
ผู้ฟ้องคดียังได้ทำหนังสือถึงอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4) ขออุทธรณ์คำสั่งไม่อนุญาตให้เปิดการประกอบกิจการโรงงาน และขอโต้แย้งคำชี้แจงของกรมโรงงานอุตสาหกรรม(ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) อีกด้วย
วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 กรมโรงงานอุตสาหกรรม (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 ได้มีหนังสือแจ้งเรื่องไม่อาจรับข้อเสนอของผู้ฟ้องคดีที่ขอให้ส่งเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบโรงงาน ตามข้อที่ได้สั่งการไว้ ในวันที่ 2 กรกฎาคม 2568 เวลา 10.00 น. โดยอ้างว่าผู้ฟ้องคดียังเหลือสิ่งที่ต้องปฏิบัติอีก 1 ข้อ ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาโดยจะแจ้งผลการพิจารณาให้ทราบต่อไป
@อ้าง‘กรมโรงงานฯ’ออกคำสั่งนอกเหนือหน้าที่-ชี้ 6 คำสั่งไม่ชอบ
(คำสั่งที่ 6) วันที่ 14 กรกฎาคม 2568 กรมโรงงานอุตสาหกรรม (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 มีหนังสือแจ้งคำสั่งให้ปรับปรุงระบบบำบัดมลพิษอากาศให้มีประสิทธิภาพฯ และ ให้ปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมเครื่องจักร ซึ่งการปรับปรุงระบบบำบัดมลพิษอากาศ อาจใช้วิธีติดตั้งระบบบำบัดอากาศด้วยเทคโนโลยีระบบต่างๆ
เช่น ใช้น้ำหรือของเหลวฉีดพ่นดักจับฝุ่นละอองและสารปนเปื้อนในอากาศ หรือใช้ไฟฟ้าสถิตย์ในการดักจับอนุภาค แต่ผู้ฟ้องคดีอยู่ระหว่างได้รับคำสั่งให้หยุดประกอบกิจการโรงงานทั้งหมดชั่วคราว จึงไม่สามารถที่จะเปิดการทำงานของเครื่องจักรได้ ซึ่งที่ผ่านมาผู้ฟ้องคดีได้ดำเนินการตามคำสั่งข้างต้นมาครบถ้วนแล้ว
จึงได้อุทธรณ์โต้แย้งคำสั่งไปที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และขอได้โปรดมีคำสั่งให้ประกอบการได้ตามปกติ เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ยังไม่มีคำวินิจฉัยในส่วนคำสั่งนี้แต่อย่างใด
การออกคำสั่งให้ปรับปรุงระบบบำบัดมลพิษอากาศดังกล่าว เป็นการกระทำนอกเหนืออำนาจหน้าที่หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอนหรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำนั้น หรือโดยไม่สุจริต หรือมีลักษณะเป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จำเป็นหรือสร้างภาระให้เกิดกับผู้ฟ้องคดีเกินสมควร
จึงเป็นการใช้ดุลยพินิจโดยมิชอบ เนื่องจากผู้ออกคำสั่งรู้อยู่แล้วว่าผู้ฟ้องคดี ได้รับคำสั่งให้หยุดประกอบกิจการโรงงานทั้งหมดชั่วคราวจึงไม่สามารถที่จะเปิดการทำงานของเครื่องจักรได้
การกระทำละเมิดโดยเจ้าหน้าที่อันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย กล่าวคือ หนังสือของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 ดังที่กล่าว นั้น สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 9 มกราคม พ.ศ.2568 ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 12 โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 13, ที่ 14 ในฐานะเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 12) ได้ร่วมกันกระทำละเมิดโดยใช้อำนาจตามกฎหมาย เข้ามาที่โรงงานของผู้ฟ้องคดี
โดยอ้างว่าเป็นการติดตามการดำเนินการแก้ไข ได้แจ้งผลการตรวจสอบผลิตภัณฑ์เหล็กข้ออ้อยทั้งหมด และแจ้งเตือนก่อนสั่งพักใช้ใบอนุญาตฯ กับแจ้งให้ผู้ฟ้องคดีชี้แจงข้อมูล ข้อเท็จจริง และให้จัดส่งหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์เหล็กข้ออ้อยที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานภายใน 15 วัน
โดยวันดังกล่าวมีการบันทึกการยึดหรืออายัดผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม โดยอายัดเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต : เหล็กข้ออ้อย จำนวน 4 รายการ 2,690 เส้น เพื่อส่งไปตรวจสอบ และ มีคำสั่งอายัดไว้อีก 41,635 เส้น มูลค่า 40,000,000 บาท (สี่สิบล้านบาท) โดยให้ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ดูแลเก็บรักษา ซึ่งนับจากวันที่ทำการอายัด (9 มกราคม พ.ศ.2568) ถึงปัจจุบัน ไม่มีการดำเนินการใดๆกับผลิตภัณฑ์เหล็กข้ออ้อย 41,635 เส้น ที่ทำการอายัดไว้
การกระทำละเมิดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 12, ที่ 13,ที่ 14 เป็นการร่วมกันกระทำโดยใช้อำนาจตามกฎหมายจากตำแหน่งหน้าที่ของตนทำการอายัดเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต: เหล็กข้ออ้อย จำนวน 41,635 เส้น ที่มีคำสั่งอายัดไว้ แต่ได้ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ โดยปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควรไม่ดำเนินการใดๆกับเหล็กข้ออ้อยจำนวน 41,635 เส้น ซึ่งผู้ฟ้องคดีไม่สามารถที่จะจำหน่ายผลิตภัณฑ์หรือดำเนินการใดๆได้เลย
คำสั่งที่ 1,ที่ 2,ที่ 3,ที่ 4,ที่ 5,ที่ 6 และ คำสั่งอายัดเหล็ก 41,635 เส้น มูลค่า 40,000,000 บาท (สี่สิบล้านบาท) เป็นคำสั่งที่ออกต่อเนื่องกันมา โดยคำสั่งที่ 3,ที่ 4,ที่ 5,ที่ 6 เป็นคำสั่งที่ออกโดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ซึ่งสืบเนื่องมาจากคำสั่งให้หยุดประกอบกิจการโรงงานทั้งหมดเป็นการชั่วคราว ตามคำสั่งที่ 1 และคำสั่งที่ 2 ที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 15 เป็นผู้ออกคำสั่ง
ส่วนคำสั่งอายัดเหล็ก 41,635 เส้น อันเป็นการกระทำละเมิด สืบเนื่องมาจากคำสั่งให้หยุดประกอบกิจการโรงงานทั้งหมดของผู้ถูกฟ้องคดีที่3 ซึ่งเมื่อวันที่ 14 มกราคม พ.ศ.2568 กรมโรงงานอุตสาหกรรม (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) โดย ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 ได้นำผลการตรวจสอบและการอายัดเหล็กดังกล่าว ไปใช้เป็นเหตุผลทำหนังสือถึงผู้ฟ้องคดี
ผู้ฟ้องคดีได้ยื่นฟ้องภายใน 90 วัน นับจากวันที่ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือฉบับลงวันที่ 24 มิถุนายน 2568 อุทธรณ์ถึงผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และ ที่ 4 และ หนังสือถึงผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 ขอให้มีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีประกอบกิจการได้ตามปกติ และ หนังสือฉบับวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 อุทธรณ์คำสั่งที่ 6 (14 กรกฎาคม 2568) ถึงผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และยื่นฟ้องภายใน 1 ปี นับจากวันที่ 9 มกราคม พ.ศ.2568 วันที่ทำการอายัดเหล็ก 41,635 เส้น อันเป็นวันกระทำละเมิด
โดยขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด กล่าวคือให้พิจารณาสิ่งที่ผู้ฟ้องคดีได้ปฏิบัติตามคำสั่ง เพื่อขอให้เปิดกิจการโรงงาน โดยผู้ถูกฟ้องคดีที 3 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 ได้ออกคำสั่งเพิ่มภาระและสร้างเงื่อนไขแก่ผู้ฟ้องคดีโดยไม่มีเหตุผลที่ชอบธรรม และการกระทำละเมิดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 12,ที่13,ที่14 เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ผู้ถูกฟ้องคดี ได้มีคำสั่งที่ไม่ชอบ ดังต่อไปนี้
คำสั่งที่ 1 เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2567 ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 15
คำสั่งที่ 2 เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2567 ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 15
คำสั่งที่ 3 เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ.2567 ของกรมโรงงานอุตสาหกรรม (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) โดย นายสุนทร แก้วสว่าง (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6)
คำสั่งที่ 4 เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2568 ของกรมโรงงานอุตสาหกรรม(ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 7 ให้ขยายระยะเวลาให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ.2568 คำสั่งที่ 5 เมื่อวันที่ 28 มีนาคม ของกรมโรงงานอุตสาหกรรม (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 ให้ขยายระยะเวลาการปฏิบัติตามคำสั่งให้หยุดประกอบกิจการโรงงานทั้งหมดเป็นการชั่วคราว โดยให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 7 เมษายน พ.ศ.2568
คำสั่งที่ 6 เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2568 ของกรมโรงงานอุตสาหกรรม(ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) โดยนายสุนทร แก้วสว่าง(ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6)ให้ปรับปรุงระบบบำบัดมลพิษอากาศให้มีประสิทธิภาพฯ และ ให้ปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมเครื่องจักร ซึ่งได้อุทธรณ์โต้แย้งคำสั่งไปที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 แต่ยังไม่มีคำวินิจฉัยในส่วนคำสั่งนี้แต่อย่างใด
คำสั่งอายัดเหล็ก 41,635 เส้น ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 12,ที่13,ที่14 เป็นการกระทำละเมิดที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายแก่ผู้ฟ้องคดี
@‘ซินเคอหยวน’ยันเหล็กได้มาตรฐาน-‘เอกนัฏ’ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ
พฤติการณ์ดังกล่าวมาข้างต้นของ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ถึง ที่ 16 จึงเป็นการร่วมกันกระทำการโดยมิชอบด้วยกฎหมาย โดยมีการร่วมกันทำละเมิด โดยเป็นการออกคำสั่ง หรือกระทำการหรือการกระทำอื่นใดเนื่องจากกระทำโดยไม่มีอำนาจหรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
หรือโดยไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอนหรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำนั้น หรือโดยไม่สุจริต หรือมีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม หรือมีลักษณะเป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จำเป็นหรือสร้างภาระให้เกิดกับประชาชนเกินสมควร หรือเป็นการใช้ดุลยพินิจโดยมิชอบด้วยการแบ่งหน้าที่กันทำ
โดยใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 16 คน โดยแต่ละคนได้ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่การงานของตนเอง ผนึกกำลังร่วมกันกลั่นแกล้งผู้ฟ้องคดีเพื่อสนองตอบให้คำสั่งหยุดประกอบกิจการโรงงานทั้งหมดเป็นการชั่วคราวดังกล่าวมายังคงให้มีผลใช้บังคับ
ทั้งนี้ โดยมีเจตนาพิเศษร่วมกันกระทำเพื่อให้เกิดความเสียหายกับผู้ฟ้องคดี โดยคาดการณ์เล็งเห็นผลไปจนถึงการประกอบกิจการโรงงานของผู้ฟ้องคดี พ้นกำหนดเวลาตามที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการถึงวันที่ 31 มกราคม 2569 อันจะส่งผลให้ผู้ฟ้องคดี ต้องหยุดประกอบกิจการโรงงานเป็นการถาวร ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการลงทุนภาคอุตสาหกรรม
โดยเริ่มจากในส่วนนโยบายที่ไม่ชอบด้วยจริยธรรมของนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) กล่าวคือ
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มาตรา 160 (5) บัญญัติให้รัฐมนตรีต้องไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
และมาตรา 164 บัญญัติว่า ในการบริหารราชการแผ่นดิน คณะรัฐมนตรีต้องดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา และต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ด้วย (1) ปฏิบัติหน้าที่และใช้อำนาจด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ฯลฯ, (3) ยึดถือและปฏิบัติตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ซึ่งมาตรา 170 (4) บัญญัติให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวเมื่อ ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 160 กล่าวคือ
เมื่อวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ.2568 เวลาช่วงบ่าย ได้เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวเป็นเหตุให้ตึกก่อสร้างอาคารสำนักงาน สตง. พังถล่ม มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก จากเหตุการณ์ดังกล่าว ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้มาที่เกิดเหตุ ได้แถลงข้อเท็จจริงกับผู้สื่อข่าวหลายสำนักทั้งสื่อโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์
โดยประมวลข้อเท็จจริงชี้นำว่าเหตุตึกถล่มมีเพียงตึกเดียวในกรุงเทพฯ ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้ขออนุญาตผู้เกี่ยวข้องเข้าไปเก็บตัวอย่างเหล็กที่ใช้ในการก่อสร้าง 6 ขนาด คือเหล็กข้ออ้อย เหล็กกลม ส่วนใหญ่จะมาจากผู้ผลิตรายเดียว โดยมีการเก็บตัวอย่างเหล็กออกไปจากสถานที่จริงเพื่อไปตรวจสอบคุณภาพที่สถาบันเหล็ก
โดยอ้างว่าตนได้เข้าไปตรวจสอบและตั้งข้อสังเกตว่าวัสดุที่นำมาใช้ในการก่อสร้างได้คุณภาพหรือไม่ได้คุณภาพ โดยเห็นความผิดปกติบางส่วน ขนาดเหล็กเป็นอย่างไร เหล็กมาจากผู้ผลิตรายไหน โดยมีการแถลงข้อเท็จจริงว่าได้มอบหมายให้ทีมชุดสุดซอย ซึ่งเป็นคณะทำงานออกตรวจออกจับ โดยขอให้สื่อมวลชนไปดูที่ตัวเหล็กตัวอย่างเหล็กที่เก็บมา ซึ่งสาเหตุของตึกถล่มอาจจะมาได้จากหลายสาเหตุ
ในส่วนกระทรวงอุตสาหกรรม ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ช่วยในการสืบหาสาเหตุได้ คือดูว่าตัวเหล็กเป็นไปตามสเป็คไหม ได้คุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ไหม ซึ่งที่ผ่านมาหกเจ็ดเดือนตนได้ออกตรวจจับ ถึงจะมี มอก. บางตัวไปตรวจแล้วไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งได้จัดการปราบศูนย์เหรียญและสินค้าไม่ได้คุณภาพ ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้ให้ข้อมูลในรายการต่างๆเผยแพร่ไปทั่วประเทศ ดังนี้
วันที่ 3 เมษายน 2568 ให้ข้อมูลในรายการโทรทัศน์คุยข้ามช็อต ช่อง PPTV 36 และเผยแพร่ออกอากาศซ้ำทางสื่อออนไลน์ช่องยูทูปตลอดมา โดยยืนยันข้อเท็จจริงว่า เหล็กเก็บมาจากอาคารที่ทำการก่อสร้างตึก สตง. ถล่ม มี 2 ขนาดที่ตกมาตรฐานซึ่งเป็นเหล็กของ บริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด (ผู้ฟ้องคดี) ซึ่งบริษัทฯได้ถูกปิดไปตั้งแต่เดือนธันวาคม 2567
ต่อมาปรากฏว่าผลการตรวจสอบสาเหตุที่ตึก สตง. พังถล่ม ตามที่นายกรัฐมนตรี (นางสาวแพทองธาร ชินวัตร) ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นตรวจสอบนั้นเป็นเอกภาพทุกสถาบัน มีข้อมูลสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน
คือ พบความบกพร่องการออกแบบอาคารและวิธีการก่อสร้าง โดยเฉพาะเทคนิคการก่อสร้างโครงการนี้ ผนังช่องลิฟต์ ผนังบันได หรือผนังรับแรงเฉือน ที่ทำให้เกิดตึกพังถล่มลงมา
ส่วนเหล็กและวัสดุก่อสร้างอื่นๆ เป็นวัสดุปกติที่ได้มาตรฐานทั่วไป แต่การนำมาใช้ในโครงการนี้จะมีคอนกรีตที่ไม่ได้มาตรฐาน และรายงานสรุปผลการตรวจพิสูจน์ของคณะกรรมการที่แต่งตั้งโดยนายกรัฐมนตรี ปรากฏตามภาพข่าวสรุปผลสอบตึก ส.ต.ง.ถล่ม จาก 4 สถาบันทางวิศวกรรม
แม้ว่านายกรัฐมนตรี ได้แถลงข่าวว่าคณะกรรมการจะได้แจ้งผลการตรวจพิสูจน์สาเหตุของอาคารตึก สตง. พังถล่ม โดยเผยแพร่ออกอากาศไปทั่วประเทศว่าเหล็กและวัสดุก่อสร้างอื่นๆ เป็นวัสดุปกติที่ได้มาตรฐาน แต่กลับมีข่าวเผยแพร่ยืนยันข้อเท็จจริงย้อนแย้งว่าไม่ว่าผลตรวจสอบเหล็กของ สตง. จะเป็นเช่นไร
ผู้ถูกฟ้องคดีก็ไม่เปลี่ยนความจริงในการดำเนินคดีกับเหล็กไม่ได้มาตรฐานของผู้ฟ้องคดี ที่กระทรวงอุตสาหกรรม (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2) ดำเนินการอยู่ ปรากฏตามคลิป รายการเที่ยงทันข่าว ช่อง PPTV HD 36 วันที่ 1 กรกฎาคม 2568
พฤติกรรมดังกล่าวของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จึงมีเจตนาฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง โดยมีอคติจงใจปฏิบัติหน้าที่ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมโดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดี อันเป็นการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ และกฎหมายฯ โดยใช้อำนาจด้วยความไม่สุจริต
โดยมีพฤติกรรมเจตนาชี้นำให้ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ถึง ที่ 16 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งคณะทำงานทีมสุดซอยที่ได้รับการแต่งตั้งจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ให้กระทำการในหน้าที่เพื่อสนองนโยบายที่มิชอบของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ถึง 16 รับคำสั่งเชิงนโยบายที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มาปฏิบัติตาม
กล่าวคือ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้มอบหมายสั่งการมอบนโยบายให้คณะทำงานสุดซอยที่ตนได้แต่งตั้ง ซึ่งมีผู้ถูกฟ้องคดีที่ 8 เป็นหัวคณะทำงาน ได้ทำการตรวจสอบผลิตภัณฑ์ของผู้ฟ้องคดี โดยมีการกลั่นแกล้งโดยใช้ สั่งการ หรือมอบหมายให้ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ถึงผู้ถูกฟ้องคดีที่ 16 ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองและข้าราชการ เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2)
กรมโรงงานอุตสาหกรรม(ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม(ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 12) อุตสาหกรรมจังหวัดระยอง(ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 15,16) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน, การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 11) และผู้ถูกฟ้องคดีดังที่กล่าวมาในตอนต้นทั้งหมด ให้สนองตอบนโยบายที่ไม่ชอบธรรมเพื่อไม่ให้โรงงานของผู้ฟ้องคดี สามารถเปิดการดำเนินงานโรงงานได้ตามปกติ
นอกจากนี้ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ยังให้ข้อมูลเผยแพร่ข้อเท็จจริงออกสื่อสาธารณะว่าโรงงานของผู้ฟ้องคดีได้ถูกสั่งปิดชั่วคราวเนื่องจากพบว่ามีเหล็กที่ผลิตออกมาไม่ได้มาตรฐาน มอก. และเหล็กบางส่วนถูกพบใช้ในโครงการก่อสร้างอาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน สตง. โดยเหล็กถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุทำให้ตึกถล่ม ดังนั้น ผลตรวจของเหล็กผู้ฟ้องคดี ที่ไม่ผ่านมาตรฐานจากโรงผลิตดังกล่าวจึงต้องสั่งปิดไปก่อน
และมีการกล่าวย้ำว่าไม่ว่าซินเคอหยวน (ผู้ฟ้องคดี) จะมีโครงการอื่นอีกหรือไม่ แต่นับจากนี้ ซินเคอหยวน (ผู้ฟ้องคดี) จะไม่มีโอกสาเปิดโรงงานและดำเนินกิจการอะไรได้อีกในประเทศไทย อันเป็นการแสดงให้เห็นถึงเจตนาพิเศษที่ต้องการให้เกิดความเสียหายกับผู้ฟ้องคดีอย่างชัดแจ้ง ทั้งยังเป็นการใช้อำนาจหน้าที่ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม โดยมีอคติและเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบอีกด้วย
เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2567 และวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 กองตรวจการมาตรฐาน 1 (สมอ.) ซึ่งมีผู้ถูกฟ้องคดีที่ 13 เป็นผู้อำนวยการ ได้ขอรับบริการนำส่งเหล็กเข้าศูนย์ทดสอบสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย โดยนำเหล็กเส้นคอนกรีต เหล็กข้ออ้อย ชื่อขนาด DB 25 และ DB 32 ของผู้ฟ้องคดี เข้าทำการทดสอบเพื่อหาค่าทางเคมีของโบรอนว่าเกินมาตรฐานหรือไม่ ซึ่งตามข้อกำหนดของ สมอ. ค่ามาตรฐานของโบรอนต้องน้อยกว่า 0.0008%
แต่ขณะที่ห้องปฏิบัติการของสถาบันเหล็กฯ ดังกล่าว ที่ใช้ตรวจสอบแม้จะได้รับการรับรองตาม มอก. 17025 จากราชการก็ตาม แต่ช่วงความสามารถในการทดสอบโบรอนของสถาบันดังกล่าวอยู่ระหว่าง 0.0009%-0.0025% เท่านั้น ซึ่งห้องปฏิบัติของสถาบันเหล็กฯ ดังกล่าวจึงไม่มีขีดความสามารถตามที่ สมอ. กำหนดในการตรวจโบรอน
โดยจะมีสัญลักษณ์ * (symbol) ปรากฏในตารางรายการตรวจส่วนประกอบทางเคมี ผลตรวจจึงไม่มีผลทางกฎหมายและไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานยืนยันว่าเหล็กของผู้ฟ้องคดีไม่ผ่านมาตรฐาน ปรากฏตามผลตรวจสอบหาค่าโบรอน
ต่อมาภายหลังจากตึก สตง. ถล่ม เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2568 สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม โดย ผู้อำนวยการกองตรวจการมาตรฐาน 1 (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 13) ได้มีหนังสือถึงบริษัทฯ อ้างว่าจากเหตุการณ์ตึก สตง. ถล่ม พนักงานเจ้าหน้าที่สำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม ได้ดำเนินการเข้าเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต เหล็กเส้นกลม เหล็กข้ออ้อย เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2568 จากสถานที่เกิดเหตุ
จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวที่ตรวจพบบางส่วนในที่เกิดเหตุ เป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นของผู้ฟ้องคดี จึงขอความร่วมมือให้ผู้ฟ้องคดี แจ้งข้อมูล ข้อเท็จจริง และจัดส่งหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์เหล็กข้ออ้อย ขนาด DB 20 และ DB 32 ที่จำหน่ายให้โครงการข้างต้นฯ ปรากฏตามหนังสือสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2568 ผู้ฟ้องคดีได้ทำหนังสือชี้แจง สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กรณีให้แจงข้อมูล ข้อเท็จจริง ตามหนังสือลงวันที่ 1 เมษายน 2568 โดยแจ้งว่าผู้ฟ้องคดี ไม่ได้เป็นผู้จำหน่ายเหล็กให้กับโครงการก่อสร้างอาคาร สตง. ดังกล่าวแต่อย่างใด จึงไม่อยู่ในฐานะที่จะให้ข้อมูลตามที่สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ขอให้แจ้งข้อมูล ปรากฏตามหนังสือของบริษัทฯ
ภายหลังจากผู้ฟ้องคดีได้ตอบชี้แจง ตามหนังสือของ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม โดยนายปรเมศวร์ ปาสิงห์ ผู้รับมอบอำนาจ ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีกล่าวหาว่าผู้ฟ้องคดี ขัดขวางพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ ปรากฏตามหมายเรียกผู้ต้องหา ซึ่งไม่เป็นความจริง
เนื่องจากผู้ฟ้องคดีได้ตอบชี้แจงสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม แล้วว่าผู้ฟ้องคดีไม่ได้เป็นผู้จำหน่ายเหล็กให้กับโครงการก่อสร้างอาคาร สตง. จึงไม่อยู่ในฐานะที่จะให้ข้อมูลได้
การกระทำของผู้ถูกสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม โดยผู้ถูกกล่าวหาที่ 13 ผู้อำนวยการกองตรวจการมาตรฐาน 1 ซึ่งได้รับมอบหมายให้นำเสนอข้อมูลที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวให้กับผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 จึงถือว่ามีเจตนาพิเศษเพื่อนำข้อมูลไปเผยแพร่ในสื่อช่องทางต่างๆเพื่อให้เกิดความเสียหายกับผู้ฟ้องคดี
@ออกคำสั่งละเมิด‘ซินเคอหยวน’-กระทบ‘อุตฯเหล็ก’ทั้งระบบ
จากการร่วมกันออกคำสั่งและการกระทำละเมิดของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งหมดดังที่กล่าวมา ทำให้เกิดความเสียหายกับระบบเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเหล็กและผู้ฟ้องคดี (บริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด) ดังนี้
(1) ก่อนที่โรงงานของผู้ฟ้องคดี จะถูกสั่งปิด (18 ธันวาคม 2567) ราคาเหล็กเส้นอยู่ที่ กิโลกรัมละประมาณ 16 บาท ขณะที่ราคาวัตถุดิบอย่างเศษเหล็กกลับปรับตัวลดลงจาก 12 บาทต่อกิโลกรัม เหลือเพียง 9 บาท ต่อกิโลกรัม เมื่อโรงงานของบริษัทฯถูกสั่งปิด
สถานการณ์ดังกล่าวกระทบโดยตรงต่อการก่อสร้างภายในประเทศทั้งระบบโดยเฉพาะผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการหลายรายที่ทำสัญญาไว้ในช่วงที่ราคาเหล็กยังอยู่ในราคาเดิมที่ต่ำกว่า โดยในขณะนี้ได้เผชิญกับต้นทุนราคาเหล็กที่มีราคาเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก โดยบางรายไม่สามารถแบกรับภาระได้ทำให้โครงการก่อสร้างหลายแห่งต้องหยุดดำเนินการไปชั่วคราว .
ภาพรวมอุตสาหกรรมเหล็กไทยหลังเหตุการณ์ตึก สตง.ถล่ม ได้มีการสร้างข้อมูลสู่สาธารณะที่ไม่ถูกต้อง แต่มีนักวิชาการ ได้อธิบายถึงสถานการณ์และสภาวะของวงการอุตสากรรมเหล็กไว้ว่า ได้มีการเริ่มต้นจากการ share ข้อมูลเหล็กตัว T ซึ่งมีมาตรฐานรับรอง มอก.24-2548 ในโครงการก่อสร้างอาคาร สตง. และกลายเป็นกระแสอย่างรวดเร็วมากหลังการโพสต์
ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับการผลิตได้เริ่มเข้าเก็บตัวอย่างเหล็กและพบว่าเหล็กส่วนใหญ่ผลิตจากเตา IF ซึ่งในช่วงก่อนปี 2558 ประเทศไทยเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนเหล็กเส้น เนื่องจากโรงงานผลิตมีไม่เพียงพอต่อการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์
จึงมีการขยายการผลิตโดยอนุญาตการใช้เตาหลอม Induction Furnace (IF) ภายใต้มาตรฐาน มอก. 24-2559 ที่เน้นการรักษาสิ่งแวดล้อมและการต้องขึ้นทะเบียนเศษเหล็กที่เข้าเตาหลอมอย่างเคร่งครัด ซึ่งหลังจากที่มีการตั้งโรงงานใหม่ ใช้เตาหลอมแบบ IF จำนวนมาก ปัญหาการขาดแคลนเหล็กเส้นในประเทศก็ลดลง ราคาเหล็กเส้นคงตัวตลอดจากปี 2558 จนถึงปี 2568 โดยประเทศไทยสามารถลดการนำเข้าจากต่างประเทศได้เป็นจำนวนมาก
(2) แต่เหตุการณ์แผ่นดินไหววันที่ 28 มีนาคม 2568 ทำให้ตึก สตง. ถล่ม มีกลุ่มบุคคลที่เป็นวิศวกร ได้ให้ข้อมูลว่าเหล็กตามมาตรฐาน มอก. 24-2559 (ซึ่งมีการใช้งานโดยเฉพาะเหล็ก T มาเกือบ 20 ปี) เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการพังถล่มของอาคาร
จึงเป็นผลให้ภาครัฐ นำโดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ถึงผู้ถูกฟ้องคดีที่ 16 ได้ร่วมกันตรวจสอบและพบว่าเหล็กเส้นในโครงการดังกล่าวผลิตจากเตาหลอม IF ส่งผลให้เกิดกระบวนการตรวจสอบอย่างต่อเนื่องและมีคำสั่งปิดโรงงานผลิตเหล็ก IF อย่างน้อย 11 แห่งโดยเหตุผลต่างๆ แม้ว่าเหตุผลหลักในการปิดไม่เกี่ยวกับกำลังของเหล็กเส้นก็ตาม รวมทั้งโรงงานของผู้ฟ้องคดีด้วย
โรงงานเหล่านี้สามารถผลิตเหล็กกว่า 1,600,000 ตันต่อปี ทำให้สูญเสียกำลังผลิต อันเนื่องมาจากการสื่อสารดังกล่าวที่ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงในสื่อโซเชียลและสื่อต่างๆ ทำให้ผู้บริโภคสูญเสียความเชื่อมั่นในเหล็ก IF ผลิตภัณฑ์ IF และเหล็ก T โรงงานที่เหลือจึงหยุดหรือชะลอตัวการผลิต ส่งผลให้เกิดภาวะขาดแคลนเหล็กเส้นในช่วงเดือนพฤษภาคม ถึง มิถุนายน 2568 ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเหล็ก อสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้างในวงกว้าง
ความเข้าใจผิดและการสื่อสารที่ไม่ถูกต้อง เป็นผลจากการกระทำของกลุ่มที่อาจจะเล็งเห็นประโยชน์ในตลาด เหล่านักลงทุนบางกลุ่มในอุตสาหกรรมเหล็ก ซึ่งหวังในประโยชน์ส่วนตนผลักดันข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับมาตรฐานของเหล็ก IF เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันจากเตาหลอม EAF
ทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้างรวมถึงประชาชนต้องเผชิญกับความสับสนและความไม่แน่นอนทำให้เหล็กที่มีผู้ตั้งใจกักตุนไว้ในความสับสนนี้ถือโอกาส ขึ้นราคาซื้อจากตันละ 18.000-20,000 บาทเป็น 22,000-24,000 บาทและยังจะขึ้นราคาต่อเนื่องขณะนี้ส่งผลให้มีผู้ทำกำไรจากเหตุการณ์นี้โดยออกข่าวที่สับสนกับตลาดกว่า 400-600 ล้านบาท
เหตุการณ์นี้จึงส่งผลตามมาให้ต้นทุนการก่อสร้างเพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และยังทำให้โครงการหลายแห่งต้องชะลอการดำเนินการหรือเลื่อนโครงการออกไป ส่งผลกระทบต่อการจ้างงานในวงกว้าง อีกทั้งยังทำให้เกิดความไม่มั่นคงในภาคอสังหาริมทรัพย์ ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายต่างรอดูสถานการณ์
การปรับตัวของราคาวัสดุก่อสร้างอื่น ๆ ก็มีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้นตามมา เนื่องจากแรงกดดันจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นและความไม่มั่นคงในตลาด ปรากฏตามข้อความวิชาการเผยแพร่โพสต์ในเฟสบุ๊ค ซึ่งนักลงทุนบางกลุ่มในอุตสาหกรรมเหล็กที่ได้ประโยชน์จากการให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องดังกล่าวเป็นผู้ให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลังนักการเมืองที่สามารถให้คุณและโทษแก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กที่ใช้เตาหลอม IF ที่ได้รับมาตรฐาน มอก.
(3) จากการร่วมกันทำละเมิด และมีคำสั่งให้หยุดประกอบกิจการโรงงานของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งหมดนับจากวันที่ 18 ธันวาคม 2567 เรื่อยมาถึงปัจจุบันเป็นเวลา 8 เดือนเศษ
โดยผู้ฟ้องคดีได้พยายามแก้ไขปัญหาตามที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งหมดได้ร่วมกันสร้างเงื่อนไขสั่งการเพิ่มภาระ เพิ่มขั้นตอน ให้ผู้ฟ้องคดีจำต้องปฏิบัติตามโดยไม่จำเป็นเรื่อยมา แต่ก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ผู้ฟ้องคดีเปิดดำเนินโรงงานตามปกติ โดยอ้างเหตุที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายโต้แย้งคำขอให้เปิดดำเนินกิจการโรงงานของผู้ฟ้องคดีตลอดมา
ระบบเศรษฐกิจในอุตสาหกรรมเหล็กได้รับผลกระทบโดยตรงอย่างมากเหลือคณานับซึ่งข้อเท็จจริงจากการประกอบกิจการโรงงานของผู้ฟ้องคดีตั้งแต่เริ่มประกอบกิจการจนถึงวันที่กลุ่มผู้ถูกฟ้องคดีทั้งหมดได้ร่วมกันออกคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีหยุดประกอบกิจการทั้งหมดเป็นการชั่วคราวนั้น ในหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องจะต้องตรวจสอบและให้การรับรองการประกอบกิจการของบริษัทเป็นประจำทุกปี
ตั้งแต่ 23 กุมภาพันธ์ 2554 ตลอดมาถึงวันเกิดเหตุที่ถังแก๊สรั่วไหล (18 ธันวาคม 2567) ไม่เคยปรากฏว่าผลิตภัณฑ์ของผู้ฟ้องคดี ไม่ได้มาตรฐานหรือกระบวนการผลิตของโรงงานผู้ฟ้องคดีไม่ถูกต้อง หรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย กฎระเบียบ ที่กำหนดไว้แต่อย่างใด ซึ่งจากการตรวจสอบที่ผ่านมา ผู้ฟ้องคดี ไม่เคยได้รับแจ้งว่าผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ภายใต้เครื่องหมายการค้า SKY ไม่ได้มาตรฐานหรือกระบวนการผลิตไม่ถูกต้อง
@ยก 9 ประเด็นขอศาลฯเพิกถอน‘คำสั่ง’ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ผู้ฟ้องคดี จึงขอศาลได้โปรดมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งทางปกครองของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 และที่ 7 เนื่องจากเป็นคำสั่งที่ออกโดยไม่ชอบ
กล่าวคือ เป็นการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย เป็นการออกคำสั่ง หรือกระทำการหรือการกระทำอื่นใดเนื่องจากกระทำโดยไม่มีอำนาจหรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย หรือโดยไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอนหรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำนั้น หรือโดยไม่สุจริต
หรือมีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม หรือมีลักษณะเป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จำเป็นหรือสร้างภาระให้เกิดกับผู้ฟ้องคดีเกินสมควร หรือเป็นการใช้ดุลยพินิจโดยมิชอบ โดยมีการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร ดังมีรายละเอียด คือ
(1) คำสั่งแจ้งการขยายเวลาไม่ได้ชี้แจงรายละเอียดให้ผู้ฟ้องคดีทราบว่า การรับรองรายละเอียดกระบวนการทำงานไม่ครบถ้วนส่วนไหน มีรายละเอียดอย่างไร และไม่มีข้อจํากัดการใช้อำนาจขยายระยะเวลาของผู้ถูกฟ้องคดี จึงไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายข้อกฎหมายที่อ้างอิง ข้อพิจารณาและข้อสนับสนุนในการใช้ดุลยพินิจจึงไม่ชอบด้วยมาตรา 37 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539
(2) การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 ยอมรับว่าผู้ฟ้องคดีได้ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขครบถ้วน 7 ข้อแล้ว แต่กลับแจ้งว่าผู้ฟ้องคดียังดำเนินการไม่ครบถ้วนอีกเล็กน้อยตามคำสั่งที่ 5 และต่อมาออกหนังสือแจ้งข้อสงสัยเพิ่มเติมอีกนั้นเป็นการวินิจฉัยที่ขัดแย้งกันเองไม่อาจรับฟังได้
โดยเป็นเพียงการตั้งข้อสมมติฐานเพื่อกล่าวหากลั่นแกล้งผู้ฟ้องคดีโดยปราศจากหลักฐานการตั้งข้อสันนิษฐานว่าน่าจะเกิดอันตรายกับบุคคลและทรัพยสินข้างเคียงโรงงานโดยผู้ถูกฟ้องคดีไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าจะเกิดอันตรายอย่างไร จึงเป็นคำวินิจฉัยที่ไม่ชอบ
(3) ผู้ฟ้องคดีได้ชี้แจงตามคำสั่ง 7 ข้อ โดยได้มีใบแนบแสดงรายละเอียดข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสําคัญ ข้อกฎหมาย ที่อ้างอิง ข้อพิจารณา เหตุผลสนับสนุนในการชี้แจง มีวิศวกรผู้ควบคุมตามคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีแล้ว พร้อมวิธีคําอธิบายครบถ้วนตามคำสั่งตามความในมาตรา 37 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ แล้ว ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีสามารถ อ่านและทําความเข้าใจได้เอง การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ออกหนังสือสอบถามข้อสงสัย และคําวินิจฉัยต่อมาถือเป็นการเลือกปฏิบัติ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย .
(4) ระหว่างที่เจ้าพนักงานของผู้ถูกฟ้องคดีทําการตรวจสอบตั้งแต่เข้าตรวจปฏิบัติการในวันที่ 18 ธันวาคม 2567 จนถึงวันที่ผู้ฟ้องคดียื่นหนังสือฉบับสุดท้ายให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 มาตรวจสอบและขอให้มีคำสั่งเปิดโรงงานในวันที่ 2 กรกฎาคม 2568 แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 ได้ตอบหนังสือลงวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 อ้างว่าอยู่ระหว่างตรวจรายละเอียดโดยละเว้นไม่มาตรวจสอบที่โรงงานของผู้ฟ้องคดี จึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
(5) หนังสือแจ้งการขยายเวลาการสั่งปิดโรงงาน และ ขอให้ผู้ฟ้องคดีชี้แจงรายละเอียดเพิ่มเติมจากเดิม 5 ข้อ เป็น 7 ข้อ และ ขอให้อธิบายชี้แจงกระบวนการผลิตอันเป็นความลับทางการค้าของผู้ฟ้องคดีเพิ่มเติมนั้น ไม่ชอบด้วยมาตรา 37 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539
หนังสือแจ้งคำสั่งและขอให้ชี้แจงรายละเอียดเพิ่มเติมนั้น ออกโดยอาศัยอำนาจแห่งกฎหมายซึ่งมีผลอันที่จะก่อนิติสัมพันธ์ขึ้น และมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล ระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดี หนังสือดังกล่าวจึงเป็นคําสั่งทางปกครองต้องทําให้ถูกต้องตามรูปแบบ ของมาตรา 37
โดยต้องจัดให้มีเหตุผล และประกอบด้วยข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสําคัญ ข้อกฎหมายที่อ้างอิง ข้อพิจารณาและข้อสนับสนุนในการใช้ดุลยพินิจฯ ซึ่งหนังสือแจ้งให้ผู้ฟ้องคดีอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมตอบข้อสงสัยต่างๆทุกฉบับ
ไม่ปรากฏรายละเอียดข้อเท็จจริงว่าถูกฟ้องคดีที่ 3, ที่ 6, ที่ 7 เห็นว่าผู้ฟ้องคดีอธิบายข้อสงสัยไม่ครบถ้วนอย่างไร ไม่ถูกต้องส่วนไหนโดยไม่ระบุข้อกฎหมายที่ปรับใช้เพื่อการขอให้อธิบายหรือส่งเอกสารเพิ่มเติม เป็นกรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดีตั้งข้อสงสัยขึ้นเอง ไม่ระบุข้อกฎหมายที่ปรับใช้ ดังนั้นจึงถือว่าหนังสือแจ้งข้อสงสัยทุกฉบับดังกล่าวมีข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสําคัญ และข้อกฎหมายที่อ้างอิงไม่ครบถ้วนตามบทบัญญัติของกฎหมาย .
(6) ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 15 ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3, ที่ 6,ที่ 7 ออกหนังสือแจ้งให้ผู้ฟ้องคดีหยุดประกอบกิจการโรงงานฯ ตามที่กล่าวมาข้างต้น เพื่อสนองนโยบายของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ซึ่งได้ให้ข้อมูลสัมภาษณ์ในรายการต่างๆชี้นำว่า เหล็กของโรงงานผู้ฟ้องคดีมีปัญหาไม่ได้มาตรฐาน
ในระหว่างที่ปฏิบัติตามคำสั่งนั้น ผู้แทนของผู้ฟ้องคดีได้ไปพบเจ้าพนักงานของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ที่กรมโรงงานฯหลายครั้งเพื่อชี้แจงรายละเอียดและตอบข้อสงสัยต่างๆทั้งในประเด็นข้อเท็จจริงและประเด็นข้อกฎหมาย โดยมีการบันทึกรายละเอียดและเหตุผล แห่งการชี้แจงไว้เพื่อตรวจสอบด้วย
จึงแสดงได้ว่าผู้ฟ้องคดีได้ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีมาเป็นลำดับโดยครบถ้วนถูกต้องแล้ว แสดงว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ที่ 4 ที่ 6 ที่ 7 ทราบและเข้าใจเหตุผลในการชี้แจงดังกล่าวเป็นอย่างดี กรณีดังกล่าวผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ที่ 4 ที่ 6 ที่ 7 จึงไม่จำต้องมีหนังสือเพื่อขอสอบถามเพิ่มเติมอีกว่า กระบวนการผลิตของผู้ฟ้องคดีเป็นอย่างไร
เหตุผลที่ผู้ถูกฟ้องคดีมีหนังสือสอบถามเพิ่มเติมขอทราบรายละเอียดนั้นจึงจําต้องระบุให้ชัดเจน ตามมาตรา 37 วรรคสาม (2) แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 กรณีจึงถือว่าหนังสือแจ้งคำสั่งเพิ่มเติม และหนังสือขอสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
(7) การตั้งข้อสงสัยโต้แย้งเพิ่มเติมของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2,ที่ 3,ที่ 4,ที่ 6,ที่ 7 ไม่ได้กระทําภายในกําหนดเวลาตามกฎหมาย เป็นการสร้างภาระเพิ่มเติมให้กับผู้ฟ้องคดี โดยผู้ฟ้องคดี ได้ส่งหนังสือเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2568 ขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2,ที่ 3 มีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ฟ้องคดีเปิดกิจการโรงงานได้ตามปกติ
โดยขอนัดหมายล่วงหน้าตรวจสภาพโรงงาน 8 วัน โดยนัดวันที่ 2 กรกฎาคม 2568 เวลา เวลา 10.00 แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 ส่งหนังสือแจ้งลงวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 โดยส่งถึงผู้ฟ้องคดีวันที่ 2 กรกฎาคม 2568 เวลา 13.00 น. หลังเวลานัดหมาย อ้างว่ากำลังตรวจรายละเอียดคำชี้แจงของผู้ฟ้องคดี จึงละเลยไม่มาตามที่ได้ขอนัดหมายไว้ ซึ่งการละเลยดังกล่าวเป็นการสร้างภาระเพิ่มเติมแก่ผู้ฟ้องคดีจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
(8) คำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3,ที่ 6,ที่ 7 ไม่ถูกต้องและไม่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อพิเคราะห์คำสั่งและหนังสือสอบถามข้อสงสัยของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ประกอบพยานเอกสารชี้แจงของผู้ฟ้องคดี เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วจะเห็นว่าผู้ฟ้องคดีได้ตอบข้อสงสัยและอธิบายรายละเอียดต่างๆครบถ้วนแล้ว
แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ก็ยังคงตั้งข้อสงสัยโต้แย้งเพิ่มเติมอีกเรื่อยไปเพื่อให้ยังคงมีประเด็นที่ยังคงโต้แย้งกันอยู่อีก ซึ่งผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหายอย่างมากต้องเสียประโยชน์จากการละเลยของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2,ที่ 3,ที่ 4,ที่ 6,ที่ 7
(9) คำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 12, ที่ 13, ที่ 14 ที่ร่วมกันกระทำละเมิดโดยมีคำสั่งอายัดเหล็ก 41,635 เส้น เมื่อวันที่ 9 มกราคม พ.ศ.2568 อันเป็นวันกระทำละเมิด ขอศาลได้โปรดเพิกถอนคำสั่งอายัดเหล็กดังกล่าวด้วย
@‘ซินเคอหยวน’ยันปฏิบัติตามกม.-ใช้ความระมัดระวังตามสมควร
ผู้ฟ้องคดี (บริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด) ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่การดำเนินธุรกิจ และไม่มีเหตุผลใดที่จะไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย จึงขอศาลได้โปรดเพิกถอนคำสั่งทางปกครองให้หยุดประกอบกิจการโรงงานทั้งหมดชั่วคราวของผู้ถูกฟ้องคดี ดังนี้
(1) เพิกถอน คำสั่งที่ 3 วันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ.2567 กรมโรงงานอุตสาหกรรม(ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3)โดย นายสุนทร แก้วสว่าง (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6) มีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีหยุดประกอบกิจการโรงงานทั้งหมด ซึ่งผู้ฟ้องคดีได้ปฏิบัติตามคำสั่งครบถ้วนแล้ว แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 และที่ 6 กลับละเลยไม่ยอมยกเลิกคำสั่งให้หยุดประกอบกิจการโรงงานทั้งหมด
(2) เพิกถอน คำสั่งที่ 4 วันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2568 กรมโรงงานอุตสาหกรรม(ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) โดย นายวีระพงษ์ เอี่ยมเจริญชัย (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 7) มีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีหยุดประกอบกิจการโรงงานทั้งหมดเป็นการชั่วคราว และอนุญาตขยายระยะเวลาให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ.2568 ซึ่งผู้ฟ้องคดีได้ปฏิบัติตามคำสั่งครบถ้วนแล้วฯซึ่ง คำสั่งให้ขยายระยะเวลาการปฏิบัติตามคำสั่งนั้น เป็นคำสั่งที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
(3) เพิกถอน คำสั่งที่ 5 วันที่ 28 มีนาคม 2568 กรมโรงงานอุตสาหกรรม(ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) โดยนายสุนทร แก้วสว่าง(ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6)เนื่องจากผู้ฟ้องคดีได้ปฏิบัติตามคำสั่งทั้งหมดครบถ้วนแล้ว การขยายระยะเวลาการหยุดประกอบกิจการโรงงานออกไปอีก โดยให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 7 เมษายน พ.ศ.2568 เป็นคำสั่งที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากไม่มีกฎหมายบัญญัติให้อำนาจผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 สามารถขยายระยะเวลาคำสั่งซึ่งสิ้นผลแล้วเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2568 ให้มีผลบังคับใช้ได้ต่อไปได้อีกถึงวันที่ 7 เมษายน 2568
(4)เพิกถอน คำสั่งที่ 6 วันที่ 14 กรกฎาคม 2568 กรมโรงงานอุตสาหกรรม(ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) โดยนายสุนทร แก้วสว่าง(ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6) มีคำสั่งให้ปรับปรุงระบบบำบัดมลพิษอากาศให้มีประสิทธิภาพฯ และ ให้ปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมเครื่องจักร ซึ่งผู้ฟ้องคดีได้ดำเนินการตามคำสั่งข้างต้นมาครบถ้วนแล้ว และอยู่ระหว่างคำสั่งให้หยุดประกอบกิจการโรงงานทั้งหมดจึงไม่มีมลพิษทางอากาศแต่อย่างใด
การออกคำสั่งดังกล่าวนี้จึงเป็นกระทำโดยนอกเหนืออำนาจหน้าที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอนหรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้ และไม่สุจริตมีลักษณะเป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จำเป็นหรือสร้างภาระให้เกิดกับผู้ฟ้องคดีเกินสมควร จึงเป็นการใช้ดุลยพินิจโดยมิชอบ
(5) เพิกถอนคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 12, ที่ 13, ที่ 14 ที่อายัดเหล็ก 41,635 เส้น เมื่อวันที่ 9 มกราคม พ.ศ.2568 อันเป็นวันกระทำละเมิด เนื่องจากไม่มีการดำเนินการใดๆกับเหล็กดังกล่าว จึงเป็นการละเลยต่อหน้าที่และเป็นการใช้อำนาจออกคำสั่งอายัด และกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ผู้ฟ้องคดี (บริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด) ได้รับความเสียหายอย่างมากต่อพฤติการณ์ในการร่วมกันกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ถึง ที่ 16 โดยการออกคำสั่งที่ 3 วันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ.2567 ของกรมโรงงานอุตสาหกรรม(ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 ,คำสั่งที่ 4 วันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2568 ของกรมโรงงานอุตสาหกรรม(ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 7
คำสั่งที่ 5 วันที่ 28 มีนาคม 2568 ของกรมโรงงานอุตสาหกรรม (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6, คำสั่งที่ 6 วันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ.2568 ของกรมโรงงานอุตสาหกรรม(ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6
และการกระทำละเมิดโดยออกคำสั่งอายัดเหล็กของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 12, ที่ 13, ที่ 14 อันเป็นการร่วมกันกระทำการออกคำสั่งที่กระทำโดยนอกเหนืออำนาจหน้าที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอนหรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้ และไม่สุจริตมีลักษณะเป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จำเป็นหรือสร้างภาระให้เกิดกับผู้ฟ้องคดีเกินสมควร เป็นการใช้ดุลยพินิจโดยมิชอบ
โดยมีการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายดำหนดในการพิจารณาให้ผู้ฟ้องคดีประกอบกิจการโรงงานได้ตามปกติ โดยปฏิบัติหน้าที่ด้วยความล่าช้าเกินสมควร ซึ่งผู้ฟ้องคดีได้ดำเนินการตามคำสั่งทั้งหมดข้างต้นมาครบถ้วนแล้ว
คำสั่งที่ 3,ที่ 4,ที่ 5,ที่ 6, จึงเป็นการออกคำสั่งที่ไม่ถูกต้องและไม่ชอบด้วยกฎหมาย และการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มิได้พิจารณาอุทธรณ์และทำคำวินิจฉัยภายในกำหนดเวลาตามกฎหมายโดยมิได้ชี้แจงเหตุผลให้ผู้ฟ้องคดีทราบ และ การกระทำละเมิดโดยคำสั่งอายัดเหล็กของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 12, ที่ 13, ที่ 14 ถือเป็นการกระทำทางปกครองที่มีผลกระทบต่อผู้ฟ้องคดีเช่นกัน
@‘ซินเคอหยวน’ขอศาลสั่ง‘เอกนัฏ-พวก’ชดใช้ค่าเสียหาย 3.2 พันล.
คำสั่งให้ผู้ฟ้องคดี (บริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด) หยุดประกอบกิจการโรงงานทั้งหมดที่ผู้ถูกฟ้องคดีได้ออกคำสั่งต่อเนื่องกันมาเริ่มตั้งแต่คำสั่งที่ 1 เรื่อยมาถึงคำสั่งที่ 6 มีผลกระทบถึงการประกอบกิจการโรงงานของผู้ฟ้องคดีที่ไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ จึงขอให้ศาลโปรดมีคำสั่งเพิกถอน คำสั่งที่ 3,ที่4,ที่5,ที่6 และอนุญาตให้ผู้ฟ้องคดีประกอบกิจการดำเนินการโรงงานได้ตามปกตินับจากวันที่ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีเป็นต้นไป
ขอศาลได้โปรดมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวในระหว่างพิจารณาคดีไว้ก่อนโดยให้ทุเลาการบังคับตามคำสั่งทางปกครองดังที่กล่าวมา โดยอนุญาตให้ผู้ฟ้องคดีสามารถเปิดดำเนินกิจการโรงงานเพื่อประกอบการได้ตามปกติในระหว่างการพิจารณาของศาลจนกว่าศาลจะได้มีคำพิพากษาถึงที่สุด กับมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 พิจารณาอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีและทำคำสั่งให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดเวลา 30 วัน นับจากวันฟ้องคดีและแจ้งผลการพิจารณาอุทธรณ์ต่อศาลและผู้ฟ้องคดีด้วย
และเพิกถอนคำสั่งอายัดเหล็กของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 12, ที่ 13, ที่ 14 และบังคับให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ถึง 16 ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย อันเกิดจากการร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ และออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายให้ผู้ฟ้องคดีต้องหยุดประกอบกิจการโรงงานทั้งหมดเป็นการชั่วคราว ดังนี้
(1) ค่าเสียหายและค่าขาดประโยชน์อันควรได้ในการประกอบธุรกิจ โดยปี 2567 ราคาขายเฉลี่ยเหล็กเส้นอยู่ที่กิโลกรัมละ 18.51 บาท มีต้นทุนผลิตเฉลี่ยอยู่ที่กิโลกรัมละ 17.11 บาท คิดเป็นกำไรสุทธิต่อกิโลกรัมอยู่ที่ 1.40 บาท ซึ่งผู้ฟ้องคดี มียอดขายเฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 65,000 ตัน หรือ 65,000,000 กิโลกรัม คิดเป็นกำไรสุทธิเฉลี่ยต่อเดือน ประมาณ 91,650,000 บาท
คำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีหยุดประกอบกิจการโรงงานทั้งหมดนับจากวันที่ 18 ธันวาคม 2567 ถึงปัจจุบันเป็นเวลา 7 เดือนเศษ ผู้ฟ้องคดีต้องสูญเสียรายได้จากการประกอบการ (กำไรสุทธิ)คิดเป็นค่าเสียหาย 641,550,000 บาท
(2) ราคาวัตถุดิบ (เศษเหล็ก) ราคาตลาด ลดลงจากราคาเฉลี่ยปี 2567 กิโลกรัมละ 13 บาท เหลือ 9 บาท แต่ราคาขายเหล็กเส้นเพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 18.51 เป็น 20 บาท คิดเป็นกำไรต่อกิโลกรัมเพิ่มขึ้น 5.5 บาท ผู้ฟ้องคดีจึงขาดโอกาสในการประกอบการเชิงพาณิชย์ หรือขาดประโยชน์อันควรได้ในการประกอบธุรกิจในช่วง 7 เดือนที่ต้องถูกคำสั่งให้หยุดประกอบกิจการโรงงานทั้งหมด โดยอ้างอิงยอดขายเฉลี่ยเดิม 65,000 ตัน หรือ 65,000,000 กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่า 2,500,000,000 บาท
เมื่อรวมค่าเสียหายตาม (1) และ (2) ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหาย โดยต้องสูญเสียรายได้ และ ขาดโอกาสในการประกอบการเชิงพาณิชย์ รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 3,141,000,000 บาท (สามพันหนึ่งร้อยสี่สิบเอ็ดล้านบาท)
(3) ผู้ฟ้องคดีต้องจ่ายค่าจ้างพนักงานในอัตราร้อยละ 75 ของเงินเดือนพนักงานในระหว่างที่ผู้ฟ้องคดีต้องหยุดประกอบกิจการตามคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดี ระหว่างเดือน ธันวาคม 2567 ถึง มิถุนายน 2568 ซึ่งต้องจ่ายทุกเดือน รวม 7 เดือน ดังนี้
ธันวาคม 2567 จำนวนพนักงาน 746 คน จ่ายค่าจ้างสุทธิ 13,754,215.89 บาท
มกราคม 2568 จำนวนพนักงาน 845 คน จ่ายค่าจ้างสุทธิ 15,045,719.01 บาท
กุมภาพันธ์ 2568 จำนวนพนักงาน 828 คน จ่ายค่าจ้างสุทธิ 12,091,571.58 บาท
มีนาคม 2568 จำนวนพนักงาน 823 คน จ่ายค่าจ้างสุทธิ 13,703,199.41 บาท
เมษายน 2568 จำนวนพนักงาน 738 คน จ่ายค่าจ้างสุทธิ 8,834,808 บาท
พฤษภาคม 2568 จำนวนพนักงาน 662 คน จ่ายค่าจ้างสุทธิ 7,123,402.08 บาท
มิถุนายน 2568 จำนวนพนักงาน 631 คน จ่ายค่าจ้างสุทธิ 6,735,460.25 บาท
รวมเงินเดือนที่จ่ายสุทธิจำนวน 7 เดือนเป็นเงิน 77,288,376.22 บาท ปรากฏตามเอกสารหมายเลข 50 และ ยังคงต้องจ่ายอีกทุกเดือน นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าผู้ฟ้องคดีจะได้รับคำสั่งให้เปิดดำเนินกิจการโรงงานตามปกติ ในอัตราเดือนละไม่น้อยกว่า 11,000,000 บาท อีกด้วย
รวมเป็นค่าเสียหายที่ผู้ฟ้องคดีได้รับตาม (1),(2),(3) คิดเป็นเงินทั้งสิ้น 3,218,288,376.22 บาท ซึ่งผู้ฟ้องคดีขอให้บังคับผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 16 คน ร่วมกันชำระเงินค่าเสียหายทั้งสิ้น 3,218,288,376.22 บาท (สามพันสองร้อยสิบแปดล้านสองแสนแปดหมื่นแปดพันสามร้อยเจ็ดสิบหกบาทยี่สิบสองสตางค์) ซึ่งผู้ฟ้องคดีขอถือเป็นทุนทรัพย์ในคดีนี้ อีกทั้งขอให้บังคับให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ถึงที่ 16 ร่วมกันชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปีจากต้นเงินค่าเสียหายจำนวน 3,218,288,376.22 บาท นับจากวันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นให้กับผู้ฟ้องคดีอีกส่วนหนึ่งด้วย
ผู้ฟ้องคดี (บริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด) ไม่มีทางอื่นใดที่จะบังคับให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ถึงที่ 16 ให้ปฏิบัติตามได้ จึงต้องนำคดีมาฟ้องต่อศาลเพื่อขอบารมีศาลเป็นที่พึ่งต่อไป ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด
อ่านประกอบ :
‘ซินเคอหยวน’ฟ้อง‘ศาลปค.’ขอเพิกถอนคำสั่งปิด‘โรงงานเหล็ก’-บังคับ‘เอกนัฏ-พวก’ชดใช้ 3.2 พันล.
อ้างผลสอบฯ‘เหล็ก’ได้มาตรฐาน! เปิดคำร้อง‘ซินเคอหยวน’ยื่น‘ป.ป.ช.’ไต่สวนฯสั่งปิดโรงงานมิชอบ
‘ซินเคอหยวน’ร้อง ‘ป.ป.ช.’ไต่สวน‘รมว.อุตฯ-พวก’ปฏิบัติหน้าที่มิชอบฯ ทำบริษัทฯสูญ 2.6 พันล.
'เอกนัฏ' ไม่สนผลสอบกรมโยธา เดินหน้าจัดการ 'ซินเคอหยวน' โดนตั้งข้อหา 1,016 คดี
DSI คาดอีก 1-2 สัปดาห์ได้รับรายงานผลตรวจฝุ่นแดง 'ซินเคอหยวน' บริษัทขายเหล็กก่อสร้างตึก สตง.
ซิน เคอ หยวน แถลงข่าวโต้ ก.อุตฯ ยันเหล็กสร้างตึก สตง.ได้คุณภาพ ชี้เหตุถล่มมาจากปัญหาอื่น
กระทรวงอุตฯเตรียมส่งคดี บ.ซินเคอหยวนให้ DSI หลังเอกชนแจงไม่ได้ขายเหล็กให้โครงการตึก สตง.
ส่องซัพพลายเออร์ บ.ซิน เคอ หยวน สตีล พบเคยสั่งเศษเหล็กจากปานามา-แคนาดา รวมนับล้าน กก.

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา