
"...หลักฐานสำคัญที่ทำให้โรงพยาบาลแพ้คือ 'แบบบันทึกยินยอมรับการรักษา' ที่โจทก์ระบุชัดเจนว่าประสงค์รักษา 'ตาข้างขวาเท่านั้น' การรักษาตาข้างซ้ายจึงเป็นการกระทำโดยผู้ป่วยไม่ยินยอม และอาจเป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกายตามประมวลกฎหมายอาญาได้..."
ในโลกของการรักษาพยาบาล ความผิดพลาดทางการแพทย์เป็นเรื่องที่อาจเกิดขึ้นได้ และเมื่อเกิดขึ้นแล้ว มักนำไปสู่ข้อพิพาททางกฎหมาย
ปัจจุบัน ข้อพิพาทและการฟ้องร้องคดีอันเนื่องมาจากการรักษาพยาบาลมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี ปัญหาดังกล่าวมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการสื่อสารระหว่างบุคลากรทางการแพทย์กับตัวผู้ป่วยหรือญาติ หรือเกิดจากผลการรักษาที่ไม่เป็นที่พอใจ
เมื่อเร็วๆ นี้ กลุ่มระงับข้อพิพาททางการแพทย์ กองกฎหมาย สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้รวบรวม 'คดีทางการแพทย์ที่น่าสนใจ' ที่กระทรวงสาธารณสุขหรือสำนักงานปลัดฯ ถูกฟ้องเป็นจำเลย โดยมีประเด็นข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่น่าสนใจ ทั้งคดีที่ยุติด้วยการเจรจาไกล่เกลี่ย และคดีที่ยุติโดยคำพิพากษาของศาล
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ได้เรียบเรียงคดีที่น่าสนใจ มีรายละเอียด ดังนี้
@ท่อหลุดได้อย่างไร
คดีหนึ่งที่ถูกหยิบยกมาคือ กรณีผู้ป่วยเสียชีวิตจากการขาดออกซิเจน หลังท่อช่วยหายใจหลุดระหว่างการผ่าตัดต่อมทอนซิล ครอบครัวโจทก์ได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายกว่า 4.9 ล้านบาท
ผลการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด สรุปว่า "พยาบาลวิสัญญีเพียงคนเดียวได้กระทำโดยประมาท แต่ไม่ถึงขั้นประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง" โดยข้อเท็จจริงคือ ท่อช่วยหายใจ (Endotracheal tube) กับข้อต่อท่อหายใจ (Slip joint) หลุดออกจากกัน
ประเด็นสำคัญคือ การสื่อสาร หลังเกิดเหตุ พยาบาลได้แจ้งญาติว่า "เกิดเหตุท่อออกซิเจนหลุด... อาจเกิดจากการที่แพทย์ผู้ผ่าตัดนำเครื่องมือไปวางไว้บนกล่องใส่ท่อออกซิเจน" จากการสอบสวนภายหลังพบว่าไม่เป็นความจริง แต่การสื่อสารที่คลาดเคลื่อนนี้ทำให้ญาติผู้ป่วยติดใจและทำให้แพทย์ถูกต่อว่า
ทั้งนี้ มีข้อสังเกตระบุว่า การช่วยเหลือผู้ป่วยล่าช้า เป็นผลจากการที่พยาบาลวิสัญญี "ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานวิชาชีพ ทำให้แก้ไขล่าช้า"
คดีนี้ ยุติโดยฝ่ายจำเลยเห็นควรเจรจาไกล่เกลี่ย เพราะหากสู้คดีอาจเป็นผลร้ายมากกว่า คดีนี้ผ่านการเจรจาหลายครั้ง จากข้อเสนอของโจทก์ที่ 3.1 ล้านบาท ลดลงมาเหลือ 1.2 ล้านบาท ในที่สุด ทั้งสองฝ่ายได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันที่ยอด 1.2 ล้านบาท โดยใช้เงินงบประมาณผ่านขั้นตอนการอนุมัติตามระเบียบกระทรวงการคลัง
คดีนี้ เป็นบทเรียนให้เจ้าหน้าที่ไม่ควรให้ความเห็น "ส่งเดช" หรือตามความเข้าใจของตนเอง ควรรอผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน และที่สำคัญคือโรงพยาบาลต้องพัฒนาระบบบริการและเจ้าหน้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรฐานวิชาชีพอย่างเคร่งครัด
@มองไม่เห็นจริงหรือ?
คดีนี้ผู้ปกครองฟ้องร้องหลังบุตรคลอดออกมามีความพิการผิดปกติ ทั้งที่แพทย์ผู้รับฝากครรภ์ได้ทำการอัลตราซาวด์ประมาณ 5 ครั้ง โดยโจทก์อ้างว่าแพทย์ยืนยันทุกครั้งว่า "บุตรในครรภ์มีสภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ดีทุกประการ"
แพทย์ผู้รักษาชี้แจงว่า การอัลตราซาวด์มีข้อจำกัด กรณีนี้ทารกอยู่ในท่าก้น (Breech presentation) ทำให้ยากต่อการตรวจพบความผิดปกติ อีกทั้งลักษณะเท้าปุก (Clubfoot) เป็นเนื้อเยื่ออ่อนที่เงาสะท้อนน้อย ทำให้มองเห็นไม่ชัดเจน แพทย์ยืนยันว่าได้แจ้งโจทก์เพียงว่า "ไม่พบสิ่งผิดปกติ" ในแต่ละครั้ง ไม่ได้รับรองว่าสมบูรณ์ทุกประการ
เมื่อได้มีการเจรจาไกล่เกลี่ย มารดาผู้ป่วย (โจทก์) เข้าใจการทำงานของแพทย์ จึงไม่ติดใจดำเนินคดีและยื่นคำร้องขอถอนฟ้อง หลังมีการชี้แจงข้อเท็จจริงและข้อจำกัดของเทคโนโลยีให้ผู้ป่วยเข้าใจ
โดยข้อสังเกตสำคัญคือ แพทย์ไม่ควรใช้คำพูดที่อาจถือเป็นการ "รับประกันผล" เช่น "แข็งแรงสมบูรณ์ดีทุกประการ" แต่ควรให้ข้อมูลอย่างครบถ้วนถึงสิ่งที่อัลตราซาวด์เห็นได้และเห็นไม่ได้
@ผ่าแล้ว แต่ไส้ติ่งไม่อักเสบ
คดีนี้โจทก์ฟ้องแพทย์และสำนักงานปลัดฯ เรียกค่าเสียหาย 161,000 บาท โดยอ้างว่าแพทย์วินิจฉัยผิดพลาดว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบและทำการผ่าตัด แต่ความจริงแล้วโจทก์ไม่ได้เป็นไส้ติ่ง แต่เป็นโรคนิ่วในกรวยไต (ตามผลอัลตราซาวด์ของ รพ. เอกชน)
ข้อเท็จจริง คือ อาการของโจทก์ (ปวดท้องน้อยด้านขวามาก) เข้าได้กับภาวะไส้ติ่งอักเสบเฉียบพลัน ศัลยแพทย์จึงตัดสินใจผ่าตัด แต่เมื่อผ่าเข้าไปพบว่าไส้ติ่งปกติ จึงได้ตรวจหาสาเหตุอื่นในช่องท้องแต่ไม่พบ จึงทำการผ่าตัดไส้ติ่งออก
ภายหลังแพทย์ได้แจ้งโจทก์ว่าไม่ได้เป็นไส้ติ่งตามที่วินิจฉัยและจะหาสาเหตุต่อไป จนกระทั่งส่งตัวไปอัลตราซาวด์จึงพบว่าเป็นนิ่วในไต
ประเด็นสำคัญ แม้โรงพยาบาลจะพยายามเยียวยาเบื้องต้น (10,000 บาท และช่วยรับส่งไปรักษาโรคนิ่ว) แต่โจทก์ยังคงฟ้อง คดีนี้จบลงด้วยการเจรจาไกล่เกลี่ยที่ศาล ตกลงกันได้ที่จำนวนเงิน 60,000 บาท
ปัญหาเกิดจากการวินิจฉัยที่คลาดเคลื่อน (แต่อาจไม่ประมาท เพราะอาการคล้ายกัน) แพทย์ควรให้ข้อมูลครอบคลุมไว้ก่อน และขอความยินยอมเผื่อไว้ในกรณีที่ผ่าตัดแล้วพบว่าไม่เป็นไปตามที่วินิจฉัย
ทั้งนี้ แพทย์ควรให้ข้อมูลผู้ป่วยให้ครอบคลุมและ "ขอความยินยอมเผื่อไว้" เช่น อธิบายว่าอาการลักษณะนี้อาจเป็นโรคอะไรได้บ้าง และหากผ่าตัดแล้วไม่เป็นไปตามที่วินิจฉัยไว้ ผู้ป่วยยินยอมให้แพทย์ทำการรักษาต่อไปตามความจำเป็นหรือไม่ การอธิบายให้ชัดเจนจะช่วยป้องกันความขัดแย้งได้
@รักษาผิดข้าง
คดีนี้สะท้อนปัญหาการรักษาผิดพลาดอย่างชัดเจน โจทก์เข้ารับการรักษาอาการที่ "ตาข้างขวา" (มองเห็นเงาดำและแสงไฟ) แต่แพทย์และพยาบาลได้เตรียมการและฉีดแก๊สเข้าที่ "ตาข้างซ้าย" ซึ่งเป็นตาปกติก่อน แม้ภายหลังจะฉีดแก๊สที่ตาข้างขวาที่ถูกต้อง แต่ส่งผลให้ตาข้างซ้ายที่ปกติกลับมองเห็นได้เพียง 30%
ข้อเท็จจริง คือ พยาบาลเตรียมการรักษาโดยใช้ผ้าคลุมใบหน้าและเปิดตาข้างซ้ายไว้ แพทย์ได้เข้ามาฉีดแก๊สเข้าที่ตาข้างซ้าย เมื่อโจทก์แจ้งว่ามารักษาตาข้างขวา แพทย์จึงฉีดแก๊สเข้าที่ตาข้างขวาอีกข้างหนึ่ง ผลคือตาข้างซ้าย (ปกติ) มองเห็นได้เพียง 30%
คดีนี้ประเมินแล้วว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะแพ้คดี จึงยุติในชั้นไกล่เกลี่ยอย่างรวดเร็วที่ 800,000 บาท โดยเน้นย้ำให้บุคลากรการแพทย์ตระหนักถึงหลักการให้ความยินยอม (Informed Consent) และต้องตรวจสอบข้อมูลในแบบบันทึกความยินยอมอย่างรอบคอบทุกครั้ง
หลักฐานสำคัญที่ทำให้โรงพยาบาลแพ้คือ "แบบบันทึกยินยอมรับการรักษา" ที่โจทก์ระบุชัดเจนว่าประสงค์รักษา "ตาข้างขวาเท่านั้น" การรักษาตาข้างซ้ายจึงเป็นการกระทำโดยผู้ป่วยไม่ยินยอม และอาจเป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกายตามประมวลกฎหมายอาญาได้
@ทำไมให้กลับบ้าน
คดีนี้เป็นอุทาหรณ์สำคัญสำหรับห้องฉุกเฉินญาติของผู้ตาย (นายเสือ อายุ 30 ปี) ฟ้องสำนักงานปลัดฯ เรียกค่าเสียหาย 3,580,000 บาท หลังผู้ป่วยชายวัย 30 ปี ประสบอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ล้ม ศีรษะกระแทกพื้น (ไม่สวมหมวกกันน็อก) มาถึงห้องฉุกเฉินด้วยอาการมึนเมาและเอะอะโวยวาย แพทย์ตรวจแล้วอนุญาตให้กลับบ้าน ต่อมาผู้ป่วยถูกพบเป็นศพในวันรุ่งขึ้น ผลชันสูตรพบกะโหลกศีรษะแตกและมีเลือดออกในสมอง
ข้อบกพร่องที่ตรวจพบ คือ
1. ไม่เป็นไปตามแนวทางปฏิบัติ
เวชระเบียนบันทึกค่า Glasgow Coma Scale (GCS) ของผู้ป่วยไว้ที่ 10 ซึ่งตามแนวทางการรักษาผู้ป่วยบาดเจ็บที่ศีรษะ (Head Injury) กำหนดว่า GCS ตั้งแต่ 12 หรือ 13 ลงมา ต้องรับไว้สังเกตอาการในโรงพยาบาล
2. การบันทึกเวชระเบียน
แพทย์เวรให้ถ้อยคำภายหลังว่าได้ตรวจวัด GCS ใหม่แล้วได้ 14 จึงให้กลับบ้าน แต่ข้อมูลนี้ "ไม่ปรากฏในเวชระเบียน" ซึ่งเอกสารย้ำว่า "ทำแล้วไม่บันทึก ถือว่าไม่ได้ทำ"
3. ขาดคำแนะนำ
แพทย์และพยาบาลไม่ได้ให้คำแนะนำสังเกตอาการ หรือเอกสารข้อควรปฏิบัติแก่ญาติเมื่อให้ผู้ป่วยกลับบ้าน
คดีนี้มีความเสี่ยงสูงที่จะแพ้ จึงตกลงเจรจาไกล่เกลี่ย จ่ายเงินเยียวยา 400,000 บาทคดีตัวอย่างทั้งหมดนี้ สะท้อนให้เห็นว่า นอกเหนือจากการรักษาตามมาตรฐานวิชาชีพแล้ว 'การสื่อสาร' ที่ชัดเจน ถูกต้อง การให้ข้อมูลที่ครบถ้วน (Informed Consent)คำนึงถึงความรู้สึกของผู้ป่วยและญาติ คือกุญแจสำคัญที่จะป้องกันข้อพิพาท และนำไปสู่การยุติปัญหาความขัดแย้งทางการแพทย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ 'การบันทึกเวชระเบียน" อย่างสมบูรณ์ ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่สุดในการป้องกันและลดข้อพิพาททางการแพทย์

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา