
“...“ถ้าโครงการมันดี มันคุ้ม แต่การเมืองทำให้มันชะลอ หรือขอเอาไปแก้ ดัดแปลง ก็อาจจะมีผลกระทบ แต่โครงการนี้การเมืองไม่ใช่ปัจจัยหลัก...”
‘โครงการแลนด์บริดจ์ (Landbridge)’ หรือชื่ออย่างเป็นทางการ ‘โครงการสะพานเศรษฐกิจเชื่อมทะเลอ่าวไทย-อันดามัน’ เมกกะโปรเจ็กต์ระดับล้านล้านบาทที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยกำลังเร่งผลักดัน
จาก ‘เศรษฐา ทวีสิน’ สู่ ‘แพทองธาร ชินวัตร’ แม้กระแสของโครงการจะแผ่วลงไป แต่ความเคลื่อนไหวของโครงการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างกระทรวงคมนาคม โดยสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กำลังผลักดันกันอย่างต่อเนื่อง
เรื่องนี้ นายกฯแพทองธาร เคยมีข้อสั่งการในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 11 ก.พ. 2568 โดยแจ้งถึงเรื่องสืบเนื่องจากการเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนของนายกรัฐมนตรี และมีข้อสั่งการว่า “ให้กระทรวงคมนาคมเร่งประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การดำเนินโครงการแลนด์บริดจ์ (Landbridge) มีความคืบหน้าและเกิดผลเป็นรูปธรรมโดยด่วน”
@อะไรคือ ‘แลนด์บริดจ์’?
แลนด์บริดจ์ คือ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการด้านคมนาคม ซึ่งทางรัฐบาลต้องการสร้างการเชื่อมโยงของท่าเรือ 2 ฝั่งทะเล คือ อ่าวไทยและทะเลอันดามันเข้าด้วยกัน โดยจะมีโครงสร้างพื้นฐานสำคัญจะประกอบด้วยท่าเรือ 2 ฝั่ง ได้แก่ ท่าเรือชุมพรและท่าเรือระนอง และโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) และรถไฟทางคู่สายใหม่
ซึ่งจากเว็บไซต์ของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ระบุถึงประโยชน์ของโครงการไว้ 3 ข้อหลักๆ ได้แก่ เพื่อยกระดับประเทศเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางน้ำของภูมิภาค, เปิดเส้นทางเดินเรือแห่งชาติของมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก และเพิ่มความสะดวกในการขนส่งสินค้าทางน้ำ
@’กฎหมาย-ผลการศึกษา’ 2 ส่วนประกอบ ‘แลนด์บริดจ์’
ในส่วนการผลักดันโครงการ ‘มนพร เจริญศรี’ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมเปิดเผยว่า ในการผลักดันโครงการแลนด์บริดจ์จะมีอยู่ด้วยกัน 2 ส่วน ส่วนแรกคือ การผลักดันร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (พ.ร.บ. SEC: Southern Economic Corridor) พ.ศ. ....และส่วนที่ 2 คือ การทำผลศึกษาความเหมาะสม ออกแบบเบื้องต้น ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และวิเคราะห์รูปแบบโมเดลการพัฒนาการลงทุน (Business Development Model) ที่มีสนข. เป็นเจ้าภาพ
โดยในส่วนของร่างพ.ร.บ. SEC นั้น รมช.คมนาคมระบุว่า ปัจจุบัน สนข.ได้จัดรับฟังความเห็นจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในพื้นที่ 4 จังหวัดเป้าหมายแล้ว ได้แก่ สุราษฎร์ธานี ระนอง ชุมพร และนครศรีธรรมราช โดยกระทรวงคมนาคมได้เสนอร่าง พ.ร.บ. SEC ไปที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) แล้ว โดย สคร.มีความเห็นว่า เนื่องจากพ.ร.บ. SEC เป็นกฎหมายที่นอกจากจะมีการจัดตั้งสำนักงาน SEC ในลักษณะเดียวกัน พ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก 2561 (พ.ร.บ.EEC) แล้ว ยังจะมีเรื่องของการจัดตั้งเงินกองทุนด้วย จึงมีความเห็นให้ส่งร่าง พ.ร.บ. SEC ให้กรมบัญชีกลางช่วยตรวจสอบถึงแหล่งเงินของกองทุนแลนด์บริดจ์ก่อน
‘มนพร’ ให้ข้อมูลต่อว่า สำหรับกองทุนในพ.ร.บ.ดังกล่าว จะเป็นกองทุนที่มีวัตถุประสงค์เพื่อนำมาใช้สำหรับชดเชยเป็นค่าเวนคืนหรือค่าชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการลงทุนในพื้นที่แลนด์บริดจ์ ซึ่งขณะนี้ได้ส่งไปที่กรมบัญชีกลางแล้ว เมื่อตรวจสอบเรียบร้อย จะส่งร่างกลับมาที่กระทรวงคมนาคม เพื่อส่งไปที่สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป
ทั้งนี้ แม้จะมีอุบัติเหตุทางการเมือง ซึ่งนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ไป แต่ ‘มนพร’ มั่นใจว่า ร่างพ.ร.บ.นี้เชื่อว่าไม่น่ามีปัญหาแน่นอน
@ลุ้น พ.ร.บ. SEC ผ่านครม. 1-2 เดือนนี้
สำหรับสถานะของร่างพ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว ‘มนพร’ ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันอยู่ระหว่างหารือกรมบัญชีกลางช่วยตรวจสอบประเด็นแหล่งเงินของกองทุนแลนด์บริดจ์ ที่จะนำมาใช้สำหรับชดเชยเป็นค่าเวนคืน หรือค่าชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ 4 จังหวัด คือ สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ชุมพร ระนอง หากเสนอ ครม.ขออนุมัติได้ใน 1-2 เดือนนี้แล้วก็ยังต้องรอดูว่าจะสามารถนำ พ.ร.บ. SEC เสนอที่ประชุมสภาฯ เพื่อให้มีมติรับหลักการได้ทันการประชุมสมัยสามัญนี้หรือไม่ต่อไป
“กระทรวงคมนาคมวางเป้าหมายว่าภายในเดือน พ.ย.-ธ.ค. 2568 ร่าง พ.ร.บ. SEC จะแล้วเสร็จ และประกาศใช้ เดินหน้าการจัดตั้งสำนักงาน SEC และจะเปิดประมูลคัดเลือก PPP ในช่วงต้นปี 2569” นางมนพรกล่าว

‘มนพร เจริญศรี’ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
@ปัดลงทุนซ้ำซ้อน ไม่ได้ขายชาติ
ขณะที่หน่วยงานเจ้าของแผนงานอย่าง ’สนข.’ ปัญญา ชูพานิช ผู้อำนวยการสนข.ให้สัมภาษณ์ว่า ประเทศไทยไม่มีท่าเรือขนส่งสินค้าไปฝั่งตะวันตก ดังนั้นแลนด์บริดจ์จะเป็นท่าเรือสำหรับรองรับสินค้าที่ผลิตจากพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะสินค้าทางการเกษตรที่มีค่อนข้างมาก จะถูกนำมาแปรรูปภายใต้โครงการแลนด์บริดจ์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม แทนที่จะส่งออกวัตถุดิบไปผลิตหรือแปรรูปที่ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ปัจจุบัน ภาคใต้ส่งน้ำยางจำนวนมากไปที่ประเทศมาเลเซีย เพื่อผลิต เป็นล้อรถ ถุงมือยาง แต่หากมีแลนด์บริดจ์ อุตสาหกรรมเเหล่านี้จะทำที่ไทย จะทำให้เพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรก่อนส่งออก โดยจะมีการให้สิทธิประโยชน์จากรัฐบาลสนับสนุนเพื่อจูงใจในการเข้ามาลงทุนในพื้นที่
ส่วนข้อครหาเรื่องการลงทุนซ้ำซ้อน ผอ.สนข.กล่าวว่า ไม่ทำให้ต้นทุนขนถ่ายสินค้าซ้ำซ้อน หรือ Double Handling Costs แน่นอน โดยหากเทียบกับการขนส่งทางเรืออ้อมมะละกา เนื่องจากจำนวนครั้งในการยกตู้ ขนถ่ายสินค้าใกล้เคียงกัน เพราะเมื่อเรือเทียบท่าจะมีการยกตู้สินค้าขึ้นจากเรือเพื่อไปจัดเก็บในจุดหนึ่ง ช่วงรอส่งต่อเรืออีกลำเมื่อเรือมาก็ยกตู้อีกครั้งเพื่อไปลงเรือ ส่วนแลนด์บริดจ์เมื่อเรือเทียบท่าชุมพร หรือระนองก็จะยกตู้สินค้าไปลงรางขนไปอีกฝั่ง และยกตู้จากรางลงเรือ โดยบริหารภายใต้แนวคิด” One Port Two Side” และการพัฒนาพื้นที่หลังท่า ด้วยอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง และกิจกรรมเชิงพาณิชย์
อีกประเด็นที่ถูกครหาอย่างหนักคือ กระแสข่าวที่ว่า โครงการแลนด์บริดจ์จะเอาที่ดินยกให้เอกชน บางแห่งถึงกับระบุว่า เป็นการขายชาตินั้น ผอ.สนข.ตอบว่า การเวนคืนที่ดินจะทำโดยรัฐบาลไทย และที่ดินทั้งหมดเป็นของรัฐ เป็นของคนไทยไม่ได้ยกให้เอกชน แต่เป็นการให้สิทธิ์เอกชนเช่าใช้ที่ดินตามระยะเวลาสัมปทาน ประมาณ 50 ปี เนื่องจากโครงการใช้เงินลงทุนสูง จึงต้องประมูลให้เอกชนเข้ามาลงทุนทั้งค่าก่อสร้าง ค่าที่ดิน ค่าบริหารจัดการ โดยการเวนคืนที่ดินรวมทั้งโครงการมีการประเมินไว้ว่าจะอยู่ที่ 9,263 ไร่ ประกอบด้วย พื้นที่ป่าและอุทยานจำนวน 2,316.51 ไร่ ,พื้นที่ส.ป.ก.จำนวน 1,443.81 ไร่ ,พื้นที่ราชพัสดุ และที่สาธารณะประโยชน์ จำนวน 814.14 ไร่ ,ที่โฉนด 4,688.57 ไร่ ใช้หลักเกณฑ์เพิ่มค่ารื้อย้าย ชดเชย ต่างๆ อีก 50% คาดราคาประเมินเบื้องต้น ทั้งค่าเวนคืน ค่ารื้อย้าย ค่าชดเชยผลผลิต ในพื้นที่โฉนดและที่ของรัฐ รวมวงเงินที่ต้องใช้ในงานเวนคืนประมาณ 10,809 ล้านบาท
@เยียวยาประชาชนมีในรายงาน EHIA
เมื่อมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ลงไปในพื้นที่ ปฏิเสธไม่ได้ว่า ผลกระทบที่พุ่งตรงจังๆ คือ สิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตประชาชนที่อาจจะเปลี่ยนแปลงไปได้ นายปัญญาให้ข้อมูลถึงการเยียวยาผลกระทบต่างๆว่า มีการลงพื้นที่ทุกหมู่บ้าน เพื่อชี้แจงทำความเข้าใจและรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในทุกมิติ ซึ่งพบว่า มีประชาชนที่ได้รับผลกระทบหลายกลุ่ม เช่น กลุ่มประมงพื้นบ้าน หรือประชาชนที่อาศัยอยู่ตามเส้นทางที่มอเตอร์เวย์และทางรถไฟที่ตัดผ่าน ซึ่งจะต้องถูกการเวนคืนที่ดิน ดังนั้น ในรายงานผลการศึกษารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) จะมีการบันทึกรายละเอียดผลกระทบจำนวนประชาชนที่ได้รับผลกระทบไว้
“รายงานการศึกษา EHIA จะมีแนวทางในการแก้ไขปัญหาและดูแลผลกระทบของประชาชน เช่น ประมงพื้นบ้านที่ได้รับผลกระทบ มีการตรวจสอบรายชื่อบันทึกไว้ และในเอกสารคำขอข้อเสนอ (RFP) โครงการจะกำหนดให้ผู้ที่เข้ามาลงทุนจะต้องจ้างงานผู้ที่ทำประมงพื้นบ้านเข้าไปทำงานในอุตสาหกรรมของแลนด์บริดจ์ และต้องได้รับรายได้ไม่น้อยกว่าเดิม หรือประชาชนที่อาศัยอยู่สองข้างทางที่มอเตอร์เวย์และรถไฟตัดผ่าน และถูกเวนคืน ก็จะต้องมีการชดเชย ยืนยันว่า โครงการแลนด์บริดจ์เกิดขึ้นแล้วต้องไม่ทำให้ประชาชนเดือดร้อนแต่จะสร้างงานสร้างอาชีพให้ประชาชนในพื้นที่ ส่วนประชาชนที่ได้รับผลกระทบทั้งกับเรื่องถูกเวนคืนที่ดินหรือไม่สามารถประกอบอาชีพเดิมได้ก็จะได้รับการชดเชยหรือถูกจ้างงานในอุตสาหกรรมของโครงการ มีการสร้างอาชีพใหม่ ลูกหลานไม่ต้องออกจากพื้นที่ไปหางาน สามารถอยู่ในพื้นที่และอยู่กับครอบครัวได้ จากการลงพื้นที่เห็นทุกหมู่บ้านพบว่าประชาชนส่วนใหญ่สนับสนุนและเห็นด้วยกับการที่จะเกิดอาชีพที่จะให้ลูกหลานอยู่ในพื้นที่อยู่กับครอบครัว” ผอ.สนข.กล่าว

ปัญญา ชูพานิช ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร
@ผ่าไส้ใน 1 ล้านล้าน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากผลการศึกษาของสนข. ในเบื้องต้นพบว่าโครงการแลนด์บริดจ์มีวงเงินลงทุนสูงกว่า 1 ล้านล้านบาท โดยมีการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกฝั่งอ่าวไทย บริเวณแหลมริ่ว ตำบลบางน้ำจืด อำเภอหลังสวน จังหวัด ชุมพร ส่วนฝั่งอันดามัน บริเวณแหลมอ่าวอ่าง ตำบลราชกรูด อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง โดยออกแบบให้เป็น ท่าเรืออัตโนมัติเพื่อลดเวลาและเพิ่มประสิทธิภาพในการขนถ่ายสินค้า ซึ่งจากการเปรียบเทียบค่าขนส่งและระยะเวลาที่ใช้จากการขนส่งผ่านแลนด์บริดจ์ กับ ช่องแคบมะละกา พบว่า แลนด์บริดจ์ ลดระยะเวลาได้เฉลี่ย 4 วัน ช่วยลดต้นทุนประหยัดค่าขนส่งได้เฉลี่ย 15%
โดยคาดการณ์ท่าเรือระนอง จะมีปริมาณสินค้ารวม 19.4 ล้าน TEUs (Twenty-foot Equivalent Unit เป็นหน่วยวัดมาตรฐานของปริมาณสินค้าที่ขนส่งในอุตสาหกรรมการขนส่งทางเรือ โดยเทียบเท่ากับตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุต ทำให้สามารถใช้ในการวัดความจุของเรือ ท่าเรือ และคำนวณค่าขนส่งได้) แบ่งเป็น 1. สินค้าถ่ายลำ 13.6 ล้าน TEUs 2. สินค้านำเข้า-ส่งออกของไทย 4.6 ล้าน TEUs 3. สินค้าจีนตอนใต้และ GMS (Greater Mekong Sub-region หมายถึง ความร่วมมือทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศที่มีแม่น้ำโขง) 1.2 ล้าน TEUs
คาดการณ์ท่าเรือชุมพร จะมีปริมาณสินค้ารวม 13.8 ล้าน TEUs แบ่งเป็น 1. สินค้าถ่ายลำ 12.2 ล้าน TEUs 2. สินค้านำเข้า-ส่งออกของไทย 1.4 ล้าน TEUs 3. สินค้าจีนตอนใต้และ GMS 0.2 ล้าน TEUs
สำหรับการพัฒนาท่าเรือระนอง ตั้งอยู่ที่บริเวณแหลมอ่าวอ่าง อําเภอเมืองระนอง แบ่งเป็น 3 ระยะ
ระยะที่ 1/1 รองรับปริมาณสินค้ารวม 6 ล้าน TEUs เริ่มก่อสร้าง ปี 2568 แล้วเสร็จปี 2573
ระยะที่ 1/2 รองรับปริมาณสินค้ารวม 12 ล้าน TEUs เริ่มก่อสร้าง ปี 2574 แล้วเสร็จปี 2577
ระยะที่ 1/3 รองรับปริมาณสินค้ารวม 20 ล้าน TEUs เริ่มก่อสร้าง ปี 2578 แล้วเสร็จปี 2579
ท่าเรือชุมพร ตั้งอยู่ที่บริเวณแหลมริ่ว อําเภอหลังสวน แบ่งการพัฒนาเป็น 4 ระยะ
ระยะที่ 1/1 รองรับปริมาณสินค้ารวม 4 ล้าน TEUs เริ่มก่อสร้าง ปี 2568 แล้วเสร็จปี 2573
ระยะที่ 1/2 รองรับปริมาณสินค้ารวม 8 ล้าน TEUs เริ่มก่อสร้าง ปี 2574 แล้วเสร็จปี 2577
ระยะที่ 1/3 รองรับปริมาณสินค้ารวม 14 ล้าน TEUs เริ่มก่อสร้าง ปี 2578 แล้วเสร็จปี 2579
ระยะที่ 1/4 รองรับปริมาณสินค้ารวม 20 ล้าน TEUs เริ่มก่อสร้าง ปี 2579 แล้วเสร็จปี 2583
ท่าเรือทั้ง 2 แห่ง มีระยะทางห่างกันประมาณ 89.35 กม.เชื่อมกันด้วย 1. ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองขนาด 6 ช่องจราจร 2. ทางรถไฟ 4 ทาง ขนาดมาตรฐาน 2 ทาง และขนาด 1 เมตร 2 ทาง 3. ทางบริการ 2 ข้าง ในบริเวณที่เป็นชุมชน โดยมีเขตทางกว้างทั้งสิ้น 175 เมตร
นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่หลังท่าเพื่อรองรับศูนย์กระจายสินค้า เครื่องมือและอุปกรณ์อำนวยความสะดวก ในการขนถ่ายสินค้า คลังน้ำมัน และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในการประกอบชิ้นส่วนบนท่าเรือทั้ง 2 แห่ง รวมถึงมีการส่งเสริมการใช้ประโยชน์ที่ดินเชิงพาณิชย์ เช่น ก่อสร้างอาคารสำนักงาน อาคารพาณิชย์ และโรงแรม เป็นต้น พัฒนาเขตที่อยู่อาศัย พัฒนาอุตสาหกรรมขนาดเบา เช่น การประกอบชิ้นส่วนยานยนต์ อาหาร และกิจกรรมด้านโลจิสติกส์ รวมถึงการพัฒนา อุตสาหกรรมบริการต่าง ๆ ในพื้นที่ และระหว่างเส้นทางแลนด์บริดจ์ เป็นศูนย์การค้าขาย อุตสาหกรรมใหม่ของประเทศไทย
ผลการศึกษาบอกว่า ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่ เช่น เพิ่มการพัฒนาอุตสาหกรรมและธุรกิจต่อเนื่อง เช่น การแปรรูปอุตสาหกรรมทางการเกษตร อาหารและประมง ธุรกิจการให้บริการขนส่งสินค้า อุตสาหกรรมไฮเทค และท่องเที่ยว คาดว่าจะเกิดการจ้างงาน 280,000 ตำแหน่ง (ระนอง 130,000 ตำแหน่ง ชุมพร 150,000 ตำแหน่ง) เพิ่มอาชีพใหม่ มีการกระจายรายได้ ประชาชนมีทางเลือกในการประกอบอาชีพไม่ต้องย้ายถิ่นฐาน
นี่คือข้อมูลทั้งหมดในมุมมองของฝ่ายรัฐ
ที่มา: สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.)
@แลนด์บริดจ์ทำลายแหล่งอาหาร-สิ่งแวดล้อมคนพื้นที่
ขณะเดียวกัน อีกฝากฝั่งหนึ่ง เสียงท้วงติงคัดค้านก็มีเช่นกัน ‘ประสิทธิชัย หนูนวล’ ผู้ประสานงานเครือข่ายปกป้องแหล่งผลิตอาหารภาคใต้ ให้ข้อมูลอีกมุมกับสำนักข่าวอิศราว่า โครงสร้างของโครงการแลนด์บริดจ์ตามที่ภาครัฐโปรโมตจะประกอบไปด้วย 1.ท่าเรือน้ำลึก 2 ฝั่งระนอง-ชุมพร 2.รถไฟ และ 3. มอเตอร์เวย์ ประเด็นสำคัญคือ ตัวท่าเรือน้ำลึกตามแผนนั้น จะกระทบสิ่งแวดล้อมในพื้นที่อย่างมาก เพราะจะมีการถมทะเล โดยเฉพาะฝั่งจ.ระนองที่มีข้อมูลว่า รัฐบาลต้องการถมทะเลเป็นนื้อที่รวมกว่า 6,000 ไร่ ซึ่งการสูญเสียพื้นที่นี้จะกระทบระบบนิเวศและการประกอบกิจการประมงชาวบ้านในพื้นที่
“พวกเราไม่เคยคำนวณเลยว่า เวลาเสียพื้นที่ป่าชายเลนและชายหาดเหล่านี้ไป ต้องแลกมากับความสมบูรณ์ของแหล่งอาหาร ซึ่งจะกระทบต่อเนื่องไปถึงการประกอบอาชีพและชีวิตของคนในพื้นที่ ซึ่งประเด็นเหล่าสี้คือหัวใจสำคัญที่ต้องคัดค้าน” นายประสิทธิชัยกล่าว
นายประสิทธิชัยกล่าวต่อไปว่า เมื่อมีการก่อสร้างแล้ว ไม่ใช่เฉพาะตัวโครงสร้างท่าเรือ แต่มีเรื่องการก่อสร้างโดยรอบอีก และเมื่อท่าเรือ 2 ฝั่ง (ระนอง-ชุมพร) เกิดแล้ว สิ่งที่ตามมาแน่ๆคือ นิคมอุตสาหกรรมที่จะต้องมารองรับเป็นพื้นที่หลังท่าเรือด้วย ดังนั้น การเกิดขึ้นของท่าเรือคือ จุดเริ่มต้นของความเสียหายด้านสิ่งแวดล้อม ก่อนที่จะมีปัจจัยด้านอื่นๆตามมาด้วย
นอกจากนี้ ยังไม่ต้องคิดไปถึงความคุ้มค่าของการลงทุน ซึ่งจากการประมาณการของภาครัฐคำนวณงบประมาณที่ต้องลงไปกว่า 1 ล้านล้านบาทแล้ว มีหลายภาคส่วนที่ออกมาเตือนว่า การก่อสร้างดังกล่าวอาจจะสูญเปล่า เพราะไม่มีดีมานด์เข้ามา ซึ่งปัจจุบันการขนส่งทางเรือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ใช้ช่องแคบมะละกาเป็นหลักอยู่แล้ว ไม่มีทางที่นักลงทุนจะขึ้นมาใช้งานแลนด์บริดจ์แน่นอน
@ร่างพ.ร.บ. SEC ครอบจักรวาล
นายประสิทธิชัย ให้มุมมองต่อว่า อย่างไรก็ตาม โครงการนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต้องอาศัยร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (พ.ร.บ. SEC: Southern Economic Corridor) พ.ศ. .... ซึ่งชาวบ้านก็เคลื่อนไหวเพื่อคัดค้านอยู่ โดยปัจจุบันทางสนข.กำลังจัดรับฟังความเห็นครั้งที่ 3 ของการจัดทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม (EHIA) ก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกอยู่ ซึ่งการจัดทำ EHIA มีเงื่อนไขว่า จะผ่านไม่ได้ถ้าพื้นที่ที่จัดทำรายงานมีเขตอุทยานแห่งชาติรวมอยู่ แต่หากร่าง พ.ร.บ. SEC ผ่านการพิจารณาเมื่อไหร่ ข้อกำหนดตรงนี้จะถูกยกเว้นทันที และจะทำให้โครงการท่าเรือน้ำลึกผ่านการพิจารณาไปได้
โดยในมาตรา 8 ของร่างพ.ร.บ. SEC ระบุว่า “ในการดำเนินการเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ หากคณะกรรมการนโยบายเห็นว่ากฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ หรือคำสั่งใดก่อให้เกิดความไม่สะดวกหรือล่าช้า มีความซ้ำซ้อนหรือเป็นการเพิ่มภาระการดำเนินการโดยไม่จำเป็น หรือมีปัญหาหรืออุปสรรคอื่นใด ให้คณะกรรมการนโยบายเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้มีการดำเนินการปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ หรือคำสั่งดังกล่าว หรือมีกฎหมายขึ้นใหม่ เพื่อให้การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้มีประสิทธิภาพ สะดวก และรวดเร็ว ทั้งนี้ ต้องไม่กระทบต่อความเสมอภาค สิทธิและเสรีภาพของประชาชน และต้องไม่เลือกปฏิบัติ”
ดังนั้น นายประสิทธิชัยกล่าวว่า หากร่างพ.ร.บ. SEC มีผลบังคับใช้เมื่อไหร่ ก็จะทำให้พื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะ 4 จังหวัดตามเป้าหมายคือ ระนอง ชุมพร นครศรีธรรมราช และสุราษฎร์ธานี เปลี่ยนไปทันที
นอกจากประเด็นนี้แล้ว นายประสิทธิชัยยังแสดงความกังวลเกี่ยวกับประเด็นที่ดินด้วย เพราะในร่าง พ.ร.บ. SEC ให้อำนาจบุคคลหรือนิติบุคคลต่างชาติจากเดิมให้สิทธิในที่ดินเพียงเพื่อ ‘ใช้’ เป็นสิทธิในการ ‘ครอบครอง’ ซึ่งตามมาตรา 48 ระบุว่า
“ให้ผู้ประกอบกิจการในเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษซึ่งเป็นนิติบุคคลและเป็นคนต่างด้าวตามประมวลกฎหมายที่ดิน มีสิทธิถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินภายในเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อการประกอบกิจการที่ได้รับอนุญาตได้โดยไม่ต้องได้รับอนุญาตตามประมวลกฎหมายที่ดิน ให้ผู้ประกอบกิจการในเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษซึ่งเป็นนิติบุคคลและเป็นคนต่างด้าว ตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุดมีสิทธิถือกรรมสิทธิ์ในห้องชุด โดยได้รับการยกเว้นจากการจํากัดสิทธิของคนต่างด้าวตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุดผู้ประกอบกิจการซึ่งจะมีสิทธิ และจำนวนที่ดินหรือห้องชุดตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่คณะกรรมการนโยบายประกาศกำหนดโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี แต่ทั้งนี้ ต้องไม่เกินที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุนหรือกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย”
โดยผลเสียของการบัญญัติดังกล่าว นายประสิทธิชัยอธิบายว่า สิ่งที่จะตามมาคือ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ในที่ดินและทรัพยากร เพราะท้ายที่สุดแล้ว ทรัพยากรจำพวกดิน น้ำ ที่ดิน เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยการผลิตสำคัญของประเทศ อีกทั้ง ในพื้นที่ตอนนี้ก็มีกระแสข่าวว่า มีการกว้านซื้อที่ดินของนายทุนต่างชาติเป็จำนวนมากในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา จากเดิมที่ถือครองที่ดินสำหรับทำเรื่องท่องเที่ยว ตอนนี้ลามมาซื้อที่ดินเพื่อการเกษตรแล้ว ถ้า พ.ร.บ.ฉบับนี้ผ่าน ชาวต่างชาติเหล่านี้ก็ไม่ต้องเหนียมใช้นอมินีอีกต่อไป ซึ่งคิดว่าการกระทำแบบนี้มันมากเกินไป
“ปกติการลงทุนของนานาชาติ ต่างชาติต้องถือสัดส่วนน้อยกว่า แล้วในกฎหมายก็ยกเว้นให้หมดเลยทั้งภาษี ค่าธรรมเนียม รวมถึงการยกเว้นอาชีพสงวนที่ห้ามชาวต่างชาติทำ เราไม่เอาอะไรเลยเหรอ? ตรงนี้มันเกินเลยการพัฒนาไป โดยเฉพาะมาตรา 8 ที่สามารถแก้กฎหมายอะไรก็ได้ที่ขัดต่อร่างพ.ร.บ.นี้ รวมถึงสามารถตรากฎหมายใหม่ขึ้นใช้ก็ได้ด้วย พูดง่ายๆ การให้ใช้อำนาจมากมายขนาดนี้ ต้องเป็นรัฏฐาธิปัตย์หรือเปล่า? พ.ร.บ.ให้อำนาจมากเกินไปหรือไม่? หากกฎหมายฉบับนี้เกิดขึ้นจะเปลี่ยนแปลงภาคใต้ไปตลอดกาล” นายประสิทธิชัยสรุปและตั้งคำถามทิ้งท้ายกับผู้สื่อข่าว

‘ประสิทธิชัย หนูนวล’ ผู้ประสานงานเครือข่ายปกป้องแหล่งผลิตอาหารภาคใต้
@เอกชนไม่มา แลนด์บริดจ์ไม่เกิด การเมืองเกี่ยวน้อย
ขณะที่นายสุเมธ องกิตติกุล ผู้อำนวยการวิจัย ด้านนโยบายการขนส่ง และโลจิสติกส์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ให้ทัศนะกับสำนักข่าวอิศราว่า ความเป็นไปได้ของโครงการทั้งในทางการเงินและเศรษฐกิจค่อนข้างเป็นไปได้ยากมาก เพราะเป็นโครงการที่ใช้เงินลงทุนสูง ไม่มีความคุ้มค่าทางการเงินและเศรษฐกิจเลย ส่วนการประเมินของกระทรวงคมนาคมน่าจะมีปัญหาในด้านวิธีการประเมินโครงการ
“เป็นโครงการที่จำเป็นต้องให้เอกชนลงทุนค่อนข้างมาก ส่วนภาครัฐคงลงทุนบางส่วน ถ้ายังอยู่ในกรอบพิจารณาแบบนี้โอกาสที่จะหาเอกชนมาลงทุนเป็นไปได้ยากมาก รัฐต้องลงทุนมากพอสมควรถ้าจะให้เกิด แล้วจะต้องลงทุนมากแค่ไหน? ซึ่งตามกรอบการศึกษาของกระทรวงคมนาคมก็เป็นให้ที่ไปทำและให้สิทธิดำเนิน รวมถึงมีระยะเวลาสัญญายาวหน่อย แต่ผมเชื่อว่ายากมากที่จะหาเอกชนมาลงทุนในโครงการนี้” นายสุเมธระบุ
นายสุเมธกล่าวต่อว่า ตัวโครงการนี้มีความซับซ้อนมาก ซับซ้อนมากกว่าโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินที่กำลังมีปัญหาในขณะนี้อีก เพราะแลนด์บริดจ์เป็นโครงการที่ไทยไม่เคยทำ แถมสัญญาเดียวอีกต่างหาก เพราะฉะนั้น การจับเรื่องยากๆมาอยู่ด้วยกันหมด จึงขับเคลื่อนโครงการไปได้ยากมากๆ โดยเฉพาะความไม่แน่นอนที่จะมีลูกค้ามาใช้, กลางทะเลต้องมีการถมทะเลเพิ่มอีก พอประกอบรวมทั้งหมด มันทำได้ยากมากเลย ดังนั้น ถ้าหาเอกชนมาลงทุนไม่ได้ โครงการนี้ก็จบ
เมื่อถามว่า แต่โครงการนี้จะมีรูปแบบคล้ายเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ที่จะมีการขับเคลื่อนโครงการในรูปแบบเดียวกันนั้น นายสุเมธตอบว่า ก็ไม่ได้ช่วยอะไร EEC เองวันนี้ก็ยังแก้ปัญหารถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินไม่จบเลย การตั้งสำนักงานหรือมีกฎหมายเฉพาะไม่ได้การันตีว่าจะไร้ความเสี่ยง มันอยู่ที่เอกชนจะมาไหมมากกว่า ถ้าเอกชนไม่มา โครงการนี้ก็ไม่สำเร็จ ส่วนการออกไปโรดโชว์ก่อนหน้านี้ ทุกคนทุกประเทศก็สนใจหมด แต่รายละเอียดยังไม่มี สุดท้ายก็ต้องดูรายละเอียดและความเป็นไปได้ของโครงการมากกว่า
ส่วนปัจจัยทางการเมืองที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีมีสิทธิหลุดจากตำแหน่ง หลังศาลรัฐธรรมนูญนัดฟังคำวินิจฉัยในวันที่ 29 ส.ค.นี้นั้น นายสุเมธมองว่า ไม่น่าจะมีผลมากนัก เพราะคิดว่าพรรคการเมืองจากขั้วไหนก็ตามที่เข้ามาและต้องการโครงการนี้ ก็ย่อมต้องผลักดันต่อไปแน่นอน
“ถ้าโครงการมันดี มันคุ้ม แต่การเมืองทำให้มันชะลอ หรือขอเอาไปแก้ ดัดแปลง ก็อาจจะมีผลกระทบ แต่โครงการนี้การเมืองไม่ใช่ปัจจัยหลัก” นายสุเมธกล่าวจบ
แม้การเมืองจะมีปัจจัยน้อยแบบที่ ‘สุเมธ’ กล่าว แต่ก็ไว้ใจไม่ได้ เพราะนโยบายต่างๆจะเป็นรูปธรรมได้ ‘การเมือง’ คือเครื่องยนต์ขับเคลื่อนสำคัญ
29 สิงหาคมนี้ เวลา 15.00 น. ถ้า ‘แพทองธาร’ ไม่รอด ย่อมกระทบแผนงานต่างๆในมือรัฐบาล
รวมถึง ‘แลนด์บริดจ์’ ที่อาจจะต้องหาทางไปกันอีกก็ได้


Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา