
"...น่าสนใจว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่เคยสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ และชี้ขาด พล.อ.ประยุทธ์ เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ยังเหลือปฏิบัติหน้าที่ในปัจจุบันที่จะต้องชี้ขาด แพทองธาร 7 ราย ได้แก่ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม นายปัญญา อุดชาชน นายวิรุฬห์ แสงเทียน นายจิรนิติ หะวานนท์ นายนภดล เทพพิทักษ์ และนายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ ขาดแค่ นายวรวิทย์ กังศศิเทียม อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ และนายทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ ที่เกษียณอายุไปเท่านั้น โดยมีตุลาการใหม่ 2 คนคือ นายอุดม รัฐอมฤต และนายสุเมธ รอยกุลเจริญ ซึ่งทั้งคู่ลงมติในเสียงข้างมากเห็นชอบให้สั่ง ‘แพทองธาร’ หยุดปฏิบัติหน้าที่..."
ใกล้จะถึงฉากสุดท้าย ‘คดีคลิปเสียงฮุน เซน' กรณีกล่าวหา น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ว่าจะยังได้นั่งเก้าอี้ ‘นายกรัฐมนตรี’ คนที่ 31 ต่อหรือไม่แล้ว
โดยศาลรัฐธรรมนูญ นัดลงมติ และฟังคำวินิจฉัย ในเวลา 15.00 น. วันที่ 29 ส.ค.นี้
หลังจากที่ก่อนหน้านี้เธอ และฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ถูกศาลเรียกเข้าไปไต่สวน เมื่อ 21 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยไต่สวนแยกกัน ต่างคนต่างไม่ทราบว่าใครถูกถามอะไรบ้าง เริ่มจากเลขาธิการ สมช.ปากแรก น.ส.แพทองธาร ปากที่สอง ใช้ระยะเวลาราว 3 ชั่วโมง ทั้งหมดก็เดินทางกลับทันที
เนื่องจาก ‘นครินทร์ เมฆไตรรัตน์’ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ เน้นย้ำถึง 2 ครั้ง ตั้งแต่ก่อนไต่สวน และภายหลังไต่สวนเสร็จสิ้นว่า คดีนี้เป็นความลับเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ ห้ามไม่ให้ผู้เข้ารับฟังการไต่สวนของศาลรัฐธรรมนูญนำข้อความการไต่สวนออกไปเผยแพร่ และห้ามไม่ให้บิดเบือนข้อเท็จจริง หรือข้อกฎหมายในลักษณะการสร้างความเข้าใจผิดต่อสาธารณชน

ย้อนไปในอดีตที่ผ่านมา นับตั้งแต่ก่อตั้งศาลรัฐธรรมนูญขึ้น ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญปี 2540 เป็นต้นมา
มี ‘นายกฯ’ ขึ้นเขียงถูกศาลรัฐธรรมนูญไต่สวนดำเนินคดีมาแล้วอย่างน้อย 6 คน ตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมา ได้แก่ สมัคร สุนทรเวช (นายกฯคนที่ 25) สมชาย วงศ์สวัสดิ์ (นายกฯคนที่ 26) ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (นายกฯคนที่ 28 และนายกฯหญิงคนแรกของไทย) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา (นายกฯคนที่ 29) เศรษฐา ทวีสิน (นายกฯคนที่ 30) และคนล่าสุดคือ แพทองธาร ชินวัตร (นายกฯคนที่ 31)
กรณีนี้มินับ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ อดีตนายกฯคนที่ 23 ซึ่งเคยถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาด ‘คดีซุกหุ้น’ เนื่องจาก ณ ขณะนั้น ‘ทักษิณ’ ยังมิได้ดำรงตำแหน่งนายกฯ กับวลีในตำนานของ ‘ทักษิณ’ ขณะนั้นว่า ผมไม่มีเจตนาปกปิด เป็นเพียงความบกพร่องโดยสุจริต" กลางศาลรัฐธรรมนูญ ก่อนจะรอดพ้นมาด้วยมติฉิวเฉียด 8 ต่อ 7 เสียง ว่าไม่มีความผิด เมื่อ 3 ส.ค. 2544

@ ทักษิณ ชินวัตร
อย่างไรก็ดี รายของ ‘สมัคร สุนทรเวช’ และ ‘สมชาย วงศ์สวัสดิ์’ นั้น คดีเกิดขึ้นในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อความขัดแย้งทางการเมืองอย่างรุนแรง หลังจากรัฐประหาร ‘รัฐบาลทักษิณ’ เมื่อปี 2549 โดยทั้งคู่ มิได้ถูกศาลรัฐธรรมนูญ สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่แต่อย่างใด ทว่าศาลรัฐธรรมนูญ รับคำร้องไว้แล้วเห็นว่า คดีมีมูลเพียงพอจะวินิจฉัยได้ จึงชี้ขาดในเวลาต่อมา
กรณีของ ‘สมัคร’ ถูก ‘เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ’ สว.สรรหา (ขณะนั้น) และกลุ่ม 40 สว.ซึ่งถูกสื่อขนานนามว่าเป็น ‘ปฏิปักษ์ชินวัตร’ ยื่นคำร้องกับศาลรัฐธรรมนูญว่า การจัดรายการ ‘ชิมไปบ่นไป’ และ ‘ยกโขยงหกโมงเช้า’ ขัดต่อรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 267 ที่ห้ามนายกฯ มีตำแหน่งใด ๆ ในห้างหุ้นส่วนหรือองค์กรที่ดำเนินธุรกิจโดยมุ่งหากำไร หรือรายได้มาแบ่งปันกัน หรือเป็นลูกจ้างของบุคคลใดหรือไม่ กระทั่ง 9 ก.ย. 2561 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 เสียง ชี้ว่า ‘สมัคร’ กระทำการขัดรัฐธรรมนูญจริง ขาดคุณสมบัติการเป็นนายกฯ ต้องพ้นเก้าอี้ไป
แม้ว่า ‘ทักษิณ’ จะพยายามแก้เกม ‘นิติสงคราม-ตุลาการภิวัฒน์’ ดังกล่าวด้วยการดัน ‘น้องเขย’ อย่าง ‘สมชาย วงศ์สวัสดิ์’ ขึ้นมานั่งนายกฯขัดตาทัพก็ตาม แต่ก็เป็นได้เพียง 3 เดือน เพราะหลังจากนั้น ‘ยงยุทธ ติยะไพรัช’ อดีตแกนนำพรรคพลังประชาชน ถูกร้องเรียนเรื่องทุจริตการเลือกตั้ง ส่งผลให้ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 เสียงเช่นเดิม ให้ยุบพรรคพลังประชาชน ซึ่งมี ‘สมชาย’ รักษาการหัวหน้าพรรคขณะนั้น ต้องถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง และพ้นเก้าอี้นายกฯไปด้วย
ส่งผลให้ ‘นอมินีทักษิณ-น้องเขยทักษิณ’ ต้องพ้นเก้าอี้นายกฯ เปิดทางพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ก้าวขึ้นเป็นรัฐบาลครั้งแรกในรอบเกือบ 10 ปี
ถัดมา ‘นารีขี่ม้าขาว’ ยิ่งลักษณ์ น้องสาวคนสุดท้องของ ‘ทักษิณ’ คดีในชั้นศาลรัฐธรรมนูญถูกกล่าวหาว่าโยกย้าย ‘ถวิล เปลี่ยนศรี’ พ้นเลขาธิการ สมช.ไม่เป็นธรรม เกิดขึ้นภายหลังเธอประกาศยุบสภา พ้นสถานะเก้าอี้นายกฯไปแล้ว เหลือแค่หมวกนายกฯรักษาการเท่านั้น ทำให้ศาลรัฐธรรมนูญมิได้สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่อีก และสุดท้าย 7 พ.ค. 2557 เธอก็ถูกศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยให้พ้นเก้าอี้นายกฯ ก่อนจะเกิดรัฐประหารตามมาในวันที่ 22 พ.ค. 2557 และคณะรัฐประหารชุดนี้ก็รวบอำนาจ ลากยาวมาเกือบ 6 ปี ก่อนจะคืนอำนาจให้ประชาชนนำไปสู่การเลือกตั้งในปี 2562
ขณะที่ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ นายกฯคนที่ 30 เป็นนายกฯคนสุดท้ายที่ สว.มาร่วมโหวตด้วย ตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญปี 2560 แต่ปฏิบัติหน้าที่ได้ราว 1 ปีก็ถูกร้องเรียนต่อศาลรัฐธรรมนูญ และศาลมีมติเสียงข้างมากชี้ว่า เขาเป็นบุคคลที่กระทำการอันไม่ซื่อสัตย์สุจริตและมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง

เศรษฐา ทวีสิน /ภาพจาก www.thairath.co.th
ภายหลัง ‘ปรับ ครม.’ นำชื่อของ ‘พิชิต ชื่นบาน’ อดีตทนายความของ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ เป็น รมต.ประจำสำนักนายกฯ ทั้งที่ ‘พิชิต’ เคยต้องคำพิพากษาศาลใน ‘คดีถุงขนม’ มาแล้ว ส่อเข้าข่ายขาดคุณสมบัติต้องห้ามในการเป็นรัฐมนตรี โดยคำว่า ‘ไม่ซื่อสัตย์สุจริต’ ดังกล่าว กลายเป็นแผลฝังใจของ ‘เศรษฐา’ นับจากนั้นเป็นต้นมา
ดังนั้น มี ‘อดีตนายกฯ’ เพียง 2 คนเท่านั้น เท่าที่ปรากฏข้อมูลในชั้นศาลรัฐธรรมนูญว่า เคยถูกศาลสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่เป็นการชั่วคราว ได้แก่

หนึ่ง : พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกฯคนที่ 29 เขาคืออดีตผู้นำการรัฐประหารในชื่อ คสช.เมื่อปี 2557 และอยู่ในอำนาจลากยาวมาเกือบ 10 ปี เป็นนายกฯ 2 สมัย (สมัยแรกตอน คสช. 2557-2562 สมัยที่สอง ได้รับคะแนนเสียงข้างมากในสภาฯ 2562-2566) ปัจจุบัน ‘บิ๊กตู่’ คือ ‘องคมนตรี’ แต่ก่อนหน้านี้เมื่อครั้งเป็นนายกฯ เคยถูกร้องเรียนกล่าวหาในชั้นศาลรัฐธรรมนูญ หลายคดีด้วยกัน และมี 1 คดีที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญ สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่เป็นการชั่วคราว ทำให้ ‘บิ๊กป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ลำดับที่ 1 ขึ้นมารักษาการแทนเป็นเวลาถึง 37 วัน
คดีดังกล่าว สส.ฝ่ายค้าน ที่นำโดย พรรคเพื่อไทย-พรรคก้าวไกล (ขณะนั้น) ส่งศาลรัฐธรรมนูญตั้งแต่ 22 ส.ค. 2565 โดยขอให้วินิจฉัยว่าความเป็นรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ สิ้นสุดลงหรือไม่ เนื่องจากดำรงตำแหน่งครบกำหนดเวลา ตามมาตรา 170 วรรคสาม และมาตรา 158 วรรคสี่ ของรัฐธรรมนูญ 2560 โดยฝ่ายค้านเห็นว่า พล.อ. ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ครบ 8 ปี ในวันที่ 23 ส.ค. 2565 นับจากได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกฯ ครั้งแรกเมื่อ 24 ส.ค. 2557
ต่อมาเมื่อวันที่ 24 ส.ค. 2565 ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 เสียง สั่งรับคำร้อง และสั่งให้ ‘บิ๊กตู่’ หยุดปฏิบัติหน้าที่เป็นการชั่วคราว จนกว่าจะมีคำวินิจฉัย โดยตุลาการทั้ง 9 ราย มีดังนี้
ฝ่ายเสียงข้างมาก 5 เสียง ที่เห็นควรสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ ประกอบด้วย นายทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ นายนภดล เทพพิทักษ์ นายวิรุฬห์ แสงเทียน และนายจิรนิติ หะวานนท์
ฝ่ายเสียงข้างน้อย 4 เสียง ที่เห็นว่าไม่ควรให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ประกอบด้วย นายวรวิทย์ กังศศิเทียม ประธานศาลรัฐธรรมนูญ (ขณะนั้น) นายปัญญา อุดชาชน นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม และนายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์
ต่อมา 30 ก.ย. 2565 ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยข้างมาก 6 ต่อ 3 เสียง เห็นว่า ความเป็นรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่สิ้นสุดลง เนื่องจากเห็นว่าให้เริ่มนับความเป็นนายกรัฐมนตรี ของ พล.อ.ประยุทธ์ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 158 วรรคสี่ ในวันที่รัฐธรรมนูญประกาศใช้ คือ วันที่ 6 เม.ย. พ.ศ. 2560 ซึ่งการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก่อนหน้านี้ “มิใช่นายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2560” ที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร หรือที่ประชุมร่วมของรัฐสภา เท่ากับว่าหาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ดำรงตำแหน่งนายกฯต่อเนื่องไป จะสามารถครองตำแหน่งนายกฯได้จนถึงปี 2568
โดยฝ่ายเสียงข้างมาก 6 เสียง ได้แก่ นายวรวิทย์ กังศศิเทียม ประธานศาลรัฐธรรมนูญ (ขณะนั้น) นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม นายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ นายปัญญา อุดชาชน นายจิรนิติ หะวานนท์ และนายวิรุฬห์ แสงเทียน
ฝ่ายเสียงข้างน้อย 3 เสียง ได้แก่ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ นายทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ์ และนายนภดล เทพพิทักษ์
เห็นได้ว่า 3 เสียงข้างน้อยดังกล่าว คือ 3 ใน 5 เสียงเดิมที่เห็นควรสั่งให้ ‘บิ๊กตู่’ หยุดปฏิบัติหน้าที่ แต่อีก 2 เสียงเดิมคือ นายวิรุฬห์ และนายจีรนิติ ได้ย้ายมาอยู่ในเสียงข้างมากที่เห็นว่าความเป็นรัฐมนตรีของ ‘นายกฯประยุทธ์’ ไม่สิ้นสุดลง
ทั้งนี้เว็บไซต์ โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) ระบุว่า หลังจากศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัย ในวันเดียวกันนั้น มีผู้เผยแพร่ร่างความเห็นส่วนตนของนายทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญผู้มาจากโควตาศาสตราจารย์ทางด้านนิติศาสตร์ ระบุสาระสำคัญตอนหนึ่งว่า ในบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 158 วรรคสี่ ย่อมแสดงให้เห็นอย่างมีนัยสำคัญว่าได้สืบทอดหลักการตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 มาตรา 171 วรรคสี่มีเจตนารมณ์ผ่านประชามติ ว่าต้องการที่จะห้ามมิให้นายกรัฐมนตรีดำรงตำแหน่งยาวนานเกินกว่าแปดปี เพื่อมิให้อยู่ในอำนาจนานเกินไปจน เกิดการผูกขาดอำนาจในทางการเมือง จึงต้องตีความในทางควบคุมอำนาจอย่างเคร่งครัด คือ ต้องเป็นไปตามบทบัญญัติที่ชัดเจนแล้ว ดังนั้น เมื่อรัฐธรรมนูญให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ไม่เกิน 8 ปี และไม่ได้ยกเว้นให้กับนายกรัฐมนตรีที่ตำแหน่งมาก่อนวันที่รัฐธรรมนูญประกาศใช้ จึงต้องนำระยะเวลาดำรงตำแหน่งก่อนรัฐธรรมนูญประกาศใช้มานับรวมเข้าไปด้วย
ไม่ว่าจะพิจารณาจากหลักนิติรัฐ เจตนารมณ์แห่งรัฐธรรมนูญ เจตนารมณ์ในการลงประชามติประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขประกอบกับบันทึกการประชุมคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญครั้งที่ 500/2561 วันที่ 7 กันยายน 2561 อันเป็นเอกสารราชการที่บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรความว่า “…แม้ว่าจะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ก่อนวันที่รัฐธรรมนูญนี้ใช้บังคับ ก็สามารถนับรวมระยะเวลาดังกล่าวรวมกับระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ 2560 ได้ ซึ่งเมื่อนับรวมระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต้องมีระยะเวลาไม่เกินแปดปี…” รายงานการประชุมนี้ได้มีการรับรอง โดยไม่มีการแก้ไขเพิ่มเติม หรือมีความเห็นเป็นอย่างอื่น
จึงเห็นว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสอง ประกอบมาตรา 158 วรรคสี่ นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ คือ วันที่ 24 สิงหาคม 2565 แต่ให้อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ตามความในรัฐธรรมนูญมาตรา 168 วรรคหนึ่ง (1)

ภาพ ‘อุ๊งอิ๊ง’ แพทองธาร ชินวัตร จาก www.innnews.co.th
สอง : แพทองธาร ชินวัตร
เธอคือบุตรสาวคนสุดท้องของ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ อดีตนายกฯผู้เป็นบิดา ในช่วง 2 ทศวรรษการเมืองไทยที่ผ่านมา ‘ตระกูลชินวัตร’ เคยส่งวงศ์วานว่านเครือนั่งเก้าอี้นายกฯมาแล้วรวม 4 คน ได้แก่ ทักษิณ (นายกฯคนที่ 23) สมชาย (นายกฯคนที่ 26) ยิ่งลักษณ์ (นายกฯคนที่ 28) และล่าสุด แพทองธาร (นายกฯคนที่ 31)
โดยรายของ ‘แพทองธาร’ ถูกร้องเรียนกล่าวหาว่า ความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ จากกรณีคลิปเสียงสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร กับฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา
ทั้งนี้เมื่อ 1 ก.ค. 2568 ที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญมี ‘มติเอกฉันท์’ รับคำร้องกล่าวหาดังกล่าว แต่ในขั้นตอนสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่นั้น ศาลรัฐธรรมนูญกลับ ‘เสียงแตก’ โดยมีมติข้างมาก 7 ต่อ 2 เสียง เห็นควรสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯเป็นการชั่วคราว โดยฝ่ายเสียงข้างมาก 7 เสียง ประกอบด้วย นายปัญญา อุดชาชน นายวิรุฬห์ แสงเทียน นายจิรนิติ หะวานนท์ นายนภดล เทพพิทักษ์ นายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ นายอุดม รัฐอมฤต และนายสุเมธ รอยกุลเจริญ
โดยเห็นว่า ปรากฏเหตุอันควรสงสัยว่า ผู้ถูกร้องมีกรณีตามที่ถูกร้องตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 วรรคสอง มีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี นับแต่วันที่ 1 ก.ค. 2568 เป็นต้นไป จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย แจ้งให้ผู้ร้อง และผู้ถูกร้องทราบ
ฝ่ายเสียงข้างน้อย 2 เสียง ได้แก่ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ และนายอุดม สิทธิวิรัชธรรม เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องยังไม่ยุติชัดเจน ให้ปรากฏเหตุอันควรสงสัยว่า ผู้ถูกร้องมีกรณีตามที่ถูกร้องตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 วรรคสอง แต่เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นอย่างร้ายแรงที่ยากแก่การแก้ไขเยียวยาในภายหลัง ให้ใช้มาตรการ หรือวิธีการชั่วคราว ก่อนการวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 71 ห้ามมิให้ผู้ถูกร้องใช้หน้าที่ และอำนาจด้านความมั่นคง ด้านการต่างประเทศ และด้านการคลัง จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย
ทั้งนี้ น่าสนใจว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่เคยสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ และชี้ขาด พล.อ.ประยุทธ์ เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ยังเหลือปฏิบัติหน้าที่ในปัจจุบันที่จะต้องชี้ขาด แพทองธาร 7 ราย ได้แก่ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม นายปัญญา อุดชาชน นายวิรุฬห์ แสงเทียน นายจิรนิติ หะวานนท์ นายนภดล เทพพิทักษ์ และนายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์
ขาดแค่ นายวรวิทย์ กังศศิเทียม อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ และนายทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ ที่เกษียณอายุไปเท่านั้น โดยมีตุลาการใหม่ 2 คนคือ นายอุดม รัฐอมฤต และนายสุเมธ รอยกุลเจริญ ซึ่งทั้งคู่ลงมติในเสียงข้างมากเห็นชอบให้สั่ง ‘แพทองธาร’ หยุดปฏิบัติหน้าที่
ปัจจุบันผ่านมาเกือบ 2 เดือนแล้วที่ ‘นายกฯแพทองธาร’ ถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ นับเป็นนายกฯคนแรกที่ถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ยาวนานที่สุดจากศาลรัฐธรรมนูญ และศาลจะมีคำวินิจฉัยชี้ขาดคดีดังกล่าวในวันที่ 29 ส.ค.นี้
บทสรุปสุดท้ายคดีนี้จะออกมาหน้าไหน อีกไม่กี่อึดใจ รู้ผล!

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา