
“...เราควรก้าวไป 1 ก้าวก่อนประเทศเพื่อนบ้าน และการจัดการองค์กรต้องทันสมัย ต้องไปเอาประสบการณ์ของประเทศที่เขาทำสำเร็จมาปรับให้เข้ากับวัฒนธรรมองค์กรบ้านเราให้ได้ บุคลากรในรฟท.ต้องช่วยกันไล่ตั้งแต่ประธานบอร์ด ผู้ว่าฯ พนักงาน และภาคส่วนต่างๆ…”
กิจการรถไฟไทยก่อตั้งมาแล้วกว่า 135 ปี สิ่งที่ผู้คนรู้กันแพร่หลายคือ เป็นองค์กรที่มีภาพลักษณ์ไม่ทันสมัย ไม่พัฒนาเท่าที่ควร ประกอบกับภาวะขาดทุนต่อเนื่องยาวนาน ซึ่ง ณ สิ้นปี 2567 หนี้สะสมทะยานแตะ 300,000 ล้านบาทเป็นที่เรียบร้อย
ที่ผ่านมา รัฐบาลทั้งเลือกตั้ง-ลากตั้ง มีแผนงานขจัดภาวะขาดทุนของรัฐวิสาหกิจหลายๆแห่ง รวมถึงของ รฟท.-การรถไฟแห่งประเทศไทยด้วย แต่สุดท้ายมักจะจบลงแบบไฟไหม้ฟาง
กล่าวสำหรับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมชุดปัจจุบัน ที่มี ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ เป็นหัวหอกดูแลรฟท.โดยตรง และมี ‘สุรพงษ์ ปิยะโชติ’ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ในฐานะกำกับกรมการขนส่งทางราง (ขร.) ต้องยอมรับว่า ที่ผ่านมายังไม่เห็นแผนงานที่จะฟื้นฟูองค์กรม้าเหล็กแห่งนี้เท่าที่ควร
อย่างไรก็ตาม เมื่อเร็วๆนี้ สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ได้เข้าร่วมสัมมนาในหัวข้อ “โครงการรายงานผลการศึกษาเพื่อการพัฒนาการรถไฟอย่างยั่งยืน” จัดโดยสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการรถไฟแห่งประเทศไทย (สร.รฟท.) ร่วมกับ วิทยาลัยผู้นำและนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ซึ่งมีนายสุรพงษ์, นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง (ขร.) ,นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าฯรฟท. ,นายสราวุธ สราญวงศ์ ประธานสหภาพฯรฟท.ร่วมสัมนา

@คน เทคโนโลยี การจัดการ ต้องปฏิรูป
นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รมช.คมนาคมกล่าวตอนหนึ่งว่า สปอร์ตไลท์จะต้องกลับมาฉายที่ รฟท. เพราะโครงการสำคัญๆใกล้เสร็จแล้วทั้งโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีนช่วงกรุงเทพฯ - นครราชสีมา ที่จะแล้วเสร็จในปี 2571- 2572 และโครงการรถไฟทางคู่เฟส 2 ที่จะเข้าครม.เร็วๆนี้ ก็คาดว่าจะแล้วเสร็จในเวลาใกล้ๆกัน จึงคาดการณ์ว่า ในช่วงเวลานี้ รฟท. จะเข้าสู่โลกใหม่ จะต้องมีการเปลี่ยนแปลง ทั้งระบบอาณัติสัญญาณ เทคโนโลยีรถใหม่ๆ จะไหลเข้ามาต่อเนื่อง เชื่อว่าถ้า รฟท.อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเป็นหุ้นที่ราคากำลังจะขึ้นแน่นอน ขอให้มั่นใจว่า รฟท. จะเติบโตแบบยิ่งใหญ่และเป็นระบบด้วยการลงทุนต่างๆของภาครัฐ
นอกจากนี้ รฟท. ยังมีบริษัทลูกที่ดูแลการบริหารทรัพย์สินอย่าง บจ.เอสอาร์ที แอสเสท (SRTA) และบริษัทลูกที่กำลังเดินรถไฟชานเมืองสายสีแดงอย่าง บจ. รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. (รฟฟท.) ต่อไปถ้ามีระบบใหม่ๆเข้ามาก็อาจจะกระจายเปิดบริษัทลูกอีก ซึ่งรับรองว่า รฟท.เป็นเจ้าของ 100% แน่นอน แต่ก่อนจะไปสู่จุดนั้น ต้องมีความหวังก่อนว่า จะเกิดอะไรขึ้น? และต้องปฏิรูปโดย รฟท. ยังเป็นเจ้าของกิจการ 100%
"สิ่งที่ต้องปฏิรูปอันดับแรกคือ คน วันนี้เทคโนโลยีก้าวไปมาก ต้องเสริมทักษะเรื่องเทคโนโลยีใหม่ๆ พร้อมไปกับการจัดหาเทคโนโลยีให้ทันสมัย เราควรก้าวไป 1 ก้าวก่อนประเทศเพื่อนบ้าน และการจัดการองค์กรต้องทันสมัย ต้องไปเอาประสบการณ์ของประเทศที่เขาทำสำเร็จมาปรับให้เข้ากับวัฒนธรรมองค์กรบ้านเราให้ได้ บุคลากรในรฟท.ต้องช่วยกันไล่ตั้งแต่ประธานบอร์ด ผู้ว่าฯ พนักงาน และภาคส่วนต่างๆ วันนี้การสื่อสารในองค์กรเป็น One way เป็นบนลงล่างอย่างเดียว ถ้าเป็น Two Way ล่างขึ้นบนระดมความคิดกันในการกำหนดทิศทางองค์กร ก็จะทำให้เกิดมุมมองและประโยชน์ที่กว้างขึ้น เราควรสมาร์ทกว่านี้ทั้งคน เทคโนโลยี และการจัดการ” นายสุรพงษ์กล่าวช่วงหนึ่ง
นายสุรพงษ์กล่าวต่อไปว่า วันนี้พนักงานและบุคลากรน่าจะเห็นแล้วว่า ภารกิจข้างหน้าของ รฟท.คืออะไรบ้าง ซึ่งจะเป็นไปตามที่โครงสร้างพื้นฐานที่รัฐบาลลงทุนไป วันนี้ต้องเตรียมรูปแบบการบริหารจัดการที่เหมาะสม แต่ยืนยันว่า รฟท. ยังเป็นของรัฐ 100% อาจจะมีวิธีเข้าถึงความสำเร็จที่เปลี่ยนแปลงไปบ้างเท่านั้นเอง
อย่างไรก็ตาม นายสุรพงษ์ระบุว่า บทบาทของการรถไฟฯก็ถูกกำหนดมา 2 ด้านคู่กัน คือ การหารายได้เชิงพาณิชย์และการบริการเพื่อสังคม ต่อไป เมื่อระบบรางทยอยเสร็จ วิธีคิดและรูปแบบใหม่ๆควรจะสรุปให้ได้ก่อน 1 ปี โดยปัจจุบันมีการจัดรถเชิงสังคมราคาถูกประมาณ 26 ล้านที่นั่งต่อปี แต่มีเหลือใช้ตกปีละ 18 ล้านที่นั่ง แต่รถโดยสารเชิงท่องเที่ยวกลับไม่พอ ก็เป็นโอกาสที่เห็นแล้วว่า มันมีความต้องการแต่เราเองนั่นแหละที่ไม่พร้อม ส่วนตัวคิดว่ารถโดยสารทั้งสองแบบข้างต้น ไม่ควรแยกกัน ควรจะจัดให้อยู่รวมกัน แต่ต้องบริหารจัดการที่นั่งและตั๋วให้ดีกว่านี้ ซึ่งจะทำให้ต้นทุนลดลงด้วย ไม่ต้องแยกขบวนอีก
“วันนี้ขอให้มั่นใจว่าคนไทยอยากใช้รถไฟเยอะ แต่เรายังใช้ประสิทธิภาพบนรางน้อย เอาแต่ซ่อมรถซ่อมราง ไม่ใช้ประโยชน์เต็มที่ ดังนั้น เมื่อขบวนรถใหม่ขึ้น ทางเพิ่มขึ้น บริการดีขึ้น การตรงต่อเวลาดีขึ้น ถ้าทำได้จะชักจูงให้ผู้โดยสาร นักท่องเที่ยวกลับมาใช้บริการมากขึ้นแน่นอน” รมช.คมนาคมกล่าว

สุรพงษ์ ปิยะโชติ รมช.คมนาคม
@คนถูกสปอร์ตไลท์ส่องเหนื่อย
ขณะที่นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าฯรฟท. กล่าวว่า ในฐานะที่จะเป็นผู้ว่าฯครบ 1 ปี ขอเรียนว่า มาด้วยความหนักใจ เพราะองค์กรนี้มีมายาวนาน มีวัฒนธรรมองค์กรที่สืบทอดกันมานาน มีอัตรากำลังคนประมาณ 10,000 กว่าคน ความคิดเห็นร้อยแปดทั้งมาทำงาน มาสร้างความเจริญให้ตัวเอง มาสร้างความเจริญให้องค์กร แต่หลักๆแล้ว รฟท. ต้องคิดถึงองค์กร มีใจให้กัน วันนี้ต้องทำเพื่อประเทศชาติ เพราะรถไฟต้องเป็นการขนส่งหฃักของประเทศ เพียงแต่จะทำอย่างไรให้มันไปอย่างเต็มภาคภูมิ
สิ่งที่รัฐมนตรีพูดถูกคือ สปอร์ตไลท์จะฉายมาที่ รฟท. แต่คนที่ถูกสปอร์ตไลท์ฉายส่องมาก็เป็นความกดดันอย่างมาก เพราะคนที่ถูกส่องจะถูกมองเห็นทุกอย่าง ความโปร่งใส ความชอบธรรม ความหล่อ ความขี้เหร่เห็นหมด โดยสิ่งที่กำลังทำมีหลายอย่าง เพราะงานรฟท.มีหลายอย่างมาก ประการแรก ภาพขององค์กรต้องน่าเชื่อถือ ปัญหาที่ค้างๆต้องไล่ๆเคลียร์ไป ปัญหาการประมูล ร้องเรียนต่างๆ กำลังทยอยแก้ไขกันไป หรือโครงการที่องค์กรเรารอกันมานานอย่าง การจัดซื้อรถจักร 184 คัน, 182 คัน, 153 คัน คืนกลับมาที่รฟท. เพราะที่ผ่านมาเราสร้างทางคู่ออกไปมากมาย แต่ไม่มีรถวิ่ง ซึ่งรฟท.จะต้องเดินตามแนวที่ถูกต้องที่ควรจะเป็น
@กรมรางยันไม่แปรรูป รฟท.- พ.ร.บ.รางกำกับให้ดีขึ้น
ด้านนายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง (ขร.) กล่าวตอนหนึ่งว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะแปรรูปองค์กรนี้ ในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา รฟท.ดีขึ้นทุกปี สักวันผู้ที่จบการศึกษาจากโรงเรียนวิศวกรรมรถไฟจะเป็นบุคลากรที่มีค่ามาก เพราะตลาดและอุตสาหกรรมต้องการตัว อันเป็นผลมาจากการที่รัฐบาลกำลังลงทุนในโครงการต่างๆเพื่อเป็นการสร้างดีมานต์รองรับผู้โดยสารและสินค้าที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคตอย่างก้าวกระโดด
ส่วนกรณีที่กรมรางจะกลายเป็นผู้กำกับดูแลระบบราง ซึ่งรวมไปถึงรฟท.ตามร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การขนส่งทางราง พ.ศ. ….ที่สภาฯเพิ่งโหวตผ่านไปนั้น นายพิเชฐกล่าวว่า กฎหมายดังกล่าวจะเป็นการคุ้มครองผู้โดยสาร ทำทุกอย่างให้ปลอดภัย โดยกรมจะเข้าไปกำกับดูแลด้านความปลอดภัยทั้งตัวรถ ทาง และผู้โดยสาร และจะเป็นผู้กำหนดราคาค่าโดยสารเอง รวมถึงการเปิดให้เอกชนเข้าร่วมใช้รางในรูปแบบการเช่า ซึ่งใช้มากก็จ่ายให้รฟท.มาก ใช้น้อยก็จ่ายให้น้อย ซึ่งเอกชนจะเข้ามาใช้ในเส้นทางที่ รฟท.ไม่ได้ใช้งานเท่านั้น ที่ใช้อยู่ก็ไม่ได้ใช้ รฟท.ก็รอรับเงินอย่างเดียว
@วอนรัฐดันจัดหาคน-รถใหม่ เสริม
ขณะที่นายสราวุธ สราญวงศ์ ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย (สร.รฟท.) กล่าวว่า ในนามของพนักงานและลูกจ้าง ต้องการให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาบุคลากรและการเดินรถ เพราะทั้งสองอย่างมีไม่พอ ประกอบกับในปี 2572 ซึ่งคาดกันว่ารถไฟทางคู่จะทยอยก่อสร้างแล้วเสร็จ จะทำอย่างไรให้ภารกิจของ รฟท. ยังอยู่ แต่การที่ผู้บริหารพูดว่าจะไม่แปรรูป แต่จะปฏิรูปนั้น จะต้องดูไส้ในก่อนว่าเนื้อหาที่วางไว้เป้นอย่างไร? คนยังอยู่ ยังทำภารกิจรถไฟไหม? หรือมีความเปลี่ยนแปลง
“ในปี 2572 ที่รถไฟทางคู่กำลังจะเสร็จ มีการประเมินคร่าวๆว่า ถ้าจะให้มีพนักงานและลูกจ้างเพียงพอต่อการทำงาน ก็ต้องมีพนักงานและลูกจ้างอย่างน้อย 16,000 คน จากปัจจุบันที่มีอยู่ประมาณ 8,000 คน แต่ช่วงก่อนที่รถไฟทางคู่จะเสร็จ ก็ควรมีพนักงานและลูกจ้างเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 4,000-5,000 คนเพื่อทำหน้าที่ปฏิบัติการด้านขับรถ ช่างฝีมือ ช่างซ่อมบำรุง นายสถานี ซึ่งตอนนี้มีไม่พอ ขบวนรถที่มี 500 ขบวน แต่จำนวนพนักงานลดลงเกือบครึ่ง ปัจจุบันพนักงานต้องทำงานล่วงเวลา ทำงานวันหยุด ทำให้สุขภาพถดถอย จะเกิดวิกฤติด้านความปลอดภัยได้ ส่วนรถจักรมีความต้องการที่ใช้งาน 113 คัน ส่วนรถโดยสารก็เสนอครม.ไปแแล้ว 184 คัน ส่วนรถดีเซลรางปรับอากาศที่ให้บริการในระยะทางไม่เกิน 300 กม.ก็เสนอเข้ากระทรวงคมนาคมไปแล้ว แต่สภาพัฒน์ยังห่วงกรณีการสร้างหนี้สาธารณะอยู่ และการปรับปรุงโครงสร้างภายในก็ควรปรับปรุงให้คล่องตัวมากขึ้น” นายสราวุธกล่าว
สราวุธ สราญวงศ์ ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย (สร.รฟท.)
@ต้นทุนค่าโดยสาร-ภาระซ่อมสร้าง ทำรฟท.ขาดทุนจมลงไปเรื่อยๆ
ถัดมานายสาวิทย์ แก้วหวาน ที่ปรึกษาสหภาพรถไฟฯ กล่าวว่า เรื่องที่ต้องขอความเป็นธรรมคือ งบประมาณเพราะหนี้สินสะสม 300,000 ล้านบาท ที่เป็นหนี้นั้น เพราะวัตถุประสงค์ในการิเริ่มคือไม่แสวงหาผลกำไร ตั้เพื่อให้บริการประชาชน ดังนั้น จึงต้องให้บริการประชาชนเสมอมา ค่าโดยสารจึงต่ำมาโดยตลอด และมากกว่า 92% ที่ใช้งานคือพี่น้องคนยากจน โดยปัจจุบันค่าโดยสารรถไฟจากบางเขน - หัวลำโพงอยู่ที่ 3 บาทมาตั้งแต่ปี 2528 ถามจริงๆว่า รฟท.จะเอากำไรมาจากไหน? พูดแบบนี้ไม่ได้หมายความว่า จะเสนอขึ้นราคา สหภาพฯไม่เคยเสนอให้ปรับขึ้นค่าโดยสาร แต่เมื่อรฟท.ดำเนินการในสภาวะที่ต่ำกว่าต้นทุนจริงตลอด รัฐบาลสามารถชดเชยรายได้ให้บ้างได้ไหม? เพราะในพ.ร.บ.การรถไฟแห่งประเทศไทย 2494 มาตรา 43 กำหนดให้รัฐบาลชดเชยให้เท่าจำนวนที่ขาด แต่ที่ผ่านมาชดเชยช้า ชดเชยไม่เต็มตลอด รฟท.จึงต้องไปกู้มา ดอกเบี้ยก็ต้องรับผิดชอบ ปีๆหนึ่งภาระดอกเบี้ยประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาท แต่ที่เสนอนนี้ไม่ได้ต้องการให้ รฟท.กำไร เพียงแต่รัฐต้องมีเครื่องมือในการให้บริการประชาชนที่ดีขึ้นด้วย
ด้านนายวีริศกล่าวเสริมว่า อีกประเด็นที่ทำให้ รฟท. ขาดทุนคือ รฟท.ต้องรับภาระค่าซ่อมบำรุง ค่าคนเอง สมมติสร้างรถไฟทางคู่ผ่าน 54 จังหวัด ระยะทางรวม 4,700 กม. รฟท.ต้องซ่อมเอง ใช้เงินตัวเองทุกปี ถามว่า รฟท.จะเอาเงินจากไหนมาทำ ทั้งๆที่ขาดทุนทุกปี ก็ต้องกู้ถมเติมเข้าไปทุกปีๆ ส่วนจะของบประมาณกระทรวงคมนาคมได้หรือไม่นั้น คิดว่าควรมีการแยกว่ารัฐวิสาหกิจที่แสวงหาผลกำไร กับรัฐวิสาหกิจที่ทำโครงสร้างพื้นฐานเพื่อประชาชน ไม่ควรถูกชี้วัดด้วยหลักเกณฑ์และถูกจัดกลุ่มเดียวกัน
“ถ้าท่านบอกให้รถไฟทั้งก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน แถมบริหารให้ได้กำไรด้วย ก็ดูไม่แฟร์กับรฟท.เท่าไหร่” ผู้ว่าฯรฟท.กล่าว
@SRTA บริหารที่ดินพาณิชย์ล้วนๆ ตั้ง KPI รายได้ 5,000 ล้านปีนี้
ขณะที่บทบาทของบริษัทบริหารทรัพย์สินอย่าง ‘บจ.เอสอาร์ที แอสเสท (SRTA)’ นายวีริศสะท้อนว่า ปัญหาสำคัญปัจจุบันคือ การถ่ายทอดโอนงานระหว่างรฟท.กับ SRTA ยังทำได้ไม่เต็มที่ แต่เมื่อนโยบายชัดเจน ก้เริ่มมีการลงนามสัญญาถ่ายทอดกันแล้ว และกำลังร่างสัญญาจ้าง SRTA บริหารอยู่ ซึ่งปัจจุบันตกลงกันได้แล้ว เพื่อส่งมอบสัญญาเช่าให้ 12,000 สัญญา
ด้านนายสุรพงษ์กล่าวเสริมว่า เมื่อเข้ามาเป็นรัฐมนตรีเมื่อปี 2566 มีสัญญาที่ SRTA บริหารเพียง 1 สัญญา ต้องเข้าใจว่า SRTA จะบริหารที่ดินประเภท Non-Core (ที่ดินไม่ได้ใช้เพื่อการเดินรถไฟ) เป็นหลัก ที่ผ่านมาทั้ง 2 องค์กรมีปัญหาเรื่องการโฟกัสงาน แต่วันนี้ด้วยความเข้าใจ กฎหมาย และวัฒนธรรมองค์กรทำให้มันล่าช้ามาปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม เร็วๆนี้จะมีการตกลงกันถึงประเด็นข้อตกลงระหว่างสององค์กร น่าจะราบรื่นและนับหนึ่งกันได้ โดยได้ตั้งตัวชี้วัดไว้แล้วว่า ปีนี้ SRTA ต้องมีรายได้ 5,000 ล้านบาทขึ้นไป และใน 3 ปี ต้องไม่มีที่ว่างเปล่าไม่ใช้ประโยชน์
แม้ความตั้งใจ ‘ปฏิรูป’ ไม่ ‘แปรรูป’ แต่การปฏิรูปองค์กรนี้ ไม่ใช่งานง่าย เพราะขนาดรัฐบาลท็อบบู๊ตที่ครองอำนาจมา 9 ปี ยังทำไม่สำเร็จ
จึงเป็นโอกาสในมือรัฐบาลชุดนี้ ที่แม้จะยังไม่แน่นอนว่ารัฐบาลจะอยู่หรือไป
แต่หากสามารถปักหมุดนับหนึ่งได้เมื่อไหร่?
ความฝันที่จะเห็นรถไฟไทย พัฒนาทัดเทียม ประเทศอื่นคงไม่ไกลเกินฝัน

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา