
“…การที่ น.ส. ฐ. จะใช้คำวินิจฉัยยุติเรื่อง เป็นหลักฐานในการยืนยันความบริสุทธิ์ของตน มิได้ก่อให้เกิดความเดือดร้อนเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดีแต่อย่างใด ส่วนการที่ น.ส. ฐ. อาจดำเนินคดีกับผู้ฟ้องคดี (นาย ย.) ในข้อหาหมิ่นประมาททำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหาย นั้น หากผู้ฟ้องคดีถูกดำเนินคดีดังกล่าวจริง ก็เกิดจากการกระทำของ น.ส. ฐ. มิใช่เกิดจากการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดี (ผู้ตรวจการแผ่นดิน)…”
........................................
เมื่อเร็วๆนี้ ศาลปกครองสูงสุด ได้มีคำสั่งในคดีที่ ‘ประชาชน’ รายหนึ่ง (ผู้ฟ้องคดี) ยื่นฟ้อง ‘ผู้ตรวจการแผ่นดิน’ กรณีผู้ตรวจการแผ่นดินมีคำสั่ง ‘ยุติเรื่องร้องเรียน’ ของประชาชนดังกล่าว ซึ่งอาจเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มาตรา 53 ที่บัญญัติว่า “รัฐต้องดูแลให้มีการปฏิบัติตามและบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด”
อีกทั้งคำสั่งยุติเรื่องร้องเรียนของผู้ตรวจการแผ่นดินดังกล่าว ยังเป็นการเลือกปฏิบัติที่กระทบต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง จึงขอให้ศาลฯเพิกถอนคำสั่งของผู้ตรวจการแผ่นดินที่ยุติเรื่องร้องเรียนของประชาชนรายนี้
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงขอนำเสนอ ‘คำวินิจฉัย’ ของศาลปกครองสูงสุดในคดีดังกล่าว (คำร้องที่ 1144/2567 คำสั่งที่ 527/2568) มีรายละเอียดที่น่าสนใจ ดังนี้
@ยื่นฟ้อง‘ผู้ตรวจการแผ่นดิน’ปมยุติเรื่องร้องเรียน
คดีนี้ผู้ฟ้องคดี (นาย ย.) ฟ้องและเพิ่มเติมฟ้องว่า ผู้ฟ้องคดี เป็นราษฎรในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านแพ อำเภอคูเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งอยู่ในพื้นที่รับผิดชอบการจ่ายน้ำประปาของระบบประปาหมู่บ้าน หมู่ที่ 5 ตำบลบ้านแพ อำเภอคูเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย จากการที่องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านแพ ไม่จัดตั้งคณะกรรมการบริหารกิจการและบำรุงรักษาระบบประปาหมู่บ้านและบริหารเงินของกิจการประปา ไม่เป็นไปตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการบริหารกิจการและการบำรุงรักษาระบบประปาหมู่บ้าน พ.ศ.2548
และจากการที่ น.ส. ฐ. ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านแพ ให้ข้อมูลแก่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดบุรีรัมย์ เกี่ยวกับการบริหารกิจการประปาขององค์การบริหารส่วนตำบลบ้านแพ ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง
ผู้ฟ้องคดี จึงได้ยื่นร้องเรียนต่อผู้ถูกฟ้องคดี (ผู้ตรวจการแผ่นดิน) โดยผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ตเมื่อวันที่ 4 ก.พ.2565 และได้มีหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงเพิ่มเติมอีกหลายครั้ง ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีได้รับเรื่องร้องเรียนของผู้ฟ้องคดี (นาย ย.) ไว้พิจารณาแล้ว
ต่อมา ผู้ถูกฟ้องคดี (ผู้ตรวจการแผ่นดิน) ได้มีหนังสือด่วนที่สุด ที่ ผ 0991/476 ลงวันที่ 5 เม.ย.2567 แจ้งคำวินิจฉัยของผู้ถูกฟ้องคดี ตามเรื่องร้องเรียนเลขดำที่ 280/2565 เรื่องร้องเรียนเลขแดงที่ 686/2567 ว่า
กรณีองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านแพ ไม่จัดตั้งคณะกรรมการบริหารกิจการและบำรุงรักษาระบบประปาหมู่บ้าน และบริหารเงินของกิจการประปา ไม่เป็นไปตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการบริหารกิจการและการบำรุงรักษาระบบประปาหมู่บ้าน พ.ศ.2548 นั้น
ปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการแสวงหาข้อเท็จจริง โดยจังหวัดบุรีรัมย์ ได้แจ้งให้สำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัดบุรีรัมย์ พิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริงและพิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่แล้ว
ดังนั้น กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องที่องค์กรอิสระอื่น รับไว้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่แล้ว ตามมาตรา 27 (4) แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ.2560
ส่วนกรณีที่ น.ส. ฐ. ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านแพ ให้ข้อมูลแก่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดบุรีรัมย์เกี่ยวกับการบริหารกิจการประปาขององค์การบริหารส่วนตำบลบ้านแพ ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง นั้น ข้อเท็จจริง ยังไม่อาจรับฟังได้ว่า น.ส. ฐ. ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านแพ ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือปฏิบัตินอกเหนือหน้าที่และอำนาจตามกฎหมายที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมแก่ผู้ร้องเรียน
ดังนั้น ปัญหาตามคำร้องเรียนในเรื่องนี้ จึงเป็นเรื่องที่มิได้เป็นไปตามมาตรา 22 (2) ของประกาศผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ.2562 ที่กำหนดเรื่องที่ผู้ตรวจการแผ่นดิน ไม่รับไว้พิจารณาตามมาตรา 37 (4) แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ.2560
ผู้ถูกฟ้องคดี (ผู้ตรวจการแผ่นดิน) จึงมีคำวินิจฉัยให้ยุติเรื่องร้องเรียนของผู้ฟ้องคดี
ผู้ฟ้องคดี (นาย ย.) ไม่เห็นด้วย จึงได้มีหนังสือลงวันที่ 27 เม.ย.2567 อุทธรณ์คำวินิจฉัยและข้อเสนอแนะของผู้ถูกฟ้องคดีดังกล่าว และเห็นว่าคำวินิจฉัยและข้อเสนอแนะไม่ชอบด้วยกฎหมาย
เนื่องจากผู้ฟ้องคดี ได้ยื่นฟ้องนายกองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านแพ ในกรณีที่ไม่จัดตั้งคณะกรรมการบริหารกิจการและบำรุงรักษาระบบประปาหมู่บ้าน
และบริหารเงินของกิจการประปาไม่เป็นไปตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการบริหารกิจการและการบำรุงรักษาระบบประปาหมู่บ้าน พ.ศ.2558 ต่อศาลปกครองชั้นต้น (ศาลปกครองนครราชสีมา) เป็นคดีหมายเลขดำที่ 1/2566 ซึ่งยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองชั้นต้น
และไม่ปรากฏหลักฐานที่ชี้ชัดว่า องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านแพ ได้ปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยฉบับดังกล่าวแล้ว
คำวินิจฉัยยุติเรื่องดังกล่าวของผู้ถูกฟ้องคดี จึงเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 53 ซึ่งต้องด้วยมาตรา 5 จึงไม่อาจบังคับใช้ได้ และเป็นการเลือกปฏิบัติที่กระทบต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง จึงนำคดีมาฟ้องต่อศาลปกครองชั้นต้น
โดยขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอนคำวินิจฉัยและข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดิน เรื่องร้องเรียนเลขดำที่ 280/2565 เรื่องร้องเรียนเลขแดงที่ 686/2567 ลงวันที่ 29 มี.ค.2567
ต่อมา ศาลปกครองชั้นต้น มีคำสั่งไม่รับคำฟ้องนี้ไว้พิจารณาและให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ เนื่องจากเห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดี (ผู้ตรวจการแผ่นดิน) มีอำนาจหน้าที่เพียงเสนอแนะต่อหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดให้ขจัดความเดือดร้อนไม่เป็นธรรมเท่านั้น ไม่ได้มีอำนาจออกคำสั่งใดๆ ต่อหน่วยงานของรัฐแต่อย่างใด
และแม้ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของผู้ถูกฟ้องคดี และสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดี (ผู้ตรวจการแผ่นดิน) แจ้งผลการพิจารณาที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมายให้ผู้ฟ้องคดี (นาย ย.) ทราบภายในเวลาที่กำหนด ก็มิได้มีผลโดยตรงที่จะเป็นการแก้ไขหรือบรรเทาความเดือดร้อนหรือความเสียหายตามคำฟ้องของผู้ฟ้องคดีแต่อย่างใด
จึงถือไม่ได้ว่าการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดี (ผู้ตรวจการแผ่นดิน) ก่อให้เกิดความเดือดร้อนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดร้อน หรือเสียหายโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้แก่ผู้ฟ้องคดี ดังนั้น ผู้ฟ้องคดี (นาย ย.) จึงไม่มีสิทธิฟ้องคดีนี้ต่อศาลปกครอง ตามมาตรา 42 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542
อย่างไรก็ดี ผู้ฟ้องคดี (นาย ย.) ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น จึงยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลปกครองชั้นต้นที่ไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณาต่อศาลปกครองสูงสุด โดยขอให้ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาหรือคำสั่งกลับของศาลปกครองชั้นต้นเป็น รับคำฟ้องของผู้ฟ้องคดีไว้พิจารณา
@คดีกล่าวหา‘จนท.รัฐ’ทุจริต เป็นหน้าที่และอำนาจ‘ป.ป.ช.’
ศาลปกครองสูงสุดพิเคราะห์แล้วเห็นว่า
… คดีนี้ข้อเท็จจริงปรากฏว่า เมื่อวันที่ 4 ก.พ.2565 ผู้ฟ้องคดี (นาย ย.) ร้องเรียนต่อผู้ถูกฟ้องคดี (ผู้ตรวจการแผ่นดิน) ขอให้ตรวจสอบการกระทำขององค์การบริหารส่วนตำบลบ้านแพ กรณีที่ไม่จัดตั้งคณะกรรมการบริหารกิจการและบำรุงรักษาระบบประปาหมู่บ้าน และบริหารเงินของกิจการประปาไม่เป็นไปตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการบริหารกิจการและการบำรุงรักษาระบบประปาหมู่บ้าน พ.ศ.2558
และกรณีที่ น.ส. ฐ. ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านแพ ให้ข้อมูลแก่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดบุรีรัมย์เกี่ยวกับการบริหารกิจการประปาขององค์การบริหารส่วนตำบลบ้านแพ ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีได้รับเรื่องดังกล่าวแล้ว
ต่อมาผู้ถูกฟ้องคดี (ผู้ตรวจการแผ่นดิน) ได้มีหนังสือ ด่วนที่สุดที่ ผผ 0901/476 ลงวันที่ 5 เม.ย.2567 แจ้งให้ผู้ฟ้องคดี (นาย ย.) ทราบถึงผลการพิจารณาเรื่องร้องเรียนของผู้ถูกฟ้องคดี ตามเรื่องร้องเรียนเลขดำที่ 280/2565 เรื่องร้องเรียนเลขแดงที่ 686/2567 ว่า
กรณีองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านแพ ไม่จัดตั้งคณะกรรมการบริหารกิจการและบำรุงรักษาระบบประปาหมู่บ้าน และบริหารเงินของกิจการประปาไม่เป็นไปตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการบริหารกิจการและการบำรุงรักษาระบบประปาหมู่บ้าน พ.ศ.2548 นั้น
กรณีเรื่องร้องเรียนในประเด็นดังกล่าว เป็นการกล่าวหาว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ
จึงเป็นเรื่องที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในการไต่สวนและวินิจฉัย ตามมาตรา 234 (2) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ประกอบกับมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561
และสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดบุรีรัมย์ ได้รับเรื่องกล่าวหาร้องเรียนดังกล่าวไว้พิจารณาแล้วเช่นกัน และได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงแล้ว เห็นว่า
เป็นกรณีกล่าวหาในเรื่องที่มิใช่ความผิดร้ายแรง และมีมติส่งเรื่องดังกล่าวให้ผู้มีอำนาจบังคับบัญชา หรือผู้มีอำนาจแต่งตั้งหรือถอดถอนดำเนินการทางวินัยตามมาตรา 24 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 จึงได้ส่งเรื่องให้ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์
ปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการแสวงหาข้อเท็จจริง โดยจังหวัดบุรีรัมย์ ได้แจ้งให้สำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัดบุรีรัมย์ พิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริงและพิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่แล้ว
ดังนั้น กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องที่องค์กรอิสระอื่นรับไว้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่แล้วตามมาตรา 37 (4) แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ.2560
@ผู้ฟ้องคดี‘ศาลปค.’ต้องเป็น‘ผู้เดือดร้อน-เสียหาย’โดยตรง
ส่วนกรณีที่ น.ส. ฐ. ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านแพให้ข้อมูลแก่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดบุรีรัมย์ เกี่ยวกับการบริหารกิจการประปาขององค์การบริหารส่วนตำบลบ้านแพ ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง นั้น ข้อเท็จจริงยังไม่อาจรับฟังได้ว่า น.ส. ฐ. ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านแพ ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือปฏิบัตินอกเหนือหน้าที่และอำนาจตามกฎหมายที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมแก่ผู้ร้องเรียน
จึงเป็นกรณีที่ผู้ฟ้องคดี (นาย ย.) ประสงค์ที่จะฟ้องโต้แย้งคำวินิจฉัยของผู้ถูกฟ้องคดี (ผู้ตรวจการแผ่นดิน) ว่า ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอนคำวินิจฉัยและข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดิน เรื่องร้องเรียนเลขดำที่ 280/2565 เรื่องร้องเรียนเลขแดงที่ 686/2567 ลงวันที่ 29 มี.ค.2567
จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (1) แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542
แต่อย่างไรก็ตาม การที่ผู้ฟ้องคดี (นาย ย.) จะฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีต่อศาลปกครองได้นั้น ผู้ฟ้องคดีต้องเป็นผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายหรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้จากการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีด้วย
สำหรับในคดีนี้ เมื่อมาตรา 32 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ.2560 บัญญัติให้ ผู้ถูกฟ้องคดี (ผู้ตรวจการแผ่นดิน) มีอำนาจพิจารณาข้อร้องเรียน แล้วส่งความเห็นและข้อเสนอแนะให้หน่วยงานพิจารณาเท่านั้น โดยไม่ได้มีอำนาจสั่งให้หน่วยงานปฏิบัติแต่อย่างใด
นอกจากนั้น ข้อเท็จจริงตามคำฟ้อง ก็ไม่ปรากฏว่าผู้ฟ้องคดี (นาย ย.) ได้รับความเดือดร้อนและเสียหายอย่างไรจากกรณีที่ร้องเรียนว่าองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านแพไม่จัดตั้งคณะกรรมการบริหารกิจการและบำรุงรักษาระบบประปาหมู่บ้านไม่เป็นไปตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการบริหารกิจการและการบำรุงรักษาระบบประปาหมู่บ้าน พ.ศ.2548
และกรณีที่ร้องเรียนว่า น.ส. ฐ. ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านแพให้ข้อมูลแก่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดบุรีรัมย์ เกี่ยวกับการบริหารกิจการประปาขององค์การบริหารส่วนตำบลบ้านแพ ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง
ดังนั้น การที่ผู้ถูกฟ้องคดี (ผู้ตรวจการแผ่นดิน) ได้มีหนังสือสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ด่วนที่สุด ที่ ผ 0901/476 ลงวันที่ 5 เม.ย.2567 แจ้งให้ผู้ฟ้องคดีทราบถึงผลการพิจารณาเรื่องร้องเรียนของผู้ถูกฟ้องคดี ตามเรื่องร้องเรียนเลขดำที่ 280/2565 โดยให้ยุติเรื่องร้องเรียน
คำวินิจฉัยของผู้ถูกฟ้องคดีดังกล่าว จึงไม่ได้ก่อให้เกิดความเดือดร้อนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดี
อีกทั้งการที่ศาลปกครอง จะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้เพิกถอนคำวินิจฉัยและข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดิน เรื่องร้องเรียนเลขดำที่ 280/2565 เรื่องร้องเรียนเลขแดงที่ 686/2567 ลงวันที่ 29 มี.ค.2567 ก็มิได้เป็นการแก้ไขหรือบรรเทาความเดือดร้อนหรือความเสียหายตามคำฟ้องของผู้ฟ้องคดีแต่อย่างใด
ผู้ฟ้องคดี (นาย ย.) จึงมิใช่ผู้มีสิทธิฟ้องคดีนี้ต่อศาลปกครองตามมาตรา 42 วรรคหนึ่งแห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542
ส่วนกรณีที่ผู้ฟ้องคดี (นาย ย.) อุทธรณ์ว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดี (ผู้ตรวจการแผ่นดิน) ยุติเรื่องที่ผู้ฟ้องคดีร้องเรียน อาจทำให้ น.ส. ฐ. ใช้เป็นหลักฐานในการยืนยันความบริสุทธิ์ของตน และดำเนินคดีกับผู้ฟ้องคดีในข้อหาหมิ่นประมาททำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหาย และการให้ น.ส. ฐ. ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป เสมือนไม่มีการร้องเรียน ย่อมแสดงให้เห็นถึงความบกพร่องในการบังคับใช้กฎหมายของหน่วยงานของรัฐ ส่งผลให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหายต่อสิทธิและเสรีภาพ นั้น
เห็นว่า การที่ น.ส. ฐ. จะใช้คำวินิจฉัยยุติเรื่อง เป็นหลักฐานในการยืนยันความบริสุทธิ์ของตน มิได้ก่อให้เกิดความเดือดร้อนเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดีแต่อย่างใด ส่วนการที่ น.ส. ฐ. อาจดำเนินคดีกับผู้ฟ้องคดี (นาย ย.) ในข้อหาหมิ่นประมาททำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหายนั้น หากผู้ฟ้องคดีถูกดำเนินคดีดังกล่าวจริง ก็เกิดจากการกระทำของ น.ส. ฐ. มิใช่เกิดจากการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดี (ผู้ตรวจการแผ่นดิน)
รวมทั้งการที่ น.ส. ฐ. ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป ก็มิได้ส่งผลให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเดือดร้อนเสียหาย จากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีวินิจฉัยให้ยุติเรื่องร้องเรียนของผู้ฟ้องคดีแต่อย่างใด อุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีฟังไม่ขึ้น การที่ศาลปกครองชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องนี้ไว้พิจารณาและให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ นั้น ศาลปกครองสูงสุดเห็นพ้องด้วย
จึงมีคำสั่งยืนตามคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น
เหล่านี้เป็นคำวินิจฉัยของ ‘ศาลปกครองสูงสุด’ ในคดีที่ประชาชนยื่นฟ้อง ‘ผู้ตรวจการแผ่นดิน’ กรณีมีคำสั่ง ‘ยุติเรื่องร้องเรียน’ ของประชาชนรายนี้ ก่อนที่ ศาลปกครองสูงสุด มีคำสั่งยืนตามคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น ไม่รับคำฟ้องนี้ไว้พิจารณา และให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ!

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา