
“…ดังนั้น จึงควรใช้การตัดสินใจเชิงนโยบายโดยให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจ ผ่านการทำประชามติ โดยตั้งคำถามให้เป็นกลาง หลีกเลี่ยงคำถามเชิงชี้นำ และมีการให้ข้อมูลทั้งสองด้านอย่างรอบด้าน ผ่านสื่อที่เข้าถึงง่ายและเปิดพื้นที่ให้ทุกฝ่ายรณรงค์อย่างเท่าเทียม ซึ่งแนวคำถามที่ควรใช้เป็นคำถาม ประชามติ คือ “ท่านเห็นด้วยหรือไม่กับการที่รัฐบาลจะอนุญาตให้มีการเปิดกาสิโนในประเทศไทย”…”
หมายเหตุ : สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงแบบครบวงจร (Entertainment Complex) วุฒิสภา ที่มีนพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย เป็นประธาน ได้สรุปรายงานข้อสังเกตและความเห็นเบื้องต้นเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. เสนอต่อวุฒิสภาเพื่อพิจารณาตามอำนาจหน้าที่ ในการประชุมวุฒิสภา ในวันที่ 7 กรกฎาคม 2568
สำนักข่าวอิศราได้นำเสนอเนื้อหารายละเอียดในรายงานของ คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงแบบครบวงจร (Entertainment Complex) วุฒิสภา ซึ่งประกอบด้วย ข้อสังเกต ความเห็น และข้อห่วงใยเบื้องต้นเกี่ยวกับร่างพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. .... ด้านกฎหมาย และด้านเศรษฐกิจ ไปก่อนหน้านี้ จากทั้งหมด 3 ด้าน ครั้งนี้จะเป็นด้านสุดท้าย คือ ด้านสังคมและด้านอื่นๆ
อ่านข่าวประกอบ :
- เปิดรายงานข้อสังเกต-ความเห็นเบื้องต้น กมธ. เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ วุฒิสภา (2)
- เปิดรายงานข้อสังเกต-ความเห็นเบื้องต้น กมธ. เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ วุฒิสภา (1)
@ 9 เช็กลิสต์พฤติกรรม ‘ติดพนัน’
ด้านสังคม และด้านอื่นๆ
1.การพนันเป็นโรคชนิดหนึ่ง เรียกว่า “โรคติดการพนัน” (Gambling Disorder)
การพนันเป็นกิจกรรมที่มีอยู่ในสังคมมนุษย์มาอย่างยาวนาน หลายประเทศอาจถือเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างหนึ่ง แต่การพนันที่เกินขอบเขตสามารถนำไปสู่พฤติกรรมที่ผิดปกติ และส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อบุคคล ครอบครัว และสังคม โดยเฉพาะเมื่อบุคคลไม่สามารถควบคุม ตนเองได้ น าไปสู่ภาวะที่เรียกว่า “โรคติดการพนัน” (Gambling Disorder) ซึ่งเป็นโรคทางจิตเวชที่ได้รับ การยอมรับในคู่มือการวินิจฉัยและสถิติส าหรับความผิดปกติทางจิต (DSM-5) ของสมาคมจิตแพทย์อเมริกัน
โดยโรคติดการพนัน (Gambling Disorder) จะเป็นภาวะที่บุคคลมีความอยากเล่นการพนัน อย่างรุนแรง ควบคุมตนเองไม่ได้ ยังคงจะต้องเล่นให้ได้แม้จะเกิดผลเสียต่อชีวิตส่วนตัว การงาน ความสัมพันธ์ หรือสถานะทางการเงิน และไม่สามารถเลิกได้ด้วยตนเอง
พฤติกรรมของบุคคลที่วินิจฉัยได้ว่าเป็นโรคติดการพนัน จะมีลักษณะตรงตามเกณฑ์ อย่างน้อย 4 ข้อจาก 9 ข้อ ได้แก่
(1) ต้องเล่นพนันด้วยเงินจำนวนมากขึ้นเพื่อให้ได้ความตื่นเต้นเท่าเดิม
(2) กระสับกระส่ายหรือหงุดหงิดเมื่อลดหรือเลิกเล่น
(3) พยายามควบคุมหรือลดการพนันแต่ไม่สำเร็จ
(4) คิดถึงการพนันตลอดเวลา
(5) เล่นพนันเพื่อหนีปัญหา ความทุกข์ หรือความเครียด
(6) เล่นเพื่อหวังจะได้เงินที่เสียไปกลับคืน
(7) โกหกเพื่อปกปิดการเล่นพนัน
(8) เสี่ยงต่อการเสียความสัมพันธ์ การงาน หรือโอกาสในชีวิต
(9) ต้องพึ่งพาผู้อื่นเพื่อชำระหนี้จากการพนัน
สถานการณ์ของประเทศไทยในปัจจุบัน แม้ว่าการพนันส่วนใหญ่ยังคงถูกระบุว่า เป็นกิจกรรมที่ผิดกฎหมายตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 แต่ในข้อเท็จจริงกลับพบว่า การพนันในรูปแบบต่าง ๆ ยังคงแพร่หลายอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะการพนันที่ผิดกฎหมาย อาทิ การเล่นพนันในบ่อน หวยใต้ดิน และการพนันออนไลน์ ซึ่งสามารถเข้าถึงได้ง่ายและไม่ถูกควบคุม อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนและคนวัยทำงาน ตกอยู่ในความเสี่ยงต่อการพัฒนาไปสู่ภาวะโรคติดการพนัน และแม้ว่าภาครัฐและภาคประชาสังคม จะได้ดำเนินมาตรการป้องกันและแก้ไขอย่างต่อเนื่อง ทั้งในรูปแบบการรณรงค์ให้ความรู้ การจัดตั้งสายด่วนให้คำปรึกษา ตลอดจนการใช้มาตรการทางกฎหมายเพื่อปราบปรามแหล่งการพนันที่ผิดกฎหมาย แต่สถานการณ์โดยรวมยังไม่แสดงแนวโน้มของการลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
@ หนี้สินเรื้อรัง-หย่าร้าง-ว่างงานสูงขึ้น
2.การติดการพนันมีผลกระทบอย่างรุนแรงทั้งในระดับบุคคล ครอบครัวและสังคม
ผู้ที่ติดการพนันมักประสบภาวะหนี้สินเรื้อรัง สูญเสียรายได้ และไม่มีความสามารถในการประกอบอาชีพอย่างต่อเนื่อง อันเนื่องมาจากการใช้เวลาและทรัพยากรจำนวนมากไปกับกิจกรรมการพนัน ส่งผลให้สูญเสียโอกาสในการพัฒนาตนเองทางเศรษฐกิจและวิชาชีพ และมักจะประสบปัญหา สุขภาพจิต เช่น ความเครียด ภาวะซึมเศร้า และความรู้สึกสิ้นหวัง เป็นต้น กรณีเมื่อมีอาการป่วยก็จำเป็นที่จะต้องได้รับการดูแลรักษาทางการแพทย์และจิตเวช ส่งผลให้ภาครัฐต้องสูญเสียงบประมาณจำนวนมากในการให้บริการสาธารณสุขและการบำบัดรักษา อีกทั้ง ยังมีความเสี่ยงต่อการสูญเสียบทบาทในครอบครัว เช่น การหย่าร้าง ความรุนแรงในครอบครัว และการทอดทิ้งบุตร ส่งผลกระทบต่อเนื่องเป็นวงจรทางสังคมอย่างกว้างขวาง
งานวิจัยในต่างประเทศยังได้ชี้ว่า ผู้ติดการพนันมีแนวโน้มที่จะมีอัตราการว่างงานสูงขึ้น มีรายได้เฉลี่ยต่ำลงและมีความเสี่ยงในการเข้าไปเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมเพื่อหาเงินมาใช้หนี้ หรือเข้าเล่นการพนันต่อ ขณะที่ในประเทศไทยมูลนิธิรณรงค์หยุดพนันได้ระบุว่า ผู้ติดการพนันจำนวนมากไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ และมักต้องพึ่งพาครอบครัว หรือกู้ยืมจากแหล่งเงินนอกระบบ ส่งผลให้ครอบครัวต้องแบกรับภาระทางการเงินซ้ำซ้อน
3.กาสิโนเป็นแหล่งบ่มเพาะปัญหาอาชญากรรมที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น
กาสิโนเป็นพื้นที่ที่มีความอ่อนไหวต่อการก่ออาชญากรรมและกิจกรรมผิดกฎหมาย โดยเฉพาะในบริบทของประเทศที่ระบบการควบคุม หรือบังคับใช้กฎหมายยังไม่เข้มแข็งเพียงพอ กาสิโนจึงอาจกลายเป็นแหล่งบ่มเพาะของอาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ ที่มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น เสี่ยงต่อการเข้าถึงของประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางทำให้เกิดพฤติกรรมเบี่ยงเบน เกิดทัศนคติที่เห็นผิดเป็นชอบ เห็นการพนันเป็นเรื่องปกติถูกกฎหมายไม่ผิดศีลธรรม และเข้าสู่วงจรเสพติดการพนัน ก่อให้เกิดปัญหาการลักทรัพย์ วิ่งราว ปล้น การใช้ความรุนแรง ตลอดจนการก่อหนี้นอกระบบซึ่งล้วนเป็นปัญหา ที่ส่งผลโดยตรงต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน คือ บางประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งกาสิโนมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มอิทธิพลท้องถิ่นและองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ทั้งในรูปแบบอาชญากรรมทรัพย์สิน (property crime) และอาชญากรรมต่อชีวิตและร่างกาย (violent crime) โดยเฉพาะในเขตเมืองที่มีประชากรแออัดและขาดกลไกควบคุมที่มีประสิทธิภาพ
ประเด็นที่เป็นข้อกังวลสำคัญ คือ อาชญากรรมที่สัมพันธ์โดยตรงกับกิจกรรมในกาสิโน หรือ การฟอกเงิน (Money Laundering) ซึ่งเป็นช่องทางสำหรับอาชญากรในการแปรสภาพทรัพย์สินจากกิจกรรมผิดกฎหมายให้กลายเป็นเงิน ที่ถูกกฎหมาย
@ เอื้อประโยชน์กลุ่มทุน-ขยายวงจรอาชญากรรม
แม้ในเรื่องนี้รัฐบาลจะอ้างว่า ปัจจุบันได้มีมาตรการในการป้องกันการฟอกเงินที่พัฒนาไปไกล เช่น การที่ต้องระบุที่มาของแหล่งรายได้ตั้งแต่ก่อนแลกชิป หรือ การใช้เทคโนโลยี Radio Frequency Identification หรือ RFID ในการระบุและติดตามผู้เล่นและติดตามเส้นทางของชิปเพื่อพิสูจน์ทราบว่า ชิปที่แลกกลับเป็นเงินออกไปนั้นได้ผ่านกระบวนการเล่นได้เสียมาจริง และยังมีการใช้กล้อง CCTV ครอบคลุมเพื่อตรวจสอบการเล่นในทุกตารางนิ้วด้วย
อีกทั้งผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการในลักษณะนี้มักเป็นบริษัทขนาดใหญ่ในระดับโลก ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกาหรือยุโรป และผู้ลงทุนเหล่านี้ก็มักจะมาพร้อมกับมาตรฐานความปลอดภัยในระดับโลก จำเป็นต้องปฏิบัติตามหลักธรรมาภิบาล (Good Governance) อย่างเคร่งครัด จึงเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยสะท้อนและรับรอง ความน่าเชื่อถือได้อย่างเป็นระบบ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในประเทศที่ออกกฎหมายควบคุมกาสิโนอย่างเป็นระบบและโปร่งใส เช่น สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร แคนาดา สิงคโปร์ และมาเก๊า ก็ยังพบการฆาตกรรมที่เกี่ยวข้องกับกาสิโนถูกกฎหมาย โดยส่วนใหญ่เป็นกรณีการปล้นทรัพย์ ชิงทรัพย์ ทั้งนักพนันที่ได้รับรางวัลแล้วถูกสังหาร หรือนักพนันที่ไปสังหารผู้อื่นเพื่อนำเงินไปเล่นในกาสิโน และมีการใช้ช่องโหว่ในเชิงนโยบายและการบังคับใช้กฎหมายในการก่อเหตุ ซึ่งต้องอาศัยกลไกกำกับดูแลที่เป็นอิสระมีความเข้มแข็ง ควบคู่กับความร่วมมือระหว่างประเทศในการเฝ้าระวัง และการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวกรองเกี่ยวกับอาชญากรรมข้ามชาติ
หากแต่ในบริบทของประเทศไทย ถึงแม้ว่าจะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลด้านอาชญากรรม เศรษฐกิจและสังคมหลายแห่ง เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) และกรมสรรพสามิต แต่ก็ยังมีคำถามเรื่องศักยภาพ ความโปร่งใส และประสิทธิภาพของการทำงานร่วมกันในการควบคุมกิจกรรมการพนัน โดยเฉพาะเมื่อเผชิญกับอิทธิพลทางการเมืองและผลประโยชน์ทับซ้อน
อีกทั้ง ต้นทุนความเชื่อมั่นจากสังคมที่ไม่ค่อยให้ความไว้วางใจ ซึ่งเห็นได้จากผลสำรวจจากหน่วยงานอิสระและงานวิจัยจากสถาบันวิชาการหลายแห่งพบว่า ประชาชนจำนวนมากยังไม่เชื่อมั่นว่ารัฐไทยสามารถควบคุมการพนันได้อย่างโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ โดยเกรงว่าอาจนำไปสู่การทุจริต การเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนและขยายวงจรอาชญากรรม
ทั้งนี้ เป็นเพราะภาพสะท้อนความล้มเหลวของกลไกที่มีอยู่เดิม ตัวอย่างเช่น การควบคุมหวยใต้ดิน การพนันออนไลน์ และบ่อนผิดกฎหมายในอดีต ซึ่งเป็นภาพสะท้อนความล้มเหลวของกลไกควบคุมที่มีอยู่ได้อย่างชัดเจน ด้วยเหตุนี้ การพิจารณาให้มีการเปิดกาสิโนในประเทศไทยจึงต้องตั้งอยู่บนฐานข้อมูลครบถ้วนรอบด้าน ไม่เพียงพิจารณาในเชิงเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ต้องชั่งน้ำหนักกับต้นทุนทางสังคม ว่ามีความเชื่อมั่นหรือไม่ และจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงที่อาจตามมาอย่างไร
@ กับดับความยากจนรูปแบบใหม่
4.เกิดการจ้างงานที่ไม่ส่งเสริมทักษะอาชีพ
ข้ออ้างของการนำเสนอนโยบายการจัดตั้งสถานบันเทิงแบบครบวงจร (Entertainment Complex) คือ การเสนอว่าเป็นเครื่องมือหนึ่งในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพิ่มการลงทุน และสร้างงานในระดับท้องถิ่น โดยจะมีการจ้างงานจำนวนมาก ลดอัตราการว่างงานในพื้นที่ และจะช่วยเพิ่มโอกาสในการมีงานทำสำหรับกลุ่มเปราะบาง ให้สามารถมีรายได้เพียงพอสำหรับการอุปโภคบริโภค การศึกษาและการดูแลสมาชิกในครอบครัว ส่งผลให้เกิดความมั่นคงในระดับครัวเรือน
หากแต่ผลการศึกษาพบว่า ลักษณะการจ้างงานในธุรกิจสถานบันเทิงแบบครบวงจร โดยทั่วไปมีความต้องการแรงงานจำนวนมากในตำแหน่งที่ไม่ต้องใช้ทักษะเฉพาะทาง เช่น พนักงานเสิร์ฟ พนักงานทำความสะอาด พนักงานต้อนรับ แม่บ้าน รักษาความปลอดภัย และแรงงานสนับสนุนในงาน บริการต่าง ๆ ซึ่งมีอัตราค่าจ้างเริ่มต้นต่ำ เป็นตำแหน่งที่ใช้แรงงานไร้ทักษะ (low-skilled labor) แรงงานขาดโอกาสในการเติบโตทางวิชาชีพ และที่สำคัญ คือ ลักษณะงานไม่มีความมั่นคง มีความเสี่ยงที่จะถูกเลิกจ้างจากการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมสูง การจ้างงานจึงช่วยลดอัตราการว่างงานได้เพียงในระยะสั้น ๆ แต่ไม่สามารถสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจในระยะยาวให้กับแรงงาน หรือสร้างการออม และทรัพย์สินสำหรับครัวเรือนได้อย่างแท้จริง
กรณีศึกษาของต่างประเทศ พบว่า ใน Atlantic City รัฐนิวเจอร์ซีย์ สหรัฐอเมริกา เป็นหนึ่งในเมืองต้นแบบของการพัฒนาอุตสาหกรรมกาสิโนเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจเมืองชายฝั่ง ตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๙๗๘ เป็นต้นมา มีการจ้างงานหลายหมื่นตำแหน่ง แต่ผลลัพธ์ในระยะยาวกลับสะท้อนความล้มเหลว ของการพัฒนาเชิงโครงสร้าง อันได้แก่ Atlantic City ยังคงมีอัตราความยากจนสูง โดยในปี 2017 สัดส่วนประชากรที่อยู่ในความยากจนมีอยู่ที่กว่า 38 % ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของรัฐนิวเจอร์ซีย์อย่างมาก และงานส่วนใหญ่ในกาสิโนเป็นงานบริการระดับล่าง มีรายได้ต่ำ มีอัตราการลาออกสูง แรงงานมีความเครียด ถูกกดดันจากลูกค้าถูกเอารัดเอาเปรียบโดยนายจ้างและถูกล่วงละเมิดทางเพศและยังพบว่ามีปัญหาความเหลื่อมล้ำและปัญหาอาชญากรรมที่สูงมาก แม้ว่าจะมีรายได้จากภาษีกาสิโนอย่างมหาศาล สอดคล้องกับผลการศึกษาในประเทศฟิลิปปินส์ที่มีโครงการพัฒนา Entertainment City ในกรุงมะนิลา ซึ่งเป็นเขตกาสิโนแบบครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ แม้ว่าจะมีการจ้างงานจำนวนมาก แต่ยังคงเผชิญกับปัญหาแรงงานมีรายได้ต่ำ ไม่สามารถสะสมทุนหรือยกระดับสถานะเศรษฐกิจของครัวเรือนได้อย่างยั่งยืน เกิดการกระจุกตัวของการจ้างงานในเมืองหลวง และยังซ้ำเติมปัญหาความเหลื่อมล้ำระหว่างเมืองกับชนบท
ดังนั้น ข้ออ้างของรัฐบาลที่อ้างถึงศักยภาพของโครงการในการกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างรายได้และจ้างงาน โดยที่ยังขาดรายละเอียดแบบแผนการดำเนินงานที่ชัดเจน ทั้งในด้านระบบกำกับดูแลการคุ้มครองแรงงาน การพัฒนาทักษะอาชีพ และกลไกการกระจายผลประโยชน์สู่ประชาชนในระดับฐานราก จึงอาจเป็นเพียงภาพลวงของความเจริญเติบโต (illusion of growth) และอาจเป็นกับดักความยากจนรูปแบบใหม่ (new form of poverty trap) เช่นเดียวกับบทเรียนในต่างประเทศ
5.เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศของพื้นที่
การพัฒนาสถานบันเทิงแบบครบวงจรจำเป็นต้องใช้พื้นที่ขนาดใหญ่สำหรับรองรับกิจกรรมต่าง ๆ เช่น โรงแรม ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหารและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ซึ่งการใช้พื้นที่ในลักษณะนี้จำเป็นจะต้องปรับเปลี่ยนภูมิประเทศอันจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศดั้งเดิม ทั้งในระหว่างการก่อสร้างก็อาจเกิดมลภาวะที่เป็นพิษในหลายด้านและในระหว่างการดำเนินกิจการหรือกิจกรรมภายในสถานบันเทิงก็อาจสร้างเสียงรบกวนต่อเนื่อง ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน
โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก และผู้ป่วยเรื้อรัง ซึ่งอาจได้รับผลกระทบทางสุขภาพจิต และอาจก่อให้เกิดความขัดแย้งในชุมชน และในทางกฎหมายอาจต้องทำการศึกษาผลกระทบและจัดให้มีการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) อย่างรอบด้านก่อนเริ่มโครงการ หากแต่ในร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. .... ได้กำหนดไว้ว่า
ในกรณีที่คณะกรรมการบริหารเห็นว่ากฎหมายหรือกฎใด ก่อให้เกิดความล่าช้า ซ้ำซ้อน หรือก่อให้เกิดภาระโดยไม่จำเป็นในการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร ให้คณะกรรมการบริหารเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติม หรือยกเลิก กฎหมายหรือกฎนั้นได้ อันอาจเป็นการเปิดทางให้คณะกรรมการบริหารใช้อำนาจเชิงอำนาจอัตวิสัยอนุญาตให้ไม่ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ก็ได้ ซึ่งจะเป็นการลดทอน ความสามารถในการตรวจสอบจากประชาชนและรัฐสภา
@ ‘นิด้าโพล’ ชี้ ไม่เห็นด้วย
6.ประชาชนคนไทยไม่เห็นด้วยให้มีสถานบันเทิงครบวงจรที่รวมกาสิโน
จากกระแสการถกเถียงในวงสาธารณะเกี่ยวกับนโยบายการจัดตั้งสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) ที่มีกาสิโนอยู่ด้วย ศูนย์สำรวจความคิดเห็นสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือ “นิด้าโพล” จึงได้ดำเนินการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศเพื่อประเมินทัศนคติและการยอมรับต่อแนวคิดดังกล่าว รวมถึงความเห็นต่อแนวนโยบายของภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน การกำกับดูแลและการนำรายได้กลับคืนสู่สังคม ภายใต้หัวข้อการสำรวจ เรื่อง “สถานบันเทิง ครบวงจร จะได้เกิดไหม” ซึ่งทำการสำรวจระหว่างวันที่ 16 - 18 มิถุนายน 2568 จากประชาชน ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาคระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ทั่วประเทศ รวมจำนวน ทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อเรื่องสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex)
การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความคลาดเคลื่อนไม่เกิน 0.05 ที่ระดับความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0
ผลการสำรวจเมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนต่อนโยบายการอนุญาตการลงทุนสถานบันเทิงครบวงจรที่รวมกาสิโน พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 56.72 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยทั้งสถานบันเทิงครบวงจรและกาสิโน รองลงมา ร้อยละ 24.12 ระบุว่า เห็นด้วยทั้งสถานบันเทิงครบวงจรและกาสิโน ร้อยละ 9.01 ระบุว่า อย่างไรก็ได้ ไม่มีความเห็นร้อยละ 8.78 ระบุว่า เห็นด้วยกับสถานบันเทิงครบวงจร ที่ไม่มีกาสิโน และร้อยละ 1.37 ระบุว่า เห็นด้วยกับกาสิโนเพียงอย่างเดียว
เมื่อสอบถามผู้ที่เห็นด้วยกับสถานบันเทิงครบวงจรที่ไม่มีกาสิโน และผู้ที่ไม่เห็นด้วย ทั้งสถานบันเทิงครบวงจรและกาสิโน (จำนวน 858 หน่วยตัวอย่าง) เกี่ยวกับแนวทางการลงทุนสถาน บันเทิงครบวงจรของรัฐบาล ซึ่งไม่ใช้งบประมาณของรัฐในการดำเนินการ แต่คาดว่าจะสร้างรายได้เข้า ประเทศประมาณ 12,000 – 39,000 ล้านบาทต่อปี พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 84.15 ระบุว่า ไม่เห็นด้วย ทั้งสถานบันเทิงครบวงจรและกาสิโน รองลงมา ร้อยละ 11.31 ระบุว่า เห็นด้วยกับสถานบันเทิงครบวงจร ที่ไม่มีกาสิโน ร้อยละ 3.26 ระบุว่า เห็นด้วยทั้งสถานบันเทิงครบวงจรและกาสิโน ร้อยละ 0.70 ระบุว่า เห็นด้วยกับกาสิโนเพียงอย่างเดียว และร้อยละ 0.58 ระบุว่า อย่างไรก็ได้ ไม่มีความเห็น
เมื่อสอบถามผู้ที่เห็นด้วยกับสถานบันเทิงครบวงจรที่ไม่มีกาสิโน และผู้ที่ไม่เห็นด้วย ทั้งสถานบันเทิงครบวงจรและกาสิโน (จำนวน 858 หน่วยตัวอย่าง) เกี่ยวกับมาตรการของรัฐบาลในการป้องกันการฟอกเงินและควบคุมผู้เข้าใช้บริการกาสิโน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 81.47 ระบุว่า ไม่เห็นด้วย ทั้งสถานบันเทิงครบวงจรและกาสิโน รองลงมา ร้อยละ 10.49 ระบุว่า เห็นด้วยกับสถานบันเทิงครบวงจรที่ไม่มีกาสิโน ร้อยละ 6.18 ระบุว่า เห็นด้วยทั้งสถานบันเทิงครบวงจรและกาสิโน ร้อยละ 1.04 ระบุว่า อย่างไรก็ได้ ไม่มีความเห็น และร้อยละ 0.82 ระบุว่า เห็นด้วยกับกาสิโนเพียงอย่างเดียว
เมื่อสอบถามผู้ที่เห็นด้วยกับสถานบันเทิงครบวงจรที่ไม่มีกาสิโนและผู้ที่ไม่เห็นด้วย ทั้งสถานบันเทิงครบวงจรและกาสิโน (จำนวน 858 หน่วยตัวอย่าง) เกี่ยวกับข้อกำหนดในร่างกฎหมายที่ระบุให้นำรายได้จากสถานบันเทิงครบวงจร ไปใช้เพื่อสนับสนุนทุนการศึกษา การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 78.21 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยทั้งสถานบันเทิงครบวงจรและกาสิโน รองลงมา ร้อยละ 14.10 ระบุว่า เห็นด้วยกับสถานบันเทิงครบวงจรที่ไม่มีกาสิโน ร้อยละ 6.53 ระบุว่า เห็นด้วยทั้งสถานบันเทิงครบวงจรและกาสิโนและร้อยละ 0.58 ระบุว่า เห็นด้วยกับกาสิโนเพียงอย่างเดียว และอย่างไรก็ได้ ไม่มีความเห็น ในสัดส่วนที่เท่ากัน
สำหรับความคิดเห็นของประชาชนต่อการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสถานบันเทิง ครบวงจร พ.ศ. .... ซึ่งอยู่ในวาระแรกของการเปิดประชุมสภาในต้นเดือนกรกฎาคมนี้ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 37.10 ระบุว่า สภาจะพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว แต่จะลงมติไม่ผ่านร่างในวาระที่หนึ่ง รองลงมา ร้อยละ 27.48 ระบุว่า จะมีการเลื่อนการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวออกไป ร้อยละ 19.85 ระบุว่า สภาจะพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวและลงมติ ผ่านร่างในวาระที่หนึ่ง ร้อยละ 8.17 ระบุว่า ไม่ตอบ และร้อยละ 7.40 ระบุว่า จะมีการยุบสภาก่อนการพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ท้ายที่สุด เมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนต่อแนวคิดการจัดทำประชามติ เรื่องสถานบันเทิงครบวงจรที่มีกาสิโน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 61.60 ระบุว่า เห็นด้วยกับการทำประชามติ รองลงมา ร้อยละ 30.08 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยกับการทeประชามติ ร้อยละ 7.94 ระบุว่า อย่างไรก็ได้ ไม่มีความเห็น และร้อยละ 0.38 ระบุว่า ไม่ตอบ
จากผลการสำรวจดังกล่าวข้างต้น สะท้อนให้เห็นว่า ประชาชนส่วนใหญ่ยังมีความกังวล และไม่เห็นด้วยกับแนวคิดสถานบันเทิงครบวงจรที่รวมกาสิโน แม้แต่ในกรณีที่โครงการดังกล่าวจะไม่ใช้งบประมาณของรัฐ หรือมีมาตรการกำกับดูแลที่เข้มงวดก็ตาม ทั้งนี้ ความไม่ไว้วางใจของประชาชน ต่อปัญหาสังคมที่อาจเกิดขึ้น เช่น การพนัน ฟอกเงิน และผลกระทบต่อกลุ่มเปราะบาง ยังคงเป็น อุปสรรคสำคัญต่อการผลักดันนโยบายนี้
สอดคล้องกับผลการสำรวจในประเด็น “เอาไหม คาสิโนในประเทศไทย” ของคณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ที่ได้เผยแพร่ ผลการสำรวจไปก่อนหน้า โดยสรุปว่า ประเด็นกาสิโนเป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนและต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน ถึงผลดีและผลเสียที่อาจเกิดขึ้น ทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคม การตัดสินใจว่าจะอนุญาต ให้มีการเปิดกาสิโนอย่างถูกกฎหมายหรือไม่นั้น จำเป็นต้องมีการศึกษาอย่างละเอียด มีการรับฟัง ความคิดเห็นจาก ทุกภาคส่วน และต้องมีมาตรการที่รัดกุมเพื่อป้องกันผลกระทบด้านลบที่อาจตามมา
อย่างไรก็ตาม กลุ่มประชาชนส่วนใหญ่ (มากกว่าร้อยละ 60) สนับสนุนให้มีการทำประชามติ เพื่อเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจระดับชาติ ซึ่งอาจเป็นทางออกหนึ่งในการสร้างฉันทามติของสังคมต่อประเด็นที่มีความขัดแย้งสูงเช่นนี้ได้ต่อไป
@ ทำประชามติ รับฟังความเห็นประชาชน
7.ควรทำประชาพิจารณ์และถามประชามติเพื่อให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจจะอนุญาตให้มีการเปิดกาสิโนในประเทศไทยหรือไม่
จากกรณีผลสำรวจของ “นิด้าโพล” พบว่า ประชาชน ร้อยละ 61.60 เห็นด้วยกับแนวคิดการทำประชามติในประเด็นสถานบันเทิงครบวงจรที่มีกาสิโน แสดงให้เห็นว่าเรื่องนี้ เป็นประเด็นสาธารณะที่มีความขัดแย้งสูง (contentious issue) และอาจส่งผลกระทบต่อค่านิยม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และโครงสร้างสังคมไทยในระยะยาว
ดังนั้น การจัดให้มีประชามติระดับชาติอาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมในการสร้างความชอบธรรมทางประชาธิปไตยให้กับนโยบายนี้ หากแต่ในกระบวนการตัดสินใจเชิงนโยบายที่มีผลกระทบกว้างขวางต่อสังคม เช่น กรณีการจัดตั้งสถานบันเทิงครบวงจรที่มีกาสิโนร่วมอยู่ด้วยนี้ เครื่องมือประชาธิปไตยอย่าง “ประชาพิจารณ์” และ “ประชามติ” ก็มักที่จะถูกหยิบยกมาเป็นกลไกในการรับฟังเสียงของประชาชน
อย่างไรก็ตาม เครื่องมือทั้งสองมีวัตถุประสงค์กระบวนการและผลลัพธ์ที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ การเข้าใจความแตกต่างเหล่านี้จึงเป็นเงื่อนไขสำคัญในการกำหนดแนวทางที่ชอบธรรมและเป็นกลางทางนโยบาย ซึ่งกรณี “ประชาพิจารณ์” จะเป็นการรับฟังประเด็น ไม่ใช่รับฟังว่าจะมีจำนวนเท่าไหร่ที่เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ประชาพิจารณ์ไม่สนใจว่าผู้ที่เข้ามาเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยมากกว่ากัน
แต่จะสนใจประเด็นในการพิจารณาในเรื่องนั้นว่าครบถ้วนกระบวนความแล้วหรือยัง โดยจะเชิญคนทั้งหลายมาเพื่อให้ประเด็น คือ ต้องการประเด็นเป็นสำคัญ แต่กรณีถ้าต้องการนับจำนวนคน ว่าประชาชนเห็นด้วยหรือไม่ กรณีดังเช่นว่านี้ เรียกว่า การทำ “ประชามติ” แต่ต้องผ่านกระบวนการให้ข้อมูลที่รอบด้านที่สุด และโจทย์ของประชามติต้องชัดเจนไม่ใช่ชี้นำ กรณีคำถามว่า ควรจะมีสถานบันเทิงครบวงจรหรือไม่เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ ย่อมถือว่า เป็นการชี้นำ และประชาชนก็จะตอบว่าเอาสถานบันเทิงครบวงจร คำว่า “ครบวงจร” ฟังดูดีและจะเป็น การชี้นำ
ซึ่งประชามติจะต้องให้แต่ละฝ่ายได้แสดงความเห็นข้อดีข้อเสีย และคำถามต้องเป็นกลางในหลายประเทศจะมีกระบวนการพิจารณาคำถามด้วยความระมัดระวัง และประเทศแม่แบบของการทำประชามติ คือ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเวลากฎหมายที่ผ่านชั้นรัฐสภาไปเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่จะประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา เขาจะประกาศให้ประชาชนทราบและถ้าประชาชนจำนวนหนึ่ง ขอให้จัดทำประชามติรัฐบาลก็ต้องจัดทำประชามติว่ากฎหมายฉบับนั้น ประชาชนเห็นด้วยหรือไม่ แนวทางนี้จึงเป็นการสะท้อนหลักคิดสำคัญว่า ผู้แทนของประชาชนในรัฐสภาไม่ได้มีอำนาจเบ็ดเสร็จ และประชาชนยังมีอำนาจสูงสุดในการตัดสินใจต่อกฎหมายที่มีผลกระทบต่อสังคม
ดังนั้น จึงควรใช้การตัดสินใจเชิงนโยบายโดยให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจผ่านการทำประชามติ โดยตั้งคำถามให้เป็นกลาง หลีกเลี่ยงคำถามเชิงชี้นำ และมีการให้ข้อมูลทั้งสองด้านอย่างรอบด้าน ผ่านสื่อที่เข้าถึงง่าย และเปิดพื้นที่ให้ทุกฝ่ายรณรงค์อย่างเท่าเทียม ซึ่งแนวคำถามที่ควรใช้เป็นคำถาม ประชามติ คือ “ท่านเห็นด้วยหรือไม่กับการที่รัฐบาลจะอนุญาตให้มีการเปิดกาสิโนในประเทศไทย”

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา