“…‘คณะกรรมการวินัยฯ’ มีความเห็นให้ลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้องในกรณีนี้ โดยในส่วนนายอิศนนท์ นั้น เชื่อว่ารับรู้และมีเจตนาเอื้อประโยชน์ เป็นการจงใจฝ่าฝืนระเบียบ คำสั่งของธนาคาร เพื่อให้บุคคลอื่นได้รับประโยชน์โดยมิชอบ เป็นการกระทำทุจริตต่อหน้าที่และมีพฤติกรรมแสวงหาประโยชน์จากธนาคารเพื่อบุคคลอื่น ผิดวินัยร้ายแรง…”
..........................................
จากกรณีที่เมื่อวันที่ 18 มิ.ย.ที่ผ่านมา คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติเอกฉันท์ชี้มูลความผิด นายอิศนนท์ วชิระธรรมา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่าย ผู้บริหารฝ่ายทีมธุรกิจบริการ 1 ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กับพวก
กรณีพิจารณาอนุมัติให้ ‘ปลดอายัด’ บัญชีเงินฝาก และให้ลูกหนี้ราย บริษัท คิว วัน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เบิกถอนเงินจากบัญชีเงินฝากโดยมิชอบ ทำให้ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้รับความเสียหาย เป็นจำนวนเงินรวม 145.5 ล้านบาท เหตุเกิดในช่วงเดือน ต.ค.2557-ก.ค.2558
เบื้องต้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นชอบให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุด (อสส.) เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาล ซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี นั้น (อ่านประกอบ : ป.ป.ช.ชี้มูล อดีตผอ.ฝ่ายธ.กรุงไทย ปลดอายัดบัญชีเงินฝากลูกหนี้มิชอบ เสียหาย 145.5 ล.)
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงขอนำเสนอพฤติการณ์การกระทำของ นายอิศนนท์ กับพวก ก่อนที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะมีมติชี้มูลความผิด สรุปได้ดังนี้
@อนุมัติสินเชื่อ 975 ล้านบาท สร้างโรงแรม 5 ดาว จ.ภูเก็ต
ในช่วงเดือน ม.ค.2556 ฝ่ายธุรกิจบริการ 1 ธนาคารกรุงไทยฯ จัดทำรายงานเสนอขออนุมัติสินเชื่อ ราย บริษัท คิว วัน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด วงเงินสินเชื่อ 975 ล้านบาท เพื่อลงทุนโครงการ ‘โรงแรม 5 ดาว’ ในพื้นที่ ต.ป่าตอง อ.กระทู้ จ.ภูเก็ต โดยสินเชื่อดังกล่าวได้ผ่านการพิจารณาของฝ่ายกลั่นกรองสินเชื่อฯ แล้ว
ทั้งนี้ วงเงินสินเชื่อรายบริษัท คิว วัน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด จำนวน 975 ล้านบาท ดังกล่าว ประกอบไปด้วย ค่าซื้อที่ดิน 300 ล้านบาท ค่าก่อสร้าง 650 ล้านบาท และส่วนที่เหลืออีก 25 ล้านบาท จะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน และเงินค้ำประกันค่าไฟฟ้า ตลอดจนระบบสาธารณูปโภคต่างๆ
ต่อมา ‘คณะกรรมการกลั่นกรอง’ ได้พิจารณารายงานเสนอขออนุมัติสินเชื่อฯ และมติเห็นควรให้อนุมัติสินเชื่อฯ ตามที่ฝ่ายธุรกิจบริการ 1 เสนอ แต่มีการกำหนดเงื่อนไขว่า บริษัท คิว วัน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด จะต้องเพิ่มทุนจดทะเบียนพร้อมเรียกชำระเป็น 360 ล้านบาท ก่อนเบิกเงินกู้ฯดังกล่าว
และหลังจากเบิกเงินกู้ในส่วนค่าที่ดินฯแล้ว ไม่เกิน 7 วัน บริษัท คิว วัน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ต้องนำเงิน 150 ล้านบาท มาฝากไว้ที่ธนาคารฯ และโอนสิทธิเรียกร้องในบัญชีให้กับธนาคาร เพื่อสำรองลงทุนในโครงการ (บัญชีเงินฝากสำรองสำหรับการลงทุน) และทยอยนำเงินไปสมทบกับเงินกู้ค่าก่อสร้าง เพื่อลดความเสี่ยงของธนาคารฯ
ในเวลาต่อมา ‘คณะกรรมการบริหาร’ ธนาคารกรุงไทย มีมติอนุมัติสินเชื่อให้ บริษัท คิว วัน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด วงเงินสินเชื่อ 975 ล้านบาท โดยกำหนดเงื่อนไขการให้สินเชื่อและรายละเอียดต่างๆ ให้เป็นไปตามมติของที่ประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองฯ ก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ดี ต่อมาวันที่ 13 มี.ค.2556 สายงานกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ 1 ได้เสนอเรื่อง ‘ขอเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์บัญชีเงินฝากสำรองสำหรับการลงทุน’
จากเดิมที่กำหนดให้เป็นบัญชีของ ‘บริษัท คิว วัน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด’ โดยขอเปลี่ยนแปลงเป็นชื่อบัญชีของ ‘กรรมการบริษัทฯ’ แทน และโอนสิทธิ์เรียกร้องให้ธนาคารกรุงไทยฯตามเดิม ทั้งนี้ เนื่องจากบริษัทฯต้องการจะขอรับ ‘อัตราดอกเบี้ยเงินฝากพิเศษ’ ตามเงื่อนไขของธนาคารฯที่ระบุให้เป็น ‘บัญชีบุคคลธรรมดา’
ผู้อำนวยการฝ่าย รักษาการผู้บริหารฝ่าย ฝ่ายสินเชื่อธุรกิจ ในขณะนั้น ได้ลงนามอนุมัติให้เปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ ‘บัญชีเงินฝากสำรองสำหรับการลงทุน’ จากบัญชีของบริษัท คิว วัน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ไปเป็นบัญชีของกรรมการบริษัทฯ พร้อมทั้งโอนสิทธิ์เรียกร้องในบัญชีให้กับธนาคารฯตามเดิม
@กำหนดเงื่อนไขนำเงิน 150 ล้านบาท ฝาก‘บัญชีสำรองฯ’
ต่อมาในวันที่ 14 มี.ค.2556 บริษัท คิว วัน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด โดย กรรมการบริษัทฯ รายนาย ก. เข้าทำสัญญากู้ยืมเงินจากธนาคารกรุงไทย วงเงินสินเชื่อ 950 ล้านบาท ซึ่งสัญญากู้เงินดังกล่าวฯ มีการกำหนดเงื่อนไขการเบิกใช้เงินกู้ตามสัญญากู้เงิน จำนวน 300 ล้านบาท ว่า
“ภายหลังจากการเบิกเงินกู้ค่าที่ดินและจดจำนองที่ดินแล้ว ไม่เกิน 7 วัน ผู้กู้ต้องนำเงิน 150 ล้านบาท ฝากไว้ที่ บมจ.กรุงไทย และโอนสิทธิเรียกร้องในบัญชีให้กับผู้ให้กู้ เพื่อสำรองลงทุนในโครงการ (โดยโอนสิทธิเรียกร้องในบัญชีเงินฝากประจำ เลขที่.... ชื่อบัญชี นาย ก.) ทั้งนี้ การปลดอายัดบัญชี เพื่อทยอยนำเงินไปสมทบกับเงินกู้ค่าก่อสร้างในการชำระค่าก่อสร้างในโครงการให้อยู่ในดุลพินิจของผู้ให้กู้”
ทั้งนี้ กรรมการบริษัทฯ รายนาย ก. ยังได้ลงนามในหนังสือสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องเงินฝากฯ เป็นหลักประกัน และหนังสือบอกกล่าวการโอนสิทธิเรียกร้องในบัญชีเงินฝากให้กับธนาคารกรุงไทยฯ
จากนั้นในวันที่ 29 มี.ค.2556 บริษัท คิว วัน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ได้เบิกเงินกู้ ‘ค่าที่ดิน’ จำนวน 300 ล้านบาท เป็นแคชเชียร์เช็คสั่งจ่ายให้แก่ ‘ผู้ขายที่ดิน’ ซึ่งเป็นมารดาของ กรรมการบริษัท รายนาย ก. และในวันเดียวกันนั้น มีการโอนเงิน จำนวน 276 ล้านบาท ไปยังบัญชีของกรรมการบริษัทฯ รายนาย ก.
หลังจากนั้น กรรมการบริษัทฯรายนาย ก. ได้นำเงินดังกล่าว ไปฝากไว้ในบัญชีเงินฝากประจำในนามของตัวเอง และโอนสิทธิเรียกร้องให้ธนาคารกรุงไทย เพื่อสำรองในโครงการฯ จำนวน 150 ล้านบาท เพื่อให้เป็นไปตามเงื่อนไขการเบิกใช้วงเงินกู้ ตามสัญญาที่ บริษัท คิว วัน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ทำไว้กับธนาคารกรุงไทยฯ
@อนุมัติ‘ปลดอายัด’บัญชี 4 ครั้ง ยอดโอนเงินออกรวม 145.5 ล้าน
ในเวลาต่อมาวันที่ 12 พ.ค.2557 ฝ่ายธุรกิจบริการ มีหนังสือแจ้ง ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ผู้บริหารฝ่าย กรณี บริษัท คิว วัน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด แจ้งความประสงค์ขอเปลี่ยนแปลงประเภทบัญชีเงินฝาก เพื่อให้ได้รับประโยชน์ด้านดอกเบี้ย โดยเปลี่ยนจากบัญชีเงินฝากประเภทฝากประจำ (บัญชีเดิม) ของกรรมการบริษัทฯ รายนาย ก. เป็น ‘บัญชีใหม่’
ในวันเดียวกัน ฝ่ายธุรกิจบริการ ได้ทำหนังสือถึงผู้อำนวยการฝ่าย ผู้บริหารสำนักนานาเหนือ แจ้งให้ดำเนินการ ‘ปลดอายัด’ บัญชีเงินฝาก เลขที่... (บัญชีเดิม) ของกรรมการบริษัทฯ รายนาย ก. ทั้งจำนวน แล้วโอนเงินจำนวน 150 ล้านบาทดังกล่าว ไปยังบัญชีเงินฝากใหม่ (บัญชีใหม่ 1) ซึ่งเป็นบัญชีของ กรรมการบริษัทฯ รายนาย ก.
ต่อมาปรากฏว่า นายอิศนนท์ วชิระธรรมา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่าย ผู้บริหารฝ่ายทีมธุรกิจบริการ 1 (ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1) ในฐานะหัวหน้าหน่วยงาน ได้พิจารณาอนุมัติให้ ‘ปลดอายัด’ บัญชีเงินฝาก ในนามกรรมการบริษัทฯ รายนาย ก. จำนวนหลายบัญชี และให้โอนเงินจำนวน 150 ล้านบาท ไปยังบัญชีใหม่ จำนวน 4 ครั้ง ได้แก่
ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 16 ต.ค.2557 นายอิศนนท์ พิจารณาอนุมัติให้ปลดอายัดบัญชี เลขที่... (บัญชีใหม่ 1) และโอนเงิน 150 ล้านบาท จาก 'บัญชีใหม่ 1' ไปยังบัญชีออมทรัพย์ใหม่ (บัญชีใหม่ 2) ในนามกรรมการบริษัทฯ รายนาย ก. และเมื่อมีการเบิกเงิน 20 ล้านบาท แล้ว จึงให้อายัดบัญชีออมทรัพย์ (บัญชีใหม่ 2) จำนวน 130 ล้านบาท ทุกขณะทั้งจำนวน
ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 20 ต.ค.2557 พนักงานของธนาคารกรุงไทยฯ สาขาป่าตอง แจ้งให้ กรรมการบริษัทฯ (คิว วัน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด) รายนาย ก. ไปลงนามใบคำขอเปิดบัญชีเงินฝากประจำ เลขที่... (บัญชีใหม่ 3) ซึ่งจัดเตรียมไว้ เพื่อโอนเงิน 130 ล้านบาท จาก ‘บัญชีใหม่ 2’ เข้าไปยังบัญชีที่เปิดใหม่ดังกล่าว (บัญชีใหม่ 3)
ต่อมาวันที่ 31 ต.ค.2557 นายอิศนนท์ พิจารณาอนุมัติให้ปลดอายัดบัญชี เลขที่... (บัญชีใหม่ 3) ในนามกรรมการบริษัทฯ รายนาย ก. และโอนเงิน 130 ล้านบาท จาก 'บัญชีใหม่ 3' ไปยังบัญชีออมทรัพย์ เลขที่...(บัญชีใหม่ 2) จากนั้นมีการโอนเงิน จำนวน 50 ล้านบาท จาก 'บัญชีใหม่ 2' ไปยัง 'บัญชีกระแสรายวัน' เลขที่... ของ บริษัท คิว วัน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด จากนั้น จึงมีการอายัดบัญชีออมทรัพย์ เลขที่...(บัญชีใหม่ 2) จำนวนเงิน 80 ล้านบาท ทุกขณะทุกจำนวน
ครั้งที่ 3 นายอิศนนท์ พิจารณาอนุมัติให้ปลดอายัดบัญชี เลขที่... (บัญชีใหม่ 3) ในนามกรรมการบริษัทฯ รายนาย ก. เป็นจำนวนเงิน 38.5 ล้านบาท และให้โอนเงินดังกล่าว ไปยัง 'บัญชีกระแสรายวัน' เลขที่... ของ บริษัท คิว วัน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด จากนั้นจึงอายัดบัญชี เลขที่... (บัญชีใหม่ 3) ทุกขณะทั้งจำนวน
ครั้งที่ 4 นายอิศนนท์ พิจารณาอนุมัติให้ปลดอายัดบัญชี เลขที่... (บัญชีใหม่ 2) ในนามกรรมการบริษัทฯ รายนาย ก. เป็นจำนวนเงิน 37 ล้านบาท และให้โอนเงินดังกล่าว ไปยัง 'บัญชีกระแสรายวัน' เลขที่... ของ บริษัท คิว วัน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด จากนั้นจึงอายัดบัญชี เลขที่... (บัญชีใหม่ 2) ทุกขณะทั้งจำนวน
@‘คณะกรรมการวินัยฯ’ลงโทษไล่ออก‘ผู้อำนวยการฝ่าย’-ฟ้องชดใช้
ต่อมาในเดือน พ.ค.2559 ฝ่ายตรวจสอบสินเชื่อธุรกิจจนาดใหญ่และขนาดกลาง ได้ตรวจสอบกระบวนการพิจารณาสินเชื่อของกลุ่มลูกหนี้ราย ‘กลุ่มเคป มายาวี’ และมีข้อสังเกตจากการตรวจสอบเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่าง บริษัท คิว วัน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด และ ‘กลุ่มเคป มายาวี’
โดยพบว่า บริษัท คิว วัน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ได้นำเงินฝากสำรองเพื่อสมทบค่าก่อสร้างโรงแรม 5 ดาว ซึ่งได้รับการปลดอายัดบัญชีฯ โอนไปให้ กลุ่มเคป มายาวี จำนวน 3 ครั้ง เป็นเงินรวม 29.39 ล้านบาท และปรากฏว่า ผู้ถือหุ้นของทั้ง 2 บริษัทฯ มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันผ่านบริษัทแห่งหนึ่ง
ธนาคารกรุงไทยฯ จึงมีคำสั่งแต่งตั้ง ‘คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง’ โดยคณะกรรมการสอบสวนฯ เห็นว่า
การที่นายอิศนนท์ ในฐานะผู้อำนวยการฝ่าย ผู้บริหารฝ่ายทีมธุรกิจบริการ อนุมัติปลดอายัดบัญชีเงินฝากให้ลูกหนี้เบิกเงินจากบัญชีโอนสิทธิฯ จำนวน 4 ครั้ง รวมเป็นเงิน 145.5 ล้านบาท โดยที่ยังไม่มีการก่อสร้างโครงการฯ นั้น ไม่สามารถทำได้
เมื่อมีการโต้แย้งและทักท้วงแล้ว แต่นายอิศนนท์ ยังสั่งการให้ดำเนินการปลดอายัดบัญชีเงินฝากฯ การกระทำของนายอิศนนท์ จึงเป็นการงดเว้นหน้าที่ที่พึงกระทำตามเงื่อนไขการอนุมัติสินเชื่อของธนาคาร เพื่อเอื้อประโยชน์แก่บุคคลภายนอก อาจทำให้ธนาคารได้รับความเสียหาย
ต่อมา ‘คณะกรรมการวินัยฯ’ มีความเห็นให้ลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้องในกรณีนี้ โดยในส่วนนายอิศนนท์ นั้น เชื่อว่ารับรู้และมีเจตนาเอื้อประโยชน์ เป็นการจงใจฝ่าฝืนระเบียบ คำสั่งของธนาคาร เพื่อให้บุคคลอื่นได้รับประโยชน์โดยมิชอบ เป็นการกระทำทุจริตต่อหน้าที่และมีพฤติกรรมแสวงหาประโยชน์จากธนาคารเพื่อบุคคลอื่น ผิดวินัยร้ายแรง
คณะกรรมการวินัยฯ จึงเห็นควรลงโทษทางวินัย นายอิศนนท์ ด้วยการไล่ออก โดยงดจ่ายค่าชดเชยและเงินพึงได้ใดๆ ทั้งสิ้น และให้รับผิดทางแพ่งหากธนาคารได้รับความเสียหาย
ส่วน บริษัท คิว วัน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด นั้น มีการผ่อนชำระหนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 29 มี.ค.2561 จากนั้นก็ผิดนัดสัญญา ไม่สามารถนำเงินมาผ่อนชำระหนี้ตามสัญญาฯได้ ธนาคารกรุงไทยฯ จึงยื่นฟ้องบริษัทฯและผู้เกี่ยวข้อง และศาลได้พิพากษาให้จำเลย ชำระเงินคืนธนาคารเป็นเงิน 299.1 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน ธนาคารกรุงไทยฯ ได้ยื่นฟ้อง นายอิศนนท์ ต่อศาลแรงงานกลาง ให้รับผิดชำระหนี้ต้นเงิน 145.5 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย คิดเป็นเงินต้นและดอกเบี้ยรวม 223.1 ล้านบาท รวมทั้งยื่นเรื่องให้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำเนินกับนายอิศนนท์ และผู้ที่เกี่ยวข้องกับการปลดอายัดบัญชีในครั้งนี้
นอกจากนี้ จากการลงพื้นที่ตรวจสอบพื้นที่ก่อสร้างโรงแรม 5 ดาว ของบริษัท คิว วัน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ซึ่งใช้เงินกู้จากธนาคารกรุงไทยฯ นั้น ข้อมูล ณ เดือน มี.ค.2564 พบว่า ปัจจุบันพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่รกร้างว่างเปล่า มีการปรับพื้นที่ก่อสร้าง แต่ยังไม่มีการดำเนินการก่อสร้างแต่อย่างใด
เหล่านี้เป็นพฤติการณ์ กรณีการอนุมัติ ‘ปลดอายัด’ บัญชีเงินฝาก ให้กับลูกหนี้บริษัท คิว วัน ดีเวลลอปเม้นท์ฯ จำนวน 4 ครั้ง จำนวนเงินรวม 145.5 ล้านบาท ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับธนาคารกรุงไทย ก่อนที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะมีมติชี้มูลความผิดผู้เกี่ยวข้อง
อนึ่ง การชี้มูลความผิดทางอาญาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังไม่ถือเป็นที่สุด ผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมดยังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุด
อ่านประกอบ :
ป.ป.ช.ชี้มูล อดีตผอ.ฝ่ายธ.กรุงไทย ปลดอายัดบัญชีเงินฝากลูกหนี้มิชอบ เสียหาย 145.5 ล.