
"...ถ้าจากการไต่สวนและพยานหลักฐานเอกสารที่ศาลมีคำสั่งให้หน่วยงานต่างๆ ส่งมาพบว่า มีการช่วยเหลือให้นายทักษิณ ไม่ต้องถูกจำคุกอยู่ในเรือนจำ แต่มาเสวยสุขอยู่ที่ชั้น 14 ของโรงพยาบาลตำรวจ เท่ากับว่า ไม่มีการบังคับคดีให้ไปเป็นไปตามคำพิพากษาของศาลที่ให้จำคุกนายทักษิณ ดังนั้น ศาลอาจมีคำสั่งให้บังคับเป็นไปตามคำพิพากษาคือสั่งให้นำนายทักษิณไปจองจำไว้ที่เรือนจำตามคำพิพากษา..."
กรณีสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ได้นำเสนอรายชื่อองค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกา 5 ราย ที่พิจารณาคำร้องของนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) พรรคประชาธิปัตย์ ที่ยื่นคำร้องขอให้ไต่สวนการบังคับโทษจำคุกแก่นายทักษิณ ชินวัตร จำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ อม.4/2551 จำเลยที่ 1 ในคดีหมายเลขแดงที่ อม.10/2552 และจำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ อม.5/2551 ของศาลนี้ ตามคำร้องฉบับลงวันที่ 10 มกราคม 2568
ทั้งนี้ องค์คณะผู้พิพากษามีความเห็นว่า เมื่อความปรากฏต่อศาลว่า อาจมีการบังคับตามคำพิพากษาที่ไม่เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาลนี้
ศาลย่อมมีอำนาจไต่สวนและมีคำสั่งตามที่เห็นสมควร จึงเห็นควรส่งสำเนาคำร้องให้ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โจทก์ และ นายทักษิณ ชินวัตร จำเลยของทั้ง 3 คดีให้โจทก์และจำเลยดังกล่าวแจ้งต่อศาลนี้ว่า มีข้อเท็จจริงตามที่กล่าวอ้างในคำร้อง หรือไม่ อย่างไร กับสำเนาคำร้องให้ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อให้ชี้แจงข้อเท็จจริง พร้อมกับนัดไต่สวนในวันที่ 13 มิุนายน 2568

- อาจมีการบังคับคำพิพากษาไม่เป็นไปตามหมายจำคุก! ศาลฯเรียก 'ป.ป.ช.-ทักษิณ' ไต่สวน 13 มิ.ย.นี้
- ชัดๆ! คำวินิจฉัยศาลฏีกาฯ สั่งไต่สวน 'ป.ป.ช.-ทักษิณ' กรณีไม่ได้จำคุกจริง 1 ปี
- เปิดชื่อ 5 องค์คณะผู้พิพากษาศาลฏีกาฯ สั่งไต่สวน 'ป.ป.ช.-ทักษิณ' กรณีไม่ได้จำคุกจริง 1 ปี
หลังจากที่สำนักข่าวอิศรา นำเสนอข้อมูลดังกล่าว ได้มีข้อสงสัยสอบถามเข้ามาว่า ทำไมองค์คณะพิพากษาศาลฎีกา ในคดี ‘ ทักษิณ-ชั้น14’ จึงมีเพียง 5 คน ไม่ใช่ 9 คน เหมือนกับการพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่ง ทางการเมืองในคดีอื่นๆ
เพื่อทำความเข้าใจกับเรื่องนี้ ต้องอธิบายก่อนว่า กรณีดังกล่าวไม่ใช่เป็นการยื่นฟ้องคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือนักการเมือง
แต่เป็นการยื่นคำร้องขอให้มีการบังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งนักการเมืองซึ่งมีบทบัญญัติของกฎหมายหรือข้อกำหนดของศาลที่แตกต่างกัน
ในกรณีที่มีการยื่นฟ้องคดีอาญาต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งนั้นการเมืองไม่ว่าจะโดยอัยการสูงสุด คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ประธานศาลฎีกาต้องเรียกประชุมใหญ่ศาลฎีกาโดยเร็วเพื่อเลือกผู้พิพากษาไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษา ศาลฎีกาหรือผู้พิพากษาอาวุโส ที่เคยดำรงตำแหน่ง ไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาศาลฎีกา จำนวน 9 คน เป็นองค์คณะ โดยให้เลือกเป็นรายคดี( พ.ร.ป. ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งการเมือง มาตรา 11)
การที่บทบัญญัติให้เลือกองค์คณะผู้พิพากษาเป็นรายคดี นอกจากสามารถเลือกผู้พิพากษาที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละคดีได้แล้ว ยังเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดการวิ่งเต้น เพราะคู่ความจะไม่มีทางทราบล่วงหน้า ผู้พิพากษารายใดจะได้รับเลือกเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดี
จากที่อธิบายไว้ในตอนต้นแล้วว่าคดี ‘ทักษิณ-ชั้น 14’ ไม่ใช่การยื่นฟ้องคดีอาญาใหม่ แต่เป็นการยื่นคำร้องขอให้มีการบังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษาซึ่งใน พ.ร.ป. ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไม่ได้มีบทบัญญัติเรื่องนี้ไว้โดยตรง
แต่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้ออกข้อกำหนดเกี่ยวกับการดำเนินคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2562 ซึ่งกำหนดขั้นตอนและรายละเอียดเกี่ยวกับการพิจารณาคดีไว้
ทั้งนี้ ในหมวดบังคับคดี ข้อ 62 ระบุว่า เมื่อบุคคลภายนอกยื่นคำร้องหรือคำขอต่อศาลในชั้นบังคับคดี ให้ผู้พิพากษาประจำแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกาอย่างน้อย 3 คนเป็นองค์คณะพิจารณาชี้ขาดคำร้องหรือคำขอดังกล่าว
การที่นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ยื่นคำร้องขอให้บังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลที่ให้จำคุกนายทักษิณ ทั้ง 3 คดี เป็นเวลา 8 ปี และมีการ พระราชทานอภัยโทษเหลือ 1 ปี จึงเข้าเงื่อนไขตามข้อกำหนดดังกล่าว
ดังนั้นประธานแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จึงมีคำสั่งแต่งตั้งองค์คณะผู้พิพากษา จำนวน 5 คน(ข้อกำหนดระบุว่า ไม่น้อยกว่า 3 คน) เพื่อพิจารณาคำร้องของนายชาญชัย

@ ทักษิณ ชินวัตร
ส่วนผลการพิจารณาจะออกมาอย่างไรขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงโดยเฉพาะข้อกล่าวหาที่ว่า นายทักษิณ ‘ป่วยทิพย์‘
ถ้าจากการไต่สวนและพยานหลักฐานเอกสารที่ศาลมีคำสั่งให้หน่วยงานต่างๆ ส่งมาพบว่า มีการช่วยเหลือให้นายทักษิณ ไม่ต้องถูกจำคุกอยู่ในเรือนจำ แต่มาเสวยสุขอยู่ที่ชั้น 14 ของโรงพยาบาลตำรวจ
เท่ากับว่า ไม่มีการบังคับคดีให้ไปเป็นไปตามคำพิพากษาของศาลที่ให้จำคุกนายทักษิณ
ดังนั้น ศาลอาจมีคำสั่งให้บังคับเป็นไปตามคำพิพากษาคือสั่งให้นำนายทักษิณไปจองจำไว้ที่เรือนจำตามคำพิพากษา
ขณะเดียวกัน ผู้ที่ช่วยเหลือนายทักษิณให้ไม่ต้องรับโทษตามกฎหมาย ต้องพิจารณาด้วยว่า เป็นการละเมิดอำนาจศาลและเป็นการทุจริตเจ้าหน้าที่ด้วยหรือไม่
คำถามที่น่าสนใจก็คือ ถ้าเป็นการละเมิดอำนาจศาล ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งนักการเมือง มีอำนาจสั่งให้ลงโทษ(จำคุก)ผู้ที่ช่วยเหลือนายทักษิณได้ด้วยหรือไม่ เหมือนกับกรณีสั่งจำคุกทนายถุงขนมคดีซื้อที่ดินรัชดาฯ
ขณะเดียวกัน ถ้าเป็นการทุจริตต่อหน้าที่จะต้องส่งให้ ป.ป.ช. ไต่สวนด้วยหรือไม่
สำหรับผลการไต่สวน ขององค์คณะผู้พิพากษา ทั้ง 5 ราย จะออกมาอย่างไรโปรดอย่ากระพริบตาเด็ดขาด

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา