"...เมื่อความปรากฏต่อศาลว่า อาจมีการบังคับตามคำพิพากษาที่ไม่เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาลนี้ ศาลย่อมมีอำนาจไต่สวนและมีคำสั่งตามที่เห็นสมควร จึงเห็นควรส่งสำเนาคำร้องให้โจทก์และจำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ อม.4/2551 จำเลยที่ 1 ในคดีหมายเลขแดงที่ อม. 30/2552 และจำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ อม.5/25551 ของศาลนี้ แล้วให้โจทก์และจำเลยดังกล่าวแจ้งต่อศาลว่ามีข้อเท็จจริงตามที่กล่าวอ้างในคำร้อง หรือไม่ อย่างไร กับสำเนาคำร้องให้ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อให้ขี้แจงข้อเท็จจริง..."
หมายเหตุ สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) : เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดฟังคำสั่งกรณีนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นคำร้องขอให้ศาลฯดำเนินการไต่สวนฯและออกหมายจับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ มาขังไว้ตามหมายศาลฯ เนื่องจากนายทักษิณไม่ได้ถูกจำคุกตามคำพิพากษา และถูกส่งตัวไปพักรักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจโดยมิชอบ
ศาลวินิจฉัยว่า นายชาญชัยไม่ใช่คู่ความในคดีหมายเลขแดง อม.4/2551 คดีหมายเลขแดงที่ อม.10/2552 และคดีหมายเลขแดงที่ อม.5/2551 ของศาลนี้ อีกทั้งไม่ใช่ผู้ได้รับความเดือดร้อน ไม่มีส่วนได้เสียในคดี จึงไม่มีสิทธิ์ยื่นคำร้องต่อศาล แต่ศาลเห็นว่าอาจมีการบังคับคำพิพากษาไม่เป็นไปตามหมายจำคุก
ศาลย่อมมีอำนาจไต่สวนและมีคำสั่งตามที่เห็นสมควร จึงเห็นควรให้โจทก์ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และจำเลย (นายทักษิณ ชินวัตร) แจ้งต่อศาลว่ามีข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร กับสำเนาคำร้องให้ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร อธิบดีกรมราชทัณฑ์และนายแพทย์ใหญ่รพ.ตำรวจ ชี้แจงข้อเท็จจริงต่อศาล โดยนัดไต่สวนในวันที่ 13 มิ.ย. 2568 เวลา 9.30 น.
ต่อมา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์ สรุปผลคำวินิจฉัยคดีนี้เป็นทางการ
มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
วันนี้ เวลา 13 นาฬิกา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอ่านคำสั่งคดีหมายเลขดำที่ บ.ค.1/2568 ระหว่าง อัยการสูงสุด คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ โดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ผู้เข้าเป็นคู่ความแทน โจทก์ นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ผู้ร้อง พันตำรวจโททักษิณหรือนายทักษิณ ชินวัตร จำเลย
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งศาลเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2566 และวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 กับขอให้ไต่สวนการบังคับโทษจำคุกแก่จำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ อม.4/2551 จำเลยที่ 1 ในคดีหมายเลขแดงที่ อม.10/2552 และจำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ อม.5/2551 ของศาลนี้ ตามคำร้องฉบับลงวันที่ 10 มกราคม 2568
ศาลพิเคราะห์คำร้องและเอกสารท้ายคำร้องแล้ว เห็นว่า ผู้ร้องไม่ใช่คู่ความในคดีหมายเลขแดงที่ อม.4/25551 คดีหมายเลขแดงที่ อม.10/6552 และคดีหมายเลขแดงที่ อม.5/2551 ของศาลนี้ อีกทั้งไม่ใช่ผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายจากการบังคับโทษจำคุกแก่จำเลยในคดีดังกล่าว เมื่อผู้ร้องไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียในชั้นบังคับตามดำพิพากษาจึงไม่มีสิทธิ์ยื่นคำร้องต่อศาลนี้
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อความปรากฏต่อศาลว่า อาจมีการบังคับตามคำพิพากษาที่ไม่เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาลนี้ ศาลย่อมมีอำนาจไต่สวนและมีคำสั่งตามที่เห็นสมควร จึงเห็นควรส่งสำเนาคำร้องให้โจทก์และจำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ อม.4/2551 จำเลยที่ 1 ในคดีหมายเลขแดงที่ อม. 30/2552 และจำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ อม.5/25551 ของศาลนี้ แล้วให้โจทก์และจำเลยดังกล่าวแจ้งต่อศาลว่ามีข้อเท็จจริงตามที่กล่าวอ้างในคำร้อง หรือไม่ อย่างไร กับสำเนาคำร้องให้ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อให้ชี้แจงข้อเท็จจริง
ประกอบการพิจารณาของศาลว่าการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบังคับโทษจำคุกแก่จำเลยเป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาล หรือไม่ อย่างไร ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธี พิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 6 โดยให้โจทก์ จำเลยดังกล่าวผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ แจ้งให้ศาลทราบ พร้อมกับแสดงหลักฐานที่เกี่ยวข้องภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับทราบคำลังศาล สำหรับกรณีที่ผู้ร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งศาลนั้น เมื่อผู้ร้องไม่มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาล กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยคำขอคำขอดังกล่าว
ทั้งนี้ ศาลมีคำสั่งให้นัดพร้อมหรือนัดไต่สวนในวันที่ 13 มิถุนายน 2568 เวลา 9.30 น.
************
ขณะที่ นายชาญชัย ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน หลังจากฟังคำสั่งศาลฯ ว่า ศาลสั่งว่าตนเองในฐานะผู้ร้องไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง แต่เห็นคำพิพากษา ศาลจึงมีอำนาจในการนำคดีนี้พิจารณาเอง โดยให้ผู้ที่ดกี่ยวข้องทำคำชี้แจงข้อเท็จจริงต่อศาลภายใน 30 วัน สรุปคือศาลรับเรื่องที่ตนเองร้องโดยใช้อำนาจของศาลในการพิจารณาคดีอาจมีการบังคับคำพิพากษาไม่เป็นไปตามหมายจำคุก พร้อมเรียก ป.ป.ช. และนายทักษิณ มาไต่สวนในวันที่ 13 มิถุนายน 2568 นี้
สำหรับโทษจำคุก นายทักษิณ ชินวัตร เดิมที่มีกำหนดระยะเวลา 8 ปี แต่ได้รับการพระราชทานอภัยลดโทษเหลือ 1 ปี เป็นผลมาจากคำพิพากษา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษา จำนวน 3 คดี คือ
1. คดีที่ 1. คดีหมายเลขแดง ที่ อม. 4/2551 ความผิดต่อหน้าที่ราชการ กำหนดโทษจำคุก 3 ปี (คดีให้ธนาคารเอ็กซิมแบงก์ปล่อยกู้เงินแก่เมียนมา 4 พันล้านบาท )
2. คดีที่ 2. คดีหมายเลขแดง ที่ อม. 10/2552 ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ความผิดต่อพระราชบัญญัติ ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ กำหนดโทษจำคุก 2 ปี (คดีทุจริตโครงการหวยบนดิน) ซึ่งคดีที่ 1 กับคดีที่ 2 นับโทษซ้อนกันรวมกำหนดโทษจำคุก 3 ปี
และคดีที่ 3. คดีหมายเลขแดง ที่ อม. 5/2551 ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ การขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวมกำหนดโทษจำคุก 5 ปี (คดีให้นอมินีถือหุ้น‘ชินคอร์ปฯ’-เข้าไปมีส่วนได้เสียในกิจการโทรคมนาคม )
แต่หลังถูกกำหนดโทษดังกล่าว มีการส่งตัวนายทักษิณ ชินวัตร ไปรักษาตัวนอกเรือนจำที่โรงพยาบาลตำรวจ ชั้น 14 ตลอดระยะเวลาที่ถูกลงโทษจำคุก 181 ทำให้ถูกยื่นเรื่องร้องเรียนว่า มีการเอื้อประโยชน์ให้กับนายทักษิณ ชินวัตร โดยอาศัยช่องทางตามกฎกระทรวงฉบับนี้หลีกเลี่ยงอำนาจตุลาการ เพื่อให้นายทักษิณ ชินวัตร ไม่ต้องถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ
ผลจากการที่ศาลฯ เห็นว่า อาจมีการบังคับคำพิพากษาไม่เป็นไปตามหมายจำคุก และเห็นควรให้โจทก์ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และจำเลย (นายทักษิณ ชินวัตร) แจ้งต่อศาลว่ามีข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร กับสำเนาคำร้องให้ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร อธิบดีกรมราชทัณฑ์และนายแพทย์ใหญ่รพ.ตำรวจ ชี้แจงข้อเท็จจริงต่อศาลฯ ดังกล่าวข้างต้น นับเป็นเรื่องที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก
ผลการไต่สวน จะออกมาเป็นอย่างไร ต้องติดตามดูกันต่อไป
แบบห้ามกะพริบตาโดยเด็ดขาด