“…การที่ผู้ฟ้องคดี (กรมที่ดิน) ได้ใช้สิทธิฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสาม ซึ่งเป็นทายาทของนาย ช. ต่อศาลเมื่อวันที่ 22 ก.ย.2558 จึงเป็นการใช้สิทธิเรียกร้องเมื่อพ้น 1 ปีนับแต่ผู้ฟ้องคดีได้รู้หรือควรรู้ถึงความตายของนาย ช. เจ้ามรดก และพ้นกำหนดอายุความ 10 ปี นับแต่วันที่นาย ช. เจ้ามรดกได้ถึงแก่ความตายตามมาตรา 1754 วรรคสาม และวรรคสี่ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ อุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามฟังขึ้น…”
.....................................
เป็นอีกคดีที่น่าสนใจ
เมื่อ ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ อผ.1507/2560 คดีหมายเลขแดงที่ อผ.36/2568 ซึ่งเป็นคดีที่ ‘กรมที่ดิน’ ยื่นฟ้อง ‘ทายาทโดยธรรมผู้มีสิทธิรับมรดก’ ของอดีตเจ้าหน้าที่ในสังกัดกรมการปกครองรายหนึ่ง ซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว กรณีร่วมกระทำการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงในการออก น.ส.3 ก. ทำให้กรมที่ดินได้รับความเสียหาย
โดยคดีนี้ ศาลปกครองสูงสุด พิพากษากลับคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น เป็นให้ ‘ยกฟ้อง’ ทายาทโดยธรรมฯ ของอดีตเจ้าหน้าที่ในสังกัดกรมการปกครองรายนี้ เนื่องจากการฟ้องคดีพ้นกำหนดอายุความ 10 ปี นับแต่วันที่อดีตเจ้าหน้าที่ฯรายดังกล่าว (เจ้ามรดก) ได้ถึงแก่ความตาย
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงขอนำเสนอ ‘ข้อเท็จจริง’ และ ‘คำวินิจฉัย’ ของศาลปกครองสูงสุดในคดีดังกล่าว มีรายละเอียดที่น่าสนใจ ดังนี้
@‘กรมที่ดิน’ฟ้อง‘ทายาท’เรียกค่าสินไหมฯ‘ทางละเมิด’
ศาลปกครองสูงสุดได้ตรวจพิจารณาพยานหลักฐานในคำฟ้อง คำให้การ คำคัดค้านคำให้การ คำให้การเพิ่มเติม คำอุทธรณ์ และคำและคำแก้อุทธรณ์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสาม (นางสาว ช. ,นาย ส. และนาย ป.) เป็นทายาทโดยธรรมผู้มีสิทธิรับมรดกของนาย ช เจ้าหน้าที่ในสังกัดกรมการปกครอง ซึ่งถึงแก่ความตาย เมื่อวันที่ 16 พ.ย.2543
โดยเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ สืบเนื่องจากบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย ยื่นฟ้องผู้ฟ้องคดี (กรมที่ดิน) กับพวกรวม 4 คน เป็นผู้ถูกฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลาง ในคดีหมายเลขดำที่ 775/2546 โดยอ้างว่าได้รับความเสียหายจากการที่รองอธิบดีกรมที่ดินซึ่งอธิบดีกรมที่ดินมอบหมาย มีคำสั่งที่ 2254/2545 ลงวันที่ 16 ต.ค.2545
เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 90 เลขที่ 91 เลขที่ 92 และเลขที่ 95 ต.ไทรโยค อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี
เนื่องจากเป็น น.ส. 3 ก. ที่ออกโดยคลาดเคลื่อนไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยไม่ได้ดำเนินการตรวจพิสูจน์ที่ดินตามข้อ 10 (3) ของกฎกระทรวง ฉบับที่ 43 (พ.ศ.2533) ออกตามความใน พ.ร.บ.ให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 ซึ่งใช้หลักฐาน ส.ค. ของที่ดินแปลงอื่นมาเป็นหลักฐานในการออก น.ส. 3 ก. และไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ผู้ขอมีสิทธิในที่ดินตามมาตรา 59 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน
เป็นเหตุให้บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย ซึ่งเป็นผู้รับโอนสิทธิจำนองที่ดินดังกล่าวได้รับความเสียหาย โดยไม่อาจบังคับจำนองเอาแก่ที่ดินทั้ง 4 แปลงดังกล่าวได้
ต่อมา ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาเป็นคดีหมายเลขดำที่ อ.947/2551 หมายเลขแดงที่ อ.123/255 พิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลปกครองกลาง เป็นให้ผู้ฟ้องคดี (กรมที่ดิน) ชำระค่าสินไหมทดแทนแก่บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยเป็นเงินจำนวน 9,320,750 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินจำนวนดังกล่าวนับตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
ผู้ฟ้องคดี (กรมที่ดิน) ได้นำเงินจำนวน 17,402,989.38 บาท ไปวางต่อสำนักงานศาลปกครองกลางเมื่อวันที่ 24 ธ.ค.2557 เพื่อชำระค่าสินไหมทดแทนในส่วนของต้นเงินและดอกเบี้ยตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดแก่บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย เป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหายในส่วนที่ต้องชำระค่าสินไหมทดแทนให้แก่บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย ซึ่งต้องพิจารณาไล่เบี้ยจากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง
ผู้ฟ้องคดี (กรมที่ดิน) จึงมีหนังสือ ลับ ที่ มท 0505.3/795 ลงวันที่ 16 ก.ค.2557 แจ้งให้จังหวัดกาญจนบุรี นำคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสูงสุดดังกล่าว ไปพิจารณาประกอบกับสำนวนการสอบสวนของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดอีกครั้ง เพื่อวินิจฉัยสั่งการความรับผิดทางละเมิด
แล้วรายงานให้กรมบัญชีกลางพิจารณาตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539
ต่อมา จังหวัดกาญจนบุรีมีหนังสือ ที่ กจ 0020.4/16784 ลงวันที่ 24 ก.ย.2557 รายงานผลการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดให้กรมบัญชีกลางทราบว่า คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดตามคำสั่งจังจังหวัดกาญจนบุรี ที่ 2002/2555 ลงวันที่ 3 ต.ค.2555 ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า
ความเสียหายในมูลละเมิดดังกล่าว เกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ในสังกัดของผู้ฟ้องคดี (กรมที่ดิน) ร่วมกับ นาย ช. เจ้าหน้าที่ในสังกัดกรมการปกครอง ผู้ลงนามในการออก น.ส. 3 ก. ดังกล่าว กระทำการประมาทเลินเล่อทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหายในส่วนที่ต้องชำระค่าสินไหมทดแทนแก่บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยเป็นเงิน 9,320,750 บาท
กรณีดังกล่าวมีเจ้าหน้าที่ผู้กระทำละเมิดจำนวน 3 ราย จึงต้องร่วมกันรับผิดในค่าเสียหายจำนวนดังกล่าว โดยในส่วนของนาย ช. ต้องรับผิดเป็นเงิน 3,106,916.67 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ผู้ฟ้องคดีได้จ่ายไป
ต่อมา กระทรวงการคลังมีหนังสือ ที่ กค 0410.3/15664 ลงวันที่ 21 ก.ค.2558 แจ้งผลการพิจารณาความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ว่า ความเสียหายดังกล่าว สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 3 ก.ย.2539 ผู้ฟ้องคดี (กรมที่ดิน) ได้ออก น.ส.3 ก. เลขที่ 90 เลขที่ 91 เลขที่ 92 และเลขที่ 95 ต.ไทรโยค อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี ให้แก่นาย ส. จากหลักฐาน ส.ค.1 เลขที่ 32 เลขที่ 1333 เลขที่ 145 และเลขที่ 8 หมู่ที่ 3 ต.ลุ่มสุ่ม อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี
โดยที่ดินอยู่ในตำบลที่มีพื้นที่ที่จำแนกให้เป็นเขตป่าไม้ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรี แต่มิได้ดำเนินการตรวจพิสูจน์ที่ดินตามข้อ 10 (3) ของกฎกระทรวง ฉบับที่ 43 (พ.ศ.2537) ออกตามความใน พ.ร.บ.ให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497
นอกจากนี้ ที่ดินทั้ง 4 แปลงดังกล่าว ตั้งอยู่ ต.ไทรโยค แต่ที่ดินตามหลักฐาน ส.ค.1 ที่นำมาใช้ในการออก น.ส.3 ก. นั้น ตั้งอยู่ที่ 3 ต.ลุ่มสุ่ม จึงเป็นการออก น.ส. 3 ก. ผิดตำบล หมู่บ้าน ไม่ตรงตำแหน่งที่ดิน เนื่องจากที่ดินหมู่ที่ 3 ต.ลุ่มสุ่ม ได้ยุบและแยกไปตั้งเป็นอีกพื้นที่หนึ่งของ ต.ท่าเสา และ ต.วังกระแจะแล้ว พื้นที่หมู่ที่ 3 เดิมจึงหมดไป ไม่มีการแยกออกไปเป็นหมู่ที่ 5 ต.ไทรโยค ตามพื้นที่ที่ออก น.ส. 3 ก. แต่อย่างใด ซึ่งพื้นที่หมู่ที่ 5 ต.ไทรโยค ก็แยกมาจากหมู่ที่ 1 ต.ไทรโยค ไม่ได้แยกมาจากหมู่ที่ 3 ต.ลุ่มสุ่ม เช่นกันกัน
การออก น.ส. 3 ก. ดังกล่าว จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย รองอธิบดีกรมที่ดินซึ่งอธิบดีกรมที่ดินมอบหมาย จึงมีคำสั่งที่ 2254/2545 ลงวันที่ 16 ต.ค.2545 เพิกถอน น.ส. 3 ก. ในที่ดินทั้ง 4 แปลงดังกล่าว เป็นเหตุให้บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยในฐานะผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องในมูลหนี้จำนองโดยสุจริตไม่อาจบังคับจำนองได้ ซึ่งผู้ฟ้องคดี (กรมที่ดิน) ต้องชดใช้เงินแก่บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด
และเมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงประกอบคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดแล้วเห็นว่า ดอกเบี้ยในชั้นศาลปกครองสูงสุด เป็นค่าเสียหายที่เพิ่มขึ้นจากการดำเนินคดีในชั้นศาลปกครองสูงสุด จึงให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องรับผิดเฉพาะเงินกึ่งหนึ่งของเงินจำนวน 9,320,750 บาท คิดเป็นเงินจำนวน 4,660,375 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินจำนวนดังกล่าว นับตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนถึงวันที่ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษา
โดยในส่วนของนาย ช. ตำแหน่งปลัดอำเภอ รักษาราชการแทนนายอำเภอไทรโยค ในขณะนั้น เป็นผู้พิจารณาลงนามอนุมัติให้ออก น.ส. 3 ก. ที่พิพาท ซึ่งนาย ช. จะต้องตรวจสอบให้แน่ชัดเสียก่อนว่า ที่ดินแปลงที่ผู้ขอนำรังวัดที่พิสูจน์สอบสวนการทำประโยชน์เพื่อออก น.ส. 3 ก. นั้น เป็นที่ดินแปลงเดียวกันกับที่ดิน ส.ค.1 ที่นำมายื่นคำขอออก น.ส. 3 ก.
หากนาย ช. ตรวจสอบเอกสารหลักฐานแล้ว ย่อมจะพบว่าหลักฐาน ส.ค.1 ที่นาย ส. นำมาใช้เป็นหลักฐานในการออก น.ส. 3 ก. นั้น เป็นที่ดินคนละแปลงกับที่นายไสวขอออก น.ส. 3 ก. เนื่องจากหลักฐาน ส.ค. 1 ที่นำมายื่นคำขอเป็น ต.ลุ่มสุ่ม แต่นาย ช. ไม่ใช้ความระมัดระวังในการตรวจสอบ
กลับอนุมัติให้ออก น.ส. 3 ก. ใน ต.ไทรโยค ซึ่งไม่ชอบด้วยกฎหมายและระเบียบที่จะออก น.ส. 3 ก. ให้ได้ ทำให้รองอธิบดีกรมที่ดินซึ่งอธิบดีกรมที่ดินมอบหมายมีคำสั่งเพิกถอน น.ส. 3 ก. ของที่ดินทั้ง 4 แปลงดังกล่าว เป็นเหตุให้บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยได้รับความเสียหาย และผู้ฟ้องคดีต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย
พฤติการณ์ถือได้ว่านาย ช. กระทำการโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง จึงให้นาย ช. รับผิดชอบชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในอัตราร้อยละ 30 ของค่าเสียหายดังกล่าว พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินจำนวนดังกล่าวนับตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนถึงวันที่ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษา ตามนัยมาตรา 8 แห่ง พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539
แต่เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า นาย ช. ถึงแก่ความตายแล้ว จึงให้ผู้ฟ้องคดี (กรมที่ดิน) ใช้สิทธิเรียกร้องแก่กองมรดกหรือทายาทของนาย ช. ในฐานะผู้รับมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ต่อไป
ผู้ฟ้องคดีจึงมีหนังสือกรมที่ดิน ที่ มท 0505.3/20940 หนังสือกรมที่ดินที่ มท 0505.3/20949 และหนังสือกรมที่ดิน ที่ มท 0505.3/20950 ลงวันที่ 1 ก.ย.2558 เรียกให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (นางสาว ช.) ที่ 2 (นาย ส.) และที่ 3 (นาย ป.) ตามลำดับ ในฐานะทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของ นาย ช. ชำระเงินค่าสินไหมทดแทนจำนวน 1,953,718.59 บาท แก่ผู้ฟ้องคดี
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามได้รับหนังสือดังกล่าวแล้วเมื่อวันที่ 3 ก.ย.2558 แต่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามเพิกเฉย ผู้ฟ้องคดี (กรมที่ดิน) จึงนำคดีมาฟ้องต่อศาลเมื่อวันที่ 22 ก.ย.2558
ศาลปกครองชั้นต้นพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน 1,953,718.59 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 1,953,718.59 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ฟ้องคดี แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินกว่าราคาทรัพย์มรดกที่ตกทอดแก่ตน โดยให้ชำระให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน นับแต่วันที่คดีถึงที่สุด และคืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดแก่ผู้ฟ้องคดี
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามไม่เห็นพ้องด้วย จึงยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นต่อศาลปกครองสูงสุด
@ศาลปค.สูงสุด‘ยกฟ้อง’เหตุฟ้องคดีพ้นอายุความ 10 ปี
ศาลปกครองสูงสุดได้ตรวจพิจารณากฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับที่เกี่ยวข้องประกอบด้วยแล้ว
คดีมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามว่า ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสาม ในฐานะทายาทโดยธรรมของนาย ช. ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ฟ้องคดี (กรมที่ดิน) หรือไม่ โดยมีปัญหาที่ต้องพิจารณาก่อนว่า ผู้ฟ้องคดีใช้สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามในฐานะทายาทโดยธรรมของนาย ช. ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดหรือไม่
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ....คดีนี้ข้อเท็จจริงปรากฏว่า บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) ยื่นฟ้องกระทรวงมหาดไทย ที่ 1 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ 2 กรมที่ดิน (ผู้ฟ้องคดี) ที่ 3 อธิบดีกรมที่ดินที่ 4 ต่อศาลปกครองกลาง ขอให้เพิกถอนคำสั่งที่ 2254/2545 ลงวันที่ 16 ต.ค.2545 ที่เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 90 เลขที่ 91 เลขที่ 92 และเลขที่ 95 ต.ไทรโยค อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี หากศาลไม่เพิกถอน น.ส. 3 ก. ทั้ง 4 แปลงดังกล่าว ขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 9,320,759 บาท พร้อมดอกเบี้ย
คดีถึงที่สุด โดยศาลปกครองสูงสุดพิพากษาให้ผู้ฟ้องคดี (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ในคดีดังกล่าว) รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) เป็นเงินจำนวน 9,320,759 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินจำนวนดังกล่าวนับตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
หลังจากนั้น เมื่อวันที่ 24 ธ.ค.2557 ผู้ฟ้องคดี (กรมที่ดิน) นำเงินจำนวน 17,402,989.38 บาท ไปวางศาลเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษา จึงเป็นกรณีที่ผู้ฟ้องคดี ในฐานะหน่วยงานของรัฐได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายในผลแห่งการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ต่อบุคคลภายนอกในการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 5 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539
ดังนั้น ผู้ฟ้องคดี (กรมที่ดิน) จึงมีสิทธิเรียกให้เจ้าหน้าที่ผู้ทำละเมิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวให้แก่ผู้ฟ้องคดีได้ตามมาตราวรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าว โดยผู้ฟ้องคดีจะต้องใช้สิทธิเรียกร้องภายในกำหนดอายุความ 1 ปีนับแต่วันที่ผู้ฟ้องคดีได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เสียหายตามมาตรา 9 แห่ง พ.ร.บ.เดียวกัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อการใช้สิทธิเรียกร้องดังกล่าวมีลักษณะเป็นการใช้สิทธิเรียกร้องไล่เบี้ยแก่เจ้าหน้าที่ แต่ปรากฏว่านาย ช. ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ ที่ผู้ฟ้องคดี (กรมที่ดิน) เห็นว่าปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงและต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ฟ้องคดีนั้น ได้เสียชีวิตแล้วตั้งแต่วันที่ 16 พ.ย.2543
จึงเป็นกรณีที่เจ้าหน้าที่ผู้จะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดีได้ถึงแก่ความตาย ซึ่งเป็นเหตุให้ความรับผิดของเจ้าหน้าที่ ในอันที่จะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่หน่วยงานของรัฐ เป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทของเจ้าหน้าที่ทันทีที่เจ้าหน้าที่ผู้นั้นถึงแก่ความตาย ตามมาตรา 1599 วรรคหนึ่ง และมาตรา 1600 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
หน่วยงานของรัฐ จึงไม่อาจใช้สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากทายาทของเจ้าหน้าที่โดยอาศัยอายุความตามมาตรา 9 แห่ง พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 ได้
แต่จะต้องใช้สิทธิเรียกร้องจากทายาทของเจ้าหน้าที่ภายในกำหนดอายุความ 1 ปีนับแต่วันที่หน่วยงานของรัฐได้รู้ถึงความตายของเจ้าหน้าที่ และภายใน 10 ปีนับแต่วันที่เจ้าหน้าที่ได้ถึงแก่ความตาย ตามมาตรา 1754 วรรคสาม และวรรคสี่ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ผู้ฟ้องคดี (กรมที่ดิน) ได้มีคำสั่งที่ 2668/2552 ลงวันที่ 24 ธ.ค.2552 แต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดกรณีดังกล่าว ซึ่งต่อมาผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือที่ มท 0505.3/389 ลงวันที่ 6 พ.ค.2553 รายงานผลการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดต่ออธิบดีกรมบัญชีกลางว่า
มีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการออก น.ส. 3 ก. เลขที่ 90 เลขที่ 91 เลขที่ 92 และเลขที่ 95 ต.ไทรโยค อ.ไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี โดยมิชอบด้วยกฎหมาย จำนวน 4 คน โดย 1 ใน 4 คน คือ นาย ช. ได้ถึงแก่ความตายแล้ว ตั้งแต่วันที่ 16 พ.ย.2543
กรณีจึงถือได้ว่า วันที่ 6 พ.ค.2553 คือ วันที่ผู้ฟ้องคดีได้รู้หรือควรได้รู้ถึงความตามของนาย ช.
การที่ผู้ฟ้องคดี (กรมที่ดิน) ได้ใช้สิทธิฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสาม ซึ่งเป็นทายาทของนาย ช. ต่อศาลเมื่อวันที่ 22 ก.ย.2558 จึงเป็นการใช้สิทธิเรียกร้องเมื่อพ้น 1 ปีนับแต่ผู้ฟ้องคดีได้รู้หรือควรรู้ถึงความตายของนาย ช. เจ้ามรดก และพ้นกำหนดอายุความ 10 ปี นับแต่วันที่นาย ช. เจ้ามรดกได้ถึงแก่ความตายตามมาตรา 1754 วรรคสาม และวรรคสี่ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ อุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามฟังขึ้น
การที่ผู้ฟ้องคดี (กรมที่ดิน) กล่าวอ้างว่า การใช้สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากทายาทของเจ้าหน้าที่ในคดีนี้ต้องใช้อายุความตามมาตรา 9 แห่ง พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 จึงไม่อาจรับฟังได้ ทั้งนี้ ตามนัยคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 216/2563 (ประชุมใหญ่) คำสั่งที่ 217/2563 (ประชุมใหญ่) คำสั่งที่ 277/2563 (ประชุมใหญ่) คำสั่งที่ 119/2563 (ประชุมใหญ่) คำสั่งที่ คผ.38/2563 (ประชุมใหญ่) และคำสั่งที่ 23/2568
เมื่อคดีนี้เป็นคดีที่ผู้ฟ้องคดี (กรมที่ดิน) ประสงค์เรียกร้องเงินค่าสินไหมทดแทนจากผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสาม การฟ้องคดีจึงเป็นประโยชน์เฉพาะแก่ผู้ฟ้องคดีโดยตรง มิได้เป็นการฟ้องคดีเพื่อประโยชน์แก่ส่วนรวม อีกทั้งไม่ปรากฏว่ามีเหตุใดๆเป็นอุปสรรคขัดขวางที่จะทำให้ผู้ฟ้องคดีไม่สามารถยื่นฟ้องภายในกำหนดเวลาการฟ้องคดีตามกฎหมาย
กรณีจึงไม่มีเหตุให้ศาลจะต้องรับคำฟ้องของผู้ฟ้องคดีไว้พิจารณาได้ ตามมาตรา 52 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 และข้อ 30 วรรคสอง แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2543 แม้ศาลปกครองชั้นต้นจะรับคำฟ้องนี้ไว้พิจารณาและดำเนินกระบวนพิจารณาต่อมาจนมีคำพิพากษา
และการที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายกฟ้อง เพราะเหตุเงื่อนไขการฟ้องคดี ย่อมมีผลเท่ากับศาลมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณา จึงต้องคืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดให้แก่ผู้ฟ้องคดี และคืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดแก่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสาม ส่วนอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามในประเด็นอื่นไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป จึงไม่จำต้องวินิจฉัยอีก
“การที่ศาลปกครองชั้นต้นพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน จำนวน 1,953,718.59 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 1,953,718.59 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ฟ้องคดี
แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินกว่าราคาทรัพย์มรดกที่ตกทอดแก่ตน โดยให้ชำระให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน นับแต่วันที่คดีถึงที่สุด และคืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดแก่ผู้ฟ้องคดี นั้น ศาลปกครองสูงสุดไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษากลับคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น เป็นให้ยกฟ้อง คืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดแก่ผู้ฟ้องคดี และคืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดแก่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสาม” คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขดำที่ อผ.1507/2560 คดีหมายเลขแดงที่ อผ.36/2568 ลงวันที่ 4 ก.พ.2568 ระบุ