ความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นของกองกำลัง UWSA เป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคงโดยตรงสำหรับไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกิจกรรมของกลุ่มติดอาวุธกระจายข้ามพรมแดน ในขณะที่ประเทศไทยพยายามจัดการความสัมพันธ์กับเมียนมาทางการทูต แต่ก็ต้องเผชิญกับแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นในการรักษาความปลอดภัยชายแดนและจัดการกับการค้ายาเสพติดที่เล็ดลอดออกมาจากพื้นที่ควบคุมของเมียนมา
สัปดาห์ที่แล้ว ประเทศไทยต้องเผชิญกับความตึงเครียดกับกลุ่มว้าแดง โดยทางประเทศไทยต้องการให้กลุ่มนี้ถอนค่ายทหารจำนวนเก้าแห่งออกไป ทว่ากลุ่มว้าแดงกลับไม่ตอบสนองและเรียกร้องให้มีการเจรจาทวิภาคี ทำให้ยังไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะมีบทสรุปอย่างไร
จากกรณีดังกล่าว สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงได้นำเอารายงานของสำนักข่าว NPNewsmm ของเมียนมาที่บอกเล่าถึงเบื้องหลังปัญหาระหว่างไทยและกลุ่มว้า รวมไปถึงปัญหาของกลุ่มว้านี้จะส่งผลกระทบในแง่ลบต่อเมียนมาอย่างไร มานำเสนอ มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
คำเตือนล่าสุดจากทางการไทย เรียกร้องให้มีการย้ายค่ายของกองกำลังสหรัฐว้า (UWSA) จำนวนเก้าแห่งตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา เรื่องนี้กลายเป็นความท้าทายในภูมิภาค ประเด็นเรื่องปัญหายาเสพติดและปัญหาความชัดแย้งทางชาติพันธุ์ภายในประเทศเมียนมา
ขณะที่ทางกองทัพไทยเองก็ได้มีการกำหนดเส้นตายเอาไว้ว่าภายในวันที่ 18 ธ.ค. UWSA ต้องมีการรื้อถอนค่ายทหารออกให้หมด ท่าทีนี้ทำให้เกิดความกังวลขึ้นระหว่างไทยและเมียนมา ซึ่งนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ไทยได้ดำเนินการเรียกร้องออกมาในลักษณะนี้ แต่ว่าการเรียกร้องครั้งนี้มีความแตกต่างตรงที่ว่าเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ความตึงเครียดระหว่างกองกำลัง UWSA กับกองกำลังชายแดนไทยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
@เบื้องหลังเรื่องนี้
ความมั่งคั่งของ UWSA ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีอำนาจเริ่มมาจากในช่วงปลาย ค.ศ.1960 หลังจากกลุ่มย้ายมาจากพรรคคอมมิวนิสต์เมียนมา (CPB) ในปี ค.ศ.1989 เพื่ออกมาจัดตั้งพรรครัฐสหภาพว้า (UWSP) และกองกำลังติดอาวุธของตัวเองก็คือ UWSA กลุ่มนี้ได้เข้าควบคุมพื้นที่ปกครองตนเองของกลุ่มว้า ในรัฐฉาน โดยมีเป้าหมายถึงขึ้นว่าจะมีเอกราชและมีอิสระเต็มรูปแบบ
กลุ่มว้านี้ถือเป็นกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดในเมียนมา มีกำลังพล 30,000 นาย แต่ว่าตามข้อมูลสถิติที่แสดงโดยแหล่งข่าวในรัฐฉานระบุว่ากลุ่มว้าที่ทหารถึง 80,000 นาย แน่นอนว่ากลุ่ม UWSA จึงเป็นผู้เล่นหลักในความขัดแย้งกลุ่มชาติพันธุ์เมียนมาที่มีความซับซ้อน
แสนยานุภาพกองทัพว้า (อ้างอิงวิดีโอจาก Ed Nash's Military Matters)
ในปี 2560 กลุ่ม UWSA เสนอแบบจำลองการปกครองในรูปแบบของสมาพันธ์ ในการประชุมสันติภาพศตวรรษปางหลงครั้งที่ 21 แสวงหาการกําหนดพื้นที่ปกครองตนเองและการควบคุมกองกําลังความมั่นคงในท้องถิ่นจนกว่าจะมีการจัดตั้งระบบของรัฐบาลกลาง ข้อเสนอดังกล่าวยังเรียกร้องให้มีกรอบความมั่นคงที่กองทัพชาติพันธุ์จะปกป้องรัฐปกครองตนเอง
ความคิดริเริ่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมการเจรจาและให้คําปรึกษาทางการเมืองของรัฐบาลกลาง (FPNCC) โดยคณะกรรมการนี้ประกอบไปด้วยแนวร่วมติดอาวุธชาติพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดของเมียนมา ซึ่งนําโดยกลุ่ม UWSA สำหรับกลุ่มติดอาวุธอื่นๆใน FPNCC ประกอบด้วยกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์มากกว่าครึ่งหนึ่งของเมียนมา โดยมีอิทธิพลตั้งแต่แม่น้ำโขงไปจนถึงอ่าวเบงกอล
ภูมิภาคว้ามีบทบาทอย่างยิ่งในการค้ายาเสพติด โดยในพื้นที่ซึ่งควบคุมโดย UWSA มีชื่อเสียงมานานแล้วในด้านการมีส่วนร่วมในการผลิตและการค้ายาเสพติดที่ผิดกฎหมาย กองกำลังพิเศษด้านต่อต้านยาเสพติดของไทยรายงานข้อมูลยาเสพติดผิดกฎหมายที่เข้าไทย ซึ่งพบว่ามีสัดส่วนที่สูงที่มีต้นทางมาจากภูมิภาคที่ควบคุมโดยกลุ่มว้า
ความกังวลด้านความมั่นคงที่ทวีความรุนแรงขึ้นตามแนวชายแดน การใช้พื้นที่เหล่านี้เพื่อการผลิตและการค้ายาเสพติดที่เพิ่มขึ้นทําให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและเมียนมาตึงเครียดตามไปด้วย
ประเด็นเรื่องความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-เมียนมา: ประเทศไทยมีความกังวลมานานแล้วเกี่ยวกับการปรากฏตัวขอกลุ่ม UWSA ซึ่งก่อนหน้านี้คำขอให้มีการถอนค่ายทหารกลุ่มว้าไม่ได้รับการตอบสนอง ทว่าคำขอล่าสุดนั้นดูเหมือนว่าเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ความมั่นคงระดับภูมิภาคที่กว้างขึ้น
@ประเด็นหลักเรื่องอำนาจอธิปไตนกับเอกราช
กลุ่ม UWSA ดูเหมือนมีความไม่เต็มใจที่จะมีส่วนร่วมในกระบวนการสันติภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปฏิเสธที่จะลงนามในข้อตกลงหยุดยิงทั่วประเทศ (NCA) นี่สะท้อนให้เห็นความต้องการของกลุ่มที่จะคงไว้ซึ่งอำนาจในการปกครองตนเองและหลีกเลี่ยงข้อยินยอมที่จะบ่อนทำลายอำนาจของตัวเอง
กลุ่มนี้ไม่เพียงแต่ต่อสู้เพื่อการควบคุมท้องถิ่นที่ตัวเองปกครองเท่านั้น แต่ยังมุ่งมั่นเพื่อการตัดสินใจด้วยตนเองและความเป็นอิสระ
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลเมียนมามองข้อเรียกร้องเหล่านี้ผ่านแง่มุมของความสามัคคีของชาติและบูรณภาพแห่งดินแดน ทำให้การเจรจายากลําบาก
ความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นของกองกำลัง UWSA เป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคงโดยตรงสำหรับไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกิจกรรมของกลุ่มติดอาวุธกระจายข้ามพรมแดน ในขณะที่ประเทศไทยพยายามจัดการความสัมพันธ์กับเมียนมาทางการทูต แต่ก็ต้องเผชิญกับแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นในการรักษาความปลอดภัยชายแดนและจัดการกับการค้ายาเสพติดที่เล็ดลอดออกมาจากพื้นที่ควบคุมของเมียนมา
สถานการณ์มีความซับซ้อนมากขึ้นเนื่องจากอิทธิพลของ UWSA ที่มีต่อกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์อื่นๆ ในเมียนมา ซึ่งหลายแห่งมีความปรารถนาที่คล้ายคลึงกันในการปกครองตนเองหรือสหพันธรัฐมากขึ้น
@ภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกทางการทูตและความมั่นคง
แรงกดดันต่อไทยให้ดําเนินการต่อต้านค่าย UWSA มีรากฐานมาจากความกังวลด้านความมั่นคง แต่ก็เน้นย้ำถึงพลวัตในภูมิภาคที่กว้างขึ้น ลําดับความสําคัญด้านความมั่นคงของไทยถูกกําหนดโดยความปรารถนาที่จะต่อสู้กับอาชญากรรมข้ามชาติ ป้องกันความขัดแย้งทางอาวุธไม่ให้ลุกลามข้ามพรมแดน และรักษาเสถียรภาพในภูมิภาค ในขณะเดียวกันความขัดแย้งภายในของเมียนมาซึ่งมีลักษณะเฉพาะด้วยการก่อความไม่สงบทางชาติพันธุ์และการแสวงหาเอกราชทําให้การแก้ปัญหาที่ตรงไปตรงมาซับซ้อนขึ้น
ขีดความสามารถทางทหารที่เพิ่มขึ้นของ UWSA ,พันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์อื่น ๆ และการต่อต้านการแก้ปัญหาของรัฐบาลกลาง ทั้งหมดทำให้ความพยายามสร้างสันติภาพเป็นเรื่องซับซ้อนมากขึ้น
รัฐบาลเมียนมาเผชิญกับการต่อสู้ที่ยากลําบากในการจัดการกับ UWSA เนื่องจากการยอมรับข้อเรียกร้องในการปกครองตนเองอาจเป็นแบบอย่างให้กับกลุ่มติดอาวุธอื่น ๆ และทําให้ประเทศแตกแยกมากขึ้น
ข่าวปัญหาความขัดแย้งพรมแดนระหว่างไทยกับกลุ่มว้า ในสื่อเมียนมา (อ้างอิงวิดีโอจาก PA-O Media)
@มุมมองต่างกัน
มุมมองของกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์ของเมียนมาว่าคิดเห็นอย่างไร ถูกกําหนดโดยข้อเรียกร้องอย่างต่อเนื่องในการสร้างระบบสหพันธรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาพันธรัฐ ซึ่งจะให้อิสระในการปกครองและควบคุมอํานาจตุลาการ หากรัฐบาลเมียนมาตอบสนองความต้องการเหล่านี้ อาจอนุญาตให้กลุ่มชาติพันธุ์ขยายกองกําลังทหารและรักษาอาวุธ ดังนั้นนี่จึงทำให้ความพยายามในการรักษาความมั่นคงและเสถียรภาพของชาติซับซ้อนขึ้น กลุ่มเหล่านี้มักยืนกรานที่จะเจรจาโดยตรงกับรัฐบาลเพื่อรักษาความเป็นอิสระดังกล่าว ข้อเรียกร้องของพวกเขามีแนวโน้มที่จะยังคงมีอยู่ ซึ่งเป็นความท้าทายต่อกระบวนการสันติภาพ
ด้วยความซับซ้อนเหล่านี้ รัฐบาลเมียนมาจึงต้องเผชิญกับการตัดสินใจที่ยากลําบากว่าจะตกลงให้สหพันธรัฐแก่กลุ่มชาติพันธุ์หรือไม่ จําเป็นต้องมีการวิเคราะห์อย่างรอบคอบและละเอียดถี่ถ้วนเพื่อชั่งน้ำหนักผลประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้นจากสันติภาพและเอกราชกับความเสี่ยงของการแตกแยกและความไม่มั่นคงเพิ่มเติม ท้ายที่สุดแล้ว รัฐบาลต้องกําหนดแนวทางที่สร้างสมดุลระหว่างความต้องการของประเทศในด้านเสถียรภาพและความมั่นคงกับความต้องการในการปกครองตนเองของชาติพันธุ์ได้ดีที่สุด
เรียบเรียงจาก:https://npnewsmm.com/news/674d383eb14d8d0db61febc5