“…ในกรณีที่คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล ศาลอาจใช้ดุลพินิจในการเลื่อนคดี หรือจำหน่ายคดีชั่วคราว เมื่อคู่ความยื่นคำร้องว่า ฐานความผิดที่จำเลยถูกดำเนินคดีเข้าข่ายคดีที่อาจได้รับการนิรโทษกรรมตามรายงานฉบับนี้ และศาลอาจใช้ดุลพินิจพิจารณาปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยในระหว่างนี้…”
พลันที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร (สส.) มีมติคว่ำ ‘ข้อสังเกต’ รายงานผลการศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรม ของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพ.ร.บ.นิรโทษกรรม สภาผู้แทนราษฎร เสียงถอนหายใจในสภา-รั้วทำเนียบก็ลากยาว
การไม่เห็นด้วยกับ ‘ข้อสังเกต’ ก็เท่ากับเล่มรายงานการศึกษาแนวทางนิรโทษกรรม ชุดคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ นิรโทษ ที่ทุ่มกำลังกาย-พลังสมองตลอดการประชุมทั้งหมด 19 ครั้ง กว่า 6 เดือน โดนปัดตกไปทั้งฉบับ แท้งก่อนส่งถึงมือคณะรัฐมนตรี-รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) เปิดข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาแนวทางการนิรโทษกรรมฉบับที่ประชุมสภาฯ ไม่เห็นด้วย ประกอบด้วย 9 ข้อ ดังนี้
คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ได้พิจารณาศึกษาแล้วเห็นว่าควรมีข้อสังเกตที่คณะรัฐมนตรี สำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ ควรรับทราบหรือควรปฏิบัติไว้ในรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อให้ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญมีข้อสังเกตว่า
9.1 สังคมไทยอยู่ในความขัดแย้งมานาน การนิรโทษกรรมจึงเป็นความความจำเป็นเร่งด่วนอันจะนำมาซึ่งความปรองดองสมานฉันท์และทำให้สังคมกลับคืนสู่สภาพปกติ คณะกรรมาธิการวิสามัญจึงมีข้อสังเกตว่า
@ ชง ครม.คลอด พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ด่วน
คณะรัฐมนตรีควรพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อนำไปเป็นแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมโดยเร็ว พร้อมทั้งออกนโยบายและมาตรการที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม และแจ้งผลของการพิจารณาหรือการปฏิบัติตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญมายังที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร จากนั้นให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรแจ้งผลดังกล่าวไปยังคณะกรรมาธิการสามัญทั้งสามสิบห้าคณะเพื่อติดตามผลการปฏิบัติตามมติของสภาต่อไป
9.2 ข้อมูลสถิติคดีจากหน่วยงานของรัฐ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมเป็นข้อมูลสถิติโดยรวมของคดีความผิดในปีนั้น ๆ ว่ามีการฟ้องร้องคดีในฐานความผิดใดบ้าง ไม่ได้แยกเป็นการเฉพาะว่าคดีใดเป็นคดีความผิดอันเนื่องมาจากแรงจูงใจทางการเมือง จึงทำให้ตัวเลขจำนวนคดีนั้นมีจำนวนมาก ไม่สอดคล้องกับจำนวนผู้กระทำความผิดอันเนื่องมาจากการกระทำที่เกิดจากแรงจูงใจทางการเมือง
ประกอบกับในหน่วยงานของรัฐแต่ละหน่วยงานมีการจัดเก็บสถิติคดีที่แตกต่างกัน บางหน่วยงานข้อมูลสถิติไม่ได้มีการจัดเก็บรวมในส่วนกลางจะเป็นข้อมูลที่อยู่ในแต่ละพื้นที่กระจายไปทั่วประเทศ บางหน่วยงานมีหน่วยงานภายในที่จัดเก็บข้อมูลหลายหน่วยงานแต่มีข้อมูลที่ไม่ตรงกัน
นอกจากนี้ข้อมูลที่จัดเก็บยังเป็นการจัดเก็บแบบรายคดี ทำให้ไม่สามารถทราบว่าคดีดังกล่าวมีจำนวนผู้ที่กระทำผิดเท่าใด และเป็นการกระทำที่เกิดจากแรงจูงใจทางการเมืองหรือไม่ และการจะลงไปศึกษาเป็นรายคดีเพื่อให้ชัดเจนว่าคดีใดเป็นคดีที่เป็นการกระทำที่เกิดจากแรงจูงใจทางการเมืองทำได้ยากเพราะสำนวนคดีมีจำนวนมาก
อย่างไรก็ตามข้อมูลสถิติดังกล่าวได้สะท้อนให้เห็นถึงลักษณะเฉพาะบางประการของกลุ่มชุมนุม ทำให้สามารถนำข้อมูลดังกล่าวมาประกอบการพิจารณาได้ว่า คดีใดเป็นคดีที่เป็นการกระทำที่เกิดจากแรงจูงใจทางการเมือง และข้อมูลที่ควรใช้เป็นหลักในการพิจารณา คือ ข้อมูลของสำนักงานศาลยุติธรรม เนื่องจากเป็นข้อมูลที่มีการรวบรวมสถิติไว้อย่างเป็นระบบ มีความชัดเจนพอสมควรและได้มีการฟ้องร้องเป็นคดีแล้ว อย่างไรก็ตาม ยังสมควรต้องสืบค้นจำนวนผู้กระทำความผิดในแต่ละฐานความผิดมาประกอบการพิจารณาด้วย
9.3 ฐานความผิดนั้นมีความยึดโยงกับการนิรโทษกรรมอย่างมีนัยสำคัญ กล่าวคือ ฐานความผิดนั้นสามารถเป็นกรอบในการพิจารณาว่า ฐานความผิดใดที่มีผลสืบเนื่องมาจากแรงจูงใจทางการเมือง ซึ่งจะเป็นแนวทางในการพิจารณาเรื่องการนิรโทษกรรม หรือการดำเนินการอื่นใดในการนี้ จึงควรพิจารณาฐานความผิดที่เกี่ยวเนื่องกับประเด็นการนิรโทษกรรมโดยความละเอียดรอบคอบพร้อมทั้งคำนึงถึงจำนวนคดีที่กระทำผิด จำนวนผู้กระทำความผิดในแต่ละคดี และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นตามมา
@ ม.110 - ม.112 ประเด็นอ่อนไหวทางการเมือง
อนึ่ง ที่ผ่านมาได้มีการตั้งคณะกรรมการเพื่อศึกษาเกี่ยวกับเรื่องการปรองดอง การสมานฉันท์และการนิรโทษกรรม มาหลายคณะก่อนหน้านี้แล้ว แต่คณะกรรมการที่ตั้งขึ้นเหล่านั้นไม่ได้มีการพิจารณาเกี่ยวกับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 110 และมาตรา 112 เนื่องจากเป็นประเด็นที่มีความอ่อนไหวทางการเมืองและเป็นเรื่องของความมั่นคงแห่งรัฐ
ดังนั้น ประเด็นฐานความผิดเกี่ยวกับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 110 และมาตรา 112 นั้น ยังคงเป็นประเด็นที่มีความอ่อนไหวอยู่
9.4 ความผิดต่อชีวิตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 (ฆ่าผู้อื่น) และมาตรา 289 (ฆ่าผู้อื่นโดยเหตุฉกรรจ์) คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาแล้วเห็นว่าความผิดดังกล่าว ไม่ได้เป็นคดีที่มีความอ่อนไหวทางการเมือง แต่เป็นการกระทำความผิดที่มีความรุนแรง และควรให้ผู้กระทำความผิดรับผิดชอบต่อการกระทำความเสียหายกับบุคคลภายนอก
ประกอบกับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติยังได้ส่งความเห็นมายังคณะกรรมาธิการวิสามัญว่า ประเภทความผิดที่สมควรได้รับการนิรโทษกรรมนั้น ต้องไม่เป็นความผิดที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง และที่กฎหมายระหว่างประเทศกำหนดว่าไม่ควรให้มีการนิรโทษกรรม จึงมีความเห็นว่าจะไม่นิรโทษกรรมให้กับผู้กระทำความผิดตามมาตราดังกล่าว ถึงแม้โดยหลักการเห็นว่า ไม่ควรนิรโทษกรรมผู้กระทำความผิดตามมาตรา 288 และ มาตรา 289
อย่างไรก็ดี มีการแสดงข้อกังวลว่า การจะนิรโทษกรรมคดีใดไม่ควรพิจารณาจากข้อหาเพียงอย่างเดียว เพราะอาจมีคดีที่ผ่านกระบวนการยุติธรรมที่ไม่ปกติ หรือถูกกลั่นแกล้งว่ากระทำความผิดตามมาตราดังกล่าว กล่าวคือ ผู้ถูกดำเนินคดีไม่มีเจตนา ไม่ได้กระทำผิด หรือไม่มีผู้เสียชีวิตจริง
ในกรณีนี้ควรให้มีการสืบพยานเพื่อให้ทราบว่าผู้ถูกดำเนินคดีเป็นผู้กระทำความผิดจริงหรือไม่ ถ้าผู้ถูกดำเนินคดีไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิดก็ควรให้สิทธิเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของคณะกรรมการนิรโทษกรรมเพื่อเป็นช่องทางหนึ่งในการอำนวยความยุติธรรม
@ เปิดช่อง พนักงานอัยการ-อสส.สั่งไม่ฟ้อง
9.5 สภาผู้แทนราษฎรควรมีข้อสังเกตไปยังคณะรัฐมนตรีซึ่งเป็นฝ่ายบริหารว่าในระหว่างที่ยังไม่มีการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม สมควรที่คณะรัฐมนตรีจะได้กำหนดนโยบายให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมดำเนินการตามกลไกของกฎหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบ เพื่อเป็นการอำนวยความยุติธรรม ดังต่อไปนี้
1.กรณีคดีอยู่ในชั้นสืบสวนสอบสวนเจ้าพนักงานสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือกรมสอบสวนคดีพิเศษ ให้เร่งรัดกระบวนการดังกล่าวเพื่อให้ได้ข้อสรุปสำนวน โดยพิจารณาจำแนกถึงมูลเหตุแห่งการกระทำความผิดว่า
- เป็นการกระทำที่เกิดจากแรงจูงใจทางการเมือง หรือ
- เป็นความผิดอาญาโดยเนื้อแท้ หรือ
- เป็นการกระทำที่เกิดจากแรงจูงใจทางการเมืองแต่มีฐานความผิดอื่นประกอบ
โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติและกรมสอบสวนคดีพิเศษอาจใช้อำนาจในการทำความเห็นต่อประเด็นสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องเสนอต่อพนักงานอัยการเพื่อพิจารณาต่อไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 140 ถึงมาตรา 147
2.กรณีที่คดีอยู่ในชั้นพิจารณาสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องคดีของพนักงานอัยการ ให้พนักงานอัยการพิจารณาว่าการฟ้องคดีอาญาจะไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณชน หรือจะมีผลกระทบต่อความปลอดภัยหรือความมั่นคงของชาติ หรือต่อผลประโยชน์อันสำคัญของประเทศหรือไม่ เพื่อเสนอต่ออัยการสูงสุดพิจารณาสั่งไม่ฟ้องตามพระราชบัญญัติองค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ.2553มาตรา 21 ที่บัญญัติว่า
“มาตรา 21 พนักงานอัยการมีอิสระในการพิจารณาสั่งคดีและการปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญและตามกฎหมายโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ถ้าพนักงานอัยการเห็นว่าการฟ้องคดีอาญาจะไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณชน หรือจะมีผลกระทบต่อความปลอดภัย
หรือความมั่นคงของชาติ หรือ ต่อผลประโยชน์อันสำคัญของประเทศ ให้เสนอต่ออัยการสูงสุด และอัยการสูงสุดมีอำนาจสั่งไม่ฟ้องได้
ทั้งนี้ ตามระเบียบที่สำนักงานอัยการสูงสุดกำหนด โดยความเห็นชอบของ ก.อ.ให้นำความในวรรคสองมาใช้บังคับกับกรณีที่พนักงานอัยการไม่ยื่นคำร้อง ไม่อุทธรณ์ ไม่ฎีกา ถอนฟ้อง ถอนคำร้อง ถอนอุทธรณ์ และถอนฎีกาด้วยโดยอนุโลม”เฉพาะในกรณีความผิดที่เป็นการกระทำที่เกิดจากแรงจูงใจทางการเมืองเท่านั้น
ในกรณีที่มีฐานความผิดทางอาญาโดยเนื้อแท้ หรือเป็นความผิดที่เป็นการกระทำที่เกิดจากแรงจูงใจทางการเมือง แต่มีฐานความผิดอื่นประกอบ อาทิ การทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย ก่อการร้าย ยาเสพติดให้โทษ ลักทรัพย์ หรือการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ให้ดำเนินการพิจารณาตามกระบวนการยุติธรรมโดยปกติ โดยคำนึงถึงเกณฑ์การประกันตัว ปล่อยตัวชั่วคราว และการจัดหาทนายให้แก่ผู้ต้องหา
@ ไฟเขียว ศาล ใช้ดุลพินิจจำหน่ายคดี-ปล่อยตัวชั่วคราว
3.ในกรณีที่คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล ศาลอาจใช้ดุลพินิจในการเลื่อนคดี หรือจำหน่ายคดีชั่วคราว เมื่อคู่ความยื่นคำร้องว่า ฐานความผิดที่จำเลยถูกดำเนินคดีเข้าข่ายคดีที่อาจได้รับการนิรโทษกรรมตามรายงานฉบับนี้ และศาลอาจใช้ดุลพินิจพิจารณาปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยในระหว่างนี้
นอกจากนี้ คณะกรรมาธิการวิสามัญมีข้อเสนอเกี่ยวกับการนิรโทษกรรม โดยอาศัยกลไกตามกฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบัน ในช่วงเริ่มต้นอาจนำไปใช้กับฐานความผิดที่เกี่ยวข้องกับการกระทำที่เกิดจากแรงจูงใจทางการเมืองที่มีสถิติคดีจำนวนมากและเป็นคดีที่ไม่เป็นประโยชน์กับสาธารณะ ดังนี้
- ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 โดยเฉพาะในช่วง พ.ศ.2563 ถึง พ.ศ. 2567 ที่มีคดีเกี่ยวกับกฎหมายดังกล่าวประมาณ 73,009 คดี ซึ่งเหตุที่มีคดีเป็นจำนวนมาก เพราะช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงเวลาการแพร่ระบาดของโรคติดต่อซึ่งเกิดจากไวรัสโคโรนา (COVID-19)
- ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยจราจรทางบก พ.ศ.2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ในส่วนที่เป็นความผิดลหุโทษที่มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือนหรือปรับไม่เกิน 10 ,000 บาท อาทิ กระทำด้วยประการใด ๆ บนทางอันเป็นการกีดขวางของจราจร หยุดรถหรือจอดรถในลักษณะที่เป็นการกีดขวางการจราจรในทางเดินรถ
- คดีที่มีฐานความผิดตามบัญชีท้ายร่างพระราชบัญญัติที่เป็นการกระทำที่เกิดจากแรงจูงใจทางการเมือง ที่มีลักษณะเป็น การกระทำเดียว กรรมเดียว อาทิ ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยทางหลวง พ.ศ.2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติมความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ.2535 ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อพ.ศ.2558 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558
@ คืนสิทธิทางการเมือง
9.6 หลักการของกฎหมายนิรโทษกรรมคือ การลืม การลืมความผิด การลืมความขัดแย้งที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต เพื่อให้แต่ละฝ่ายกลับมาอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุขและประเทศชาติสามารถพัฒนาต่อไปได้ จึงเป็นการลบล้างความผิดและความรับผิดของผู้กระทำความผิดให้ไม่ต้องมีความผิดหรือรับโทษต่อไป
ที่ผ่านมากฎหมายนิรโทษกรรมจะกำหนดให้การนิรโทษกรรมไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่ผู้ได้รับนิรโทษกรรมในอันที่จะเรียกร้องสิทธิหรือประโยชน์ใด ๆ อาทิ พระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำการอันเป็นความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร ระหว่างวันที่ 25 และวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ.2520 พ.ศ.2520 และพระราชกำหนดนิรโทษกรรมแก่ผู้ก่อความไม่สงบเพื่อยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินระหว่างวันที่ 31 มีนาคม ถึงวันที่ 3 เมษายน พ.ศ.2524 พ.ศ.2524
อย่างไรก็ตาม มีกฎหมายนิรโทษกรรมที่กำหนดให้ผู้ได้รับนิรโทษกรรมได้รับสิทธิที่ต้องสูญเสียไปโดยผลของคำพิพากษากลับคืนมาด้วย อาทิ พระราชบัญญัตินิรโทษกรรมในโอกาสครบ 25 พุทธศตวรรษ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2502 ที่มีการบัญญัติให้คืนสิทธิได้รับเบี้ยหวัด บำเหน็จหรือบำนาญตามเดิม
ดังนั้น การกำหนดให้ผู้ได้รับนิรโทษกรรมได้รับสิทธิที่ต้องสูญเสียไปโดยผลของคำพิพากษากลับคืนมาสามารถกระทำได้ โดยต้องกำหนดไว้ในกฎหมายอย่างชัดแจ้งว่าจะคืนสิทธิใดบ้างและเมื่อการนิรโทษกรรมที่จะเกิดขึ้นนี้ มุ่งหมายในการคลี่คลายประเด็นความขัดแย้งทางการเมือง ดังนั้นจึงควรคืนสิทธิทางการเมืองให้กับผู้ที่ได้รับนิรโทษกรรม
คณะกรรมาธิการวิสามัญได้จัดทำรายงานผลการพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม พร้อมข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญ มาเพื่อโปรดพิจารณาและนำเสนอต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาต่อไป