"...แม้ว่าในช่วงโค้งสุดท้าย ‘บิ๊กป้อม’ จะส่ง ‘ไพบูลย์ นิติตะวัน’ มาเคลียร์ใจกับ ‘ผู้กองธรรมนัส’ แต่ก็เหมือนจะไม่ทันกาลเสียงแล้ว โดย ‘ผู้กองธรรมนัส’ เตรียมประกาศจุดยืนพร้อม 22 สส.ในกลุ่ม และกำลังมาอีก 7 คน และมีพรรคเล็กอีก 5 คน รวมทั้งหมดมี 34 สส.ที่จะล่มหัวจมท้ายไปด้วยกัน..."
ในช่วง 6-7 ปีที่ผ่านมา ปฏิเสธไม่ได้ว่าชื่อของ ‘นักการเมือง’ ที่มาแรงที่สุดในยุค ต้องมีชื่อของ ‘ผู้กองธรรมนัส พรหมเผ่า’ อยู่แน่นอน
โดยเฉพาะวาทะ ‘ตราตรึงใจ’ ในการตอบอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลประเด็นเคยถูกศาลออสเตรเลียพิพากษาจำคุก ว่า “มันคือแป้ง” กลายเป็นที่จดจำ จนถูกสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาลตั้งเป็นวาทะแห่งปี และถูกล้อเลียนผ่านสื่อต่าง ๆ มาจนทุกวันนี้
สำหรับ ‘ผู้กองธรรมนัส’ อดีตเคยเป็นมือขวาของ ‘เสธ.ไอซ์’ พล.อ.ไตรรงค์ อินทรทัต ตท.10 อดีตที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ยุค ‘ทักษิณ ชินวัตร’ และเป็น ‘ผู้มากบารมี’ ในแวดวงกองทัพ-การเมือง โดย ‘ผู้กองธรรมนัส’ เริ่มงานการเมืองตั้งแต่ปี 2542 สังกัด ‘พรรคไทยรักไทย’ แต่ไม่ค่อยมีบทบาทมากนัก
อย่างไรก็ดี ผ่านมาเกือบ 20 ปีบทบาทของเขากลับมาพุ่งสูงอย่างมีนัยสำคัญ เขาขับเคลื่อนงานการเมืองภายใน จ.พะเยา ในสังกัด ‘พรรคเพื่อไทย’ และปี 2557 ถูกส่งลงสมัครรับเลือกตั้ง สส.บัญชีรายชื่อด้วย แต่การเลือกตั้งดังกล่าวเป็นโมฆะ หลังจากนั้นเกิดรัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เขาถูกเรียกมารายงานตัวด้วย หลังจากนั้นชื่อเขาก็เงียบหายไปพักหนึ่ง ต่อมาเมื่อ ‘เสธ.ไอซ์’ ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อปี 2559 หลายคนมองว่าเขาคือผู้สืบทอดอำนาจ-บารมีของ ‘เสธ.ไอซ์’ กระทั่งปี 2561 เขาเปิดตัวร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่ถูกมองว่าเป็นพรรคสืบทอดอำนาจ คสช.
โดยนับตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นมา เส้นทางการเมืองของเขาเจริญเติบโตอย่างมาก การเลือกตั้งปี 2562 เขาชนะการเลือกตั้ง สส.พะเยา และถูกเลือกเป็น รมช.เกษตรและสหกรณ์ ท่ามกลางการขุดคุ้ยประเด็นชีวิตส่วนตัว และสมัยรับราชการทหารเมื่อราว 30 ปีก่อน โดยเฉพาะกรณีเคยถูกศาลออสเตรเลียพิพากษาจำคุก จนถูกฝ่ายค้านยื่นเรื่องอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภาฯ แต่ก็รอดพ้นบ่วงมาได้
ระหว่างปี 2562-2564 ราว 2 ปีเศษที่เขานั่ง รมช.เกษตรฯ เขาถูกมองว่าเป็น ‘มือประสานสิบทิศ’ คอยดีลสารพัดกลุ่มขั้วการเมือง กลายเป็น ‘คนเลี้ยงลิง’ ให้ ‘กล้วย’ เพื่อพยุงการคงอยู่ของ ‘รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา’ ถึงกับเคยลั่นวาจาไว้ว่า "ผมเป็นกำลังหลักในการจัดตั้งรัฐบาล โดยมีบทบาทในการขับเคลื่อนและประสานงาน ซึ่งหากล้มผมได้ รัฐบาลก็สั่นคลอน เพราะหลายเรื่องที่ได้ประสานงานไว้นั้น ถือเป็นความลับที่ผมรู้เพียงคนเดียว"
"เขารู้ว่าผมเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่จะเอาเลือดไปหล่อเลี้ยงในหัวใจของรัฐบาล จึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อล้มผม" ร.อ.ธรรมนัส ระบุ
@ ธรรมนัส พรหมเผ่า
ในช่วงเวลาดังกล่าว มีกระแสข่าวหลายแหล่งชี้ให้เห็นว่า เขาคือหนึ่งใน ‘คีย์แมนสำคัญ’ แห่ง ‘บ้านป่ารอยต่อฯ’ ถือเป็น ‘คนใกล้ชิด’ ระดับ ‘องครักษ์’ ของ ‘พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์’ คอยเช็คอินไซด์คนเข้านอกออกในบ้านป่าฯ ได้รับความไว้วางใจถึงขั้นถูกดันเป็นเลขาธิการพรรค พปชร.เลยทีเดียว ส่งผลให้เกิดความกินแหนงแคลงใจระหว่างกลุ่มก๊กใน พปชร.ที่ในช่วงเวลานั้นกำลัง ‘กระแสสูง’ แต่กลับถูกปิดกั้นในการเข้าพบหา ‘พี่ใหญ่’ และไม่เป็นที่พึงใจของ ‘นายกฯ’ ในยุคนั้นมากนัก
กระทั่งการมาถึงของ ‘ฟางเส้นสุดท้าย’ นั่นคือปฏิบัติการ ‘ลับ ลวง พราง’ หวังเลื่อยขาเก้าอี้นายกฯ ในช่วงอภิปรายไม่ไว้วางใจในปี 2564 ผลักดัน ‘พี่ใหญ่’ ขึ้นเป็นนายกฯเสียเอง สร้างแรงกระเพื่อมทางการเมืองอย่างหนัก ในช่วงที่ ‘เพื่อไทย’ เป็นฝ่ายค้าน แต่ยังมีสายสัมพันธ์อันดีกับ ‘ธรรมนัส’ ที่เคยเป็น ‘ลูกหม้อ’ เดิม
ว่ากันว่ามนต์ขลังในการ ‘เป่าหู’ ครั้งนี้ ส่งผลให้ ‘พี่ใหญ่’ หลงเข้าเต็มเปา จนว่ากันว่าถึงขั้น ‘แตกหัก’ กับ ‘พี่-น้อง’ ที่เติบโตกันมาตั้งแต่สมัยรับราชการทหารเลยทีเดียว ทว่าการเดินหมากดังกล่าวก็ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะฝ่ายรัฐบาลจับความเคลื่อนไหวมาโดยตลอด ก่อนที่ ‘บิ๊กตู่’ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สั่ง ‘ปลดฟ้าผ่า’ 2 รัฐมนตรี นั่นคือ ‘ธรรมนัส-นฤมล ภิญโญสินวัฒน์’ ออกจาก ครม. ไป
ปรากฎการณ์ดังกล่าวกลายเป็นเรื่องโจษจันในหมู่นักการเมืองอย่างมาก ต่อมา ‘ธรรมนัส-นฤมล’ แยกตัวไปทำพรรคเศรษฐกิจไทย โดยมี สส.ในกลุ่มก๊วนย้ายมาซบด้วยหลายสิบคน นำโดย ‘ไผ่ ลิกค์’ สส.กำแพงเพชร คนสนิท ‘ผู้กอง’ และกลายเป็นความร้าวฉานอย่างชัดเจนระหว่าง ‘ทีมนายกฯ’ กับ ‘ก๊วนผู้กอง’ ที่ลากยาวมาถึงทุกวันนี้
ฉากหลังจากนั้นคือ ‘ทีมนายกฯ’ เริ่มมีความไม่ไว้วางใจ พปชร.อีกต่อไป ทำให้เกิดการเดินเกมใหม่ ไปตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) โดยองคาพยพทีมงานนายกฯโยกย้ายไปอยู่พรรคใหม่กันหมด ส่วน พปชร.ได้รับ ‘ธรรมนัส-นฤมล’ กลับเข้าพรรคเหมือนเดิม เหมือนแบ่งแยกกลุ่มขั้วระหว่าง ‘ฝ่ายผู้กอง’ ที่มี ‘พี่ใหญ่’ หนุนหลัง ทำสงครามเย็นกับ ‘นายกฯ-ทีมงาน’
ตัดภาพมาที่การเลือกตั้งปี 2566 ที่ รทสช.พ่ายแพ้ ได้จำนวน สส.ไปเพียง 36 คน ส่วน พปชร. มี สส.รวม 40 คน ทั้งคู่อดเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แต่สุดท้ายด้วยเล่ห์กลการเมืองทำให้กลับไปร่วมกับ ‘เพื่อไทย’ จัดตั้งรัฐบาล ‘ข้ามขั้ว’ ได้สำเร็จ ทำให้ ‘ธรรมนัส’ ถูกดันนั่ง รมว.เกษตรฯ
แต่หลังจากนั้นไม่นาน มี ‘มือมืด’ พยายามเดินเกม ‘เป่าหู’ แก่ ‘พี่ใหญ่’ ให้ ‘คัมแบ็คหลังเสือ’ อีกครั้ง เหมือนเมื่อครั้งปฏิบัติการ ‘ลับ ลวง พราง’ เมื่อปี 2564 เริ่มจากให้ ‘มือกฎหมาย’ คนใกล้ชิด ‘พี่ใหญ่’ เป็นคนร่างคำร้องถอดถอน ‘เศรษฐา ทวีสิน’ นายกฯคนที่ 30 ของพรรคเพื่อไทย ก่อนที่ 40 สว.ชิงยื่นประธานวุฒิสภา เพื่อส่งคำร้องต่อไปยังศาลรัฐธรรมนูญ การดำเนินการดังกล่าวใช้เวลาเพียง 1 วันเท่านั้น ฝ่ายรัฐบาลตั้งตัวไม่ทัน มารู้ตัวอีกทีก็ตอนเรื่องไปถึงสำนักธุรการของศาลรัฐธรรมนูญแล้ว
แผนการดังกล่าวคือหวังปลด ‘เศรษฐา’ ให้พ้นเก้าอี้นายกฯ ก่อนที่จะรวบรวมเสียง สส.ที่เหลือ รวมถึงเตรียมซื้อตัว ‘งูเห่าสีส้ม’ ที่เชื่อว่า ‘ก้าวไกล’ จะถูกยุบพรรคเช่นกัน เพราะถูกร้องไปศาลรัฐธรรมนูญก่อนหน้านี้ เพื่อหวังผลักดัน ‘พี่ใหญ่’ ก้าวสู่เก้าอี้นายกฯคนที่ 31
ทว่าการเดินเกมดังกล่าว คล้ายจะถึง ‘ทางตัน’ เมื่อ ‘เพื่อไทย’ ยักไหล่กับเรื่องนี้ และมีแคนดิเดตนายกฯสำรองชื่อ ‘อุ๊งอิ๊ง’ แพทองธาร ชินวัตร เป็นไม้ตายสุดท้ายอยู่ ทำให้ ‘คนเดินเกม’ ต้อง ‘เปลี่ยนแผน’ กลางคัน ใช้วิธีการ ‘นก 2 หัว’ ทางหนึ่งก็เป่าหู ‘พี่ใหญ่’ อีกทางหนึ่งก็คาบความเคลื่อนไหวไปบอกแผนการกับ ‘บ้านจันทร์ส่องหล้า’ ทั้งหมด
เรื่องนี้ทำให้คนบ้านจันทร์ส่องหล้า เริ่มเคลือบแคลงสงสัย และตีตัวออกห่าง ‘คนเดินเกม’ พร้อมกับมีการโทรศัพท์เคลียร์ใจกับ ‘พี่ใหญ่’ ปฏิบัติการตลบหลังจึงเริ่มขึ้น โดยว่ากันว่า ‘บ้านจันทร์ส่องหล้า’ รับรู้ ‘เลขเด็ด’ ก่อน ‘วันหวยออก’ จึงเตรียมแผนการรองรับไว้แล้ว โดยจะชู ‘อุ๊งอิ๊ง’ ขึ้นเป็นนายกฯคนต่อไป พร้อมกับต่อรองกับฝ่าย ‘พี่ใหญ่’ เกี่ยวกับโควตารัฐมนตรี โดยให้ พปชร.ไปเคลียร์กันเอาเอง
นั่นจึงนำไปสู่ท่าทีของ ‘บิ๊กป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะหัวหน้าพรรค พปชร. ที่ออกมายืนยันว่า พปชร.ยังคงเข้าร่วมรัฐบาลชุดนี้ ส่วนเรื่องโควตารัฐมนตรีต้องมาคุยกัน ท่ามกลางกระแสข่าวว่า เตรียมผลักดัน ‘สันติ พร้อมพัฒน์’ รองหัวหน้า พปชร. ขึ้นมาเป็น ‘รัฐมนตรีว่าการ’ ส่วน ‘พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ’ ยังคงเป็นรัฐมนตรีเหมือนเดิม แต่ไร้ชื่อของ ‘ผู้กองธรรมนัส’ ในโควตาอีกต่อไป
@ วันที่ 20 สิงหาคม 2567 ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
และเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วยสส.พลังประชารัฐ ร่วมแถลงข่าว
ฉากการต่อสู้นี้นำไปสู่จุดแตกหักทันทีเมื่อ 20 ส.ค. ‘ผู้กองธรรมนัส’ ประกาศอิสรภาพ 6 ปีในทำเนียบรัฐบาล ตัดขาด ‘บิ๊กป้อม’ โดยบอกว่า “ผมรับใช้ท่านมานาน จะอยู่กันไปแบบนี้จนกว่าจะหมดวาระ ต่างคนต่างอยู่ ยืนยันไม่ได้ทะเลาะกับใคร เพราะบทเรียนในรัฐบาลชุดที่แล้วสอน เราไม่ทะเลาะกับพี่กับน้อง ไม่ฆ่าน้องฟ้องนาย ขายเพื่อน อย่างเด็ดขาด ผมรักใครก็รักเกินไปจนลืมดูตัวเองและครอบครัว บทเรียนทำให้ครอบครัวเราต้องลำบาก ครั้งนี้จึงเลือกที่จะไม่ทะเลาะกับใคร ยอมถอยออกมาอยู่ในที่ของตัวเอง และครั้งนี้ผมได้บอกกับนายสันติ ว่า ท่านก็เดินของท่านไป ผมก็อยู่ของผม เราไม่ได้ทะเลาะกัน”
แม้ว่าในช่วงโค้งสุดท้าย ‘บิ๊กป้อม’ จะส่ง ‘ไพบูลย์ นิติตะวัน’ มาเคลียร์ใจกับ ‘ผู้กองธรรมนัส’ แต่ก็เหมือนจะไม่ทันกาลเสียงแล้ว โดย ‘ผู้กองธรรมนัส’ เตรียมประกาศจุดยืนพร้อม 22 สส.ในกลุ่ม และกำลังมาอีก 7 คน และมีพรรคเล็กอีก 5 คน รวมทั้งหมดมี 34 สส.ที่จะล่มหัวจมท้ายไปด้วยกัน
@ ‘บิ๊กป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
‘ผู้กองธรรมนัส’ แถลงข่าวที่กระทรวงเกษตรฯยืนยันจะอยู่ พปชร.ต่อไป จนกว่าจะพรรคจะขับออก พร้อมกับระบุว่าให้ระวัง ‘ตาอยู่’ จะเข้ามาร่วมรัฐบาลแทน ‘พปชร.’ อีกด้วย พร้อมยืนยันด้วยความมั่นใจว่า ‘ค่ายสีแดง’ จะเลือกยืนอยู่ข้างตัวเองอย่างแน่นอน
พร้อมตอบคำถามสื่อว่าไม่มีทางไปเลือกฝ่าย พปชร. โดยระบุว่า “เคยเห็นปลาบินได้หรือไม่” ส่วนจะคืนดีกับ ‘บิ๊กป้อม’ ได้หรือไม่ในอนาคต ‘ผู้กองธรรมนัส’ ระบุว่า “ขอให้เป็นเรื่องในอนาคต”
ทั้งหมดคือฉากชีวิตของ ‘ผู้กองธรรมนัส’ ที่สร้างไฮไลต์ทางการเมืองมาตลอด 5-6 ปีที่ผ่านมา เคยถูกปลดฟ้าผ่า 1 ครั้ง แต่ยังฟื้นคืนชีพทางการเมืองกลับมาได้ คราวนี้เขาจะรอดพ้นวิบากทางการเมืองได้อีกหรือไม่ ต้องติดตาม