"...ในแนวทางเวชปฏิบัติฯ จึงแนะนำว่า ไม่ต้องตรวจ RT-PCR หรือตรวจหาแอนติเจน ก่อนผู้ป่วยออกจากสถานพยาบาล หรือก่อนกลับเข้าทำงาน เพราะไม่มีผลเปลี่ยนแปลงการรักษาหรือวิธีการป้องกันการแพร่เชื้อ ผู้ป่วยที่พ้นระยะการแพร่เชื้อแล้ว สามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติ การปฏิบัติตนในการป้องกันการติดเชื้ออเหมือนประชาชนทั่วไป..."
สถานการณ์โควิด-19 มีแนวโน้มผู้ป่วยเพิ่มขึ้น โดยกระทรวงสาธารณสุขคาดการณ์ว่าจะมีผู้ติดเชื้อสูงสุดในช่วงเดือนมิถุนายน – กรกฎาคม แต่อัตราการเสียชีวิตน้อยมาก เนื่องจากมีภูมิคุ้มกันในระดับประชากรร่วมกับเชื้อเป็นสายพันธุ์ที่ไม่รุนแรง และโรงพยาบาลมีศักยภาพในการดูแลผู้ป่วยได้ดี
สำหรับตัวเลขผู้ติดเชื้อรายสัปดาห์ล่าสุด ระหว่างวันที่ 26 พฤษภาคม - 1 มิถุนายน 2567 มีจำนวน 1,863 ราย เฉลี่ยวันละ 266 ราย ทางด้านผู้เสียชีวิตเพิ่มรายสัปดาห์ 6 ราย เฉลี่ยวันละ 1 ราย
และเมื่อดูตัวเลขผู้ติดเชื้อที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลตั้งแต่ต้นปี 2567 พบว่า มีผู้ป่วยเฉลี่ยวันละไม่เกิน 100 ราย แต่ทว่าในสัปดาห์ระหว่างวันที่ 21-27 เมษายนเป็นต้นมา ตัวเลขมีการเพิ่มขึ้นเป็นเฉลี่ย 200 รายต่อวัน เนื่องจากช่วงเมษายนเป็นช่วงเทศกาล และช่วงมิถุนายน เป็นช่วงการเปิดภาคเรียนของนักเรียน ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการติดเชื้อที่เพิ่มมาขึ้น
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทย ไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวลหรือเป็นห่วงมากหนัก เพราะเป็นโรคประจำถิ่นที่เกิดขึ้นฤดูกาล เช่นเดียวกับไข้หวัด หรือโรคทางเดินหายใจอื่นๆ
กรมการแพทย์ ได้ประกาศแนวทางเวชปฏิบัติการวินิจฉัย ดูแลรักษาและป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สําหรับแพทย์และบุคลากรสาธารณสุข ฉบับปรับปรุง เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2567
โดยความร่วมมือของคณาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานต่างๆ และผู้แทนทีมแพทย์ที่ดูแลรักษาผู้ป่วย COVID-19 ได้ทบทวนและปรับแนวทางการดูแลรักษาผู้ป่วย ตามข้อมูลวิชาการในประเทศ และต่างประเทศ คำแนะนำแนวทางการดูแลรักษาฉบับนี้ ยึดตามหลักฐานจากการวิจัยที่มีอยู่ในปัจจุบัน และอาจเปลี่ยนแปลงคำแนะนำได้ในอนาคต หากมีหลักฐานเพิ่มเติม
การปรับแนวทางเวชปฏิบัติฉบับนี้ มีประเด็นต่างๆ ดังนี้ 1.ปรับแนวทางการให้ยาต้านไวรัส และ 2. ปรับคำแนะนำในการปฏิบัติตน
อาทิ
1. การรักษาผู้ป่วยที่มีผลตรวจพบเชื้อ หากไม่มีอาการหรือสบายดี ไม่ให้ยาต้านไวรัส และให้ปฏิบัติตามข้อแนะนำการปฏิบัติตัวไม่ให้แพร่เชื้ออย่างน้อย 5 วัน
2.ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง ไม่มีปอดอักเสบ ไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรง/โรคร่วมสำคัญ ให้การรักษาแบบผู้ป่วยนอก ให้การดูแลตามดุลยพินิจของแพทย์
3.ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง แต่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรง หรือมีโรคร่วมสำคัญ หรือผู้ป่วยที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยง แต่มีปอดอักเสบเล็กน้อยถึงปานกลางยังไม่ต้องให้ออกซิเจน มีคำแนะนำดังนี้
**การให้ยาต้านไวรัสพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ได้แก่ ประสิทธิภาพของยาในการลดอัตราการป่วยหนัก และอัตราตาย ประวัติโรคประจำตัว ข้อห้ามการใช้ยา ปฏิกิริยาต่อกันของยาต้านไวรัสกับยาเดิมของผู้ป่วย และความสะดวกของการบริหารยา การบริหารเตียง และราคายา อย่างไรก็ตาม การเลือกใช้ยาใดกับผู้ป่วยรายใดแพทย์อาจใช้ยา ตามรายการข้างต้นนี้ได้โดยการพิจารณาจากปัจจัยดังกล่าว สถานพยาบาลแต่ละแห่งจะมีความแตกต่างกัน
4.ผู้ป่วยยืนยันที่มีอาการมาไม่เกิน 10 วัน และมีปอดอักเสบ แนะนำให้ remdesivir โดยเร็วที่สุดเป็นเวลา 5-10 วัน ขึ้นกับอาการทางคลินิก
คำแนะนำผู้ป่วยโควิดอาการไม่รุนแรง
สำหรับคำแนะนำของผู้ป่วยนั้น ส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง ผู้ป่วยที่มีอาการเล็กน้อยจะค่อยๆ ดีขึ้นจนหายสนิท พบว่าในช่วงปลายสัปดาห์แรกของผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการมากขึ้นได้ ผู้ป่วยที่มีอาการดีขึ้นแล้ว อาจจะยังตรวจพบสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัส ในน้ำมูก หรือน้ำลาย อาจจะนานถึง 3 เดือน สารพันธุกรรมที่ตรวจพบนั้นมักจะเป็นเพียงซากสารพันธุกรรมที่หลงเลือกที่ร่างกายยังกำจัดไม่หมด นอกจากนี้ การตรวจพบสารพันธุกรรมได้หรือไม่ ยังอยู่ที่คุณภาพของตัวอย่างที่เก็บด้วย
ดังนั้น ในแนวทางเวชปฏิบัติฯ จึงแนะนำว่า ไม่ต้องตรวจ RT-PCR หรือตรวจหาแอนติเจน ก่อนผู้ป่วยออกจากสถานพยาบาล หรือก่อนกลับเข้าทำงาน เพราะไม่มีผลเปลี่ยนแปลงการรักษาหรือวิธีการป้องกันการแพร่เชื้อ ผู้ป่วยที่พ้นระยะการแพร่เชื้อแล้ว สามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติ การปฏิบัติตนในการป้องกันการติดเชื้ออเหมือนประชาชนทั่วไป
คำแนะนำในการปฏิบัติตนสำหรับผู้ป่วยโควิด ระหว่างมีอาการและตรวจพบเชื้อ
-
ในระยะเริ่มมีอาการ ให้สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งเมื่ออยู่ร่วมกับผู้อื่น การทำความสะอาดมือ การรักษาระยะห่าง และหลีกเลี่ยงการเข้าไปในสถานที่แออัด จนกว่าจะพ้นระยะแพร่เชื้อ (ระยะ 5 วันนับจากวันเริ่มมีอาการ)
-
ให้แยกห้องนอนจากผู้อื่น ถ้าไม่มีห้องนอนแยกให้นอนห่างจากผู้อื่นอย่างน้อย 2-3 เมตร และต้องเป็นห้องที่เปิดให้อากาศระบายได้ดี ผู้ติดเชื้อนอนอยู่ด้านใต้ลม
-
ถ้าแยกห้องน้ำได้ควรแยก ถ้าไม่ได้ ให้เช็ดพื้นผิวที่มีการสัมผัสด้วยน้ำยาทำความสะอาดหรือน้ำยาฆ่าเชื้อ
-
หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้สูงอายุ รวมถึงผู้มีโรคประจำตัว
-
ล้างมือด้วยสบูและน้ำเป็นประจำ โดยเฉพาะหลังจากถ่ายปัสสาวะ หรืออุจจาระ ในบางพื้นที่หากไม่มีน้ำและสบู่ อาจถูมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ 70%
-
ไม่รับประทานอาหารร่วมวงกับผู้อื่น
อย่างไรก็ตาม เมื่อพ้นระยะ 5 วันแรกแล้ว แนะนำให้ปฏิบัติตามข้อ 2-6 ต่อไปอีก 5 วัน รวม 10 วัน หลังจากนั้นสามารถประกอบกิจกรรมทางสังคม และทำงานได้ตามปกติตามแนวทางวิถีชีวิตใหม่ เช่น การสวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ร่วมกับผู้อื่น การทำความสะอาดมือ การรักษาระยะห่าง เป็นต้น