เจาะข้อมูล บ.ศุภสิริ โฮลดิ้ง‘เศรษฐา ทวีสิน’ ก่อนโอนหุ้นให้ กก.แสนสิริ ประกาศขอเป็นนายกฯตำแหน่งเดียวเท่านั้น เจ้าตัวแจงตั้งมานาน ไม่ได้ทำอะไร จึงขายจะไปเล่นการเมือง งบการเงินระบุ ปี 2562 ทำสัญญาจะซื้อจะขาย‘เงินลงทุน’กับบริษัทจดทะเบียนในตลาดฯแห่งหนึ่ง 240 ล. จ่ายมัดจำ 51 ล. ต่อมายกเลิก ยอมถูกริบ 51 ล. ไม่อาความกัน ล่าสุดรอบปี 2564 แจ้งรายได้ 186.84 บาท หนี้ 60.4 ล.
สืบเนื่องจากสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันศุกร์ที่ 3 มี.ค.2566 นายเศรษฐา ทวีสิน นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ประธานที่ปรึกษาหัวครอบครัวพรรคเพื่อไทย ได้โอนหุ้น บริษัท ศุภสิริ โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นธุรกิจลงทุนในบริษัทอื่น จำนวน 9,998 หุ้น ไปให้นายนพพร บุญถนอม กรรมการบริหาร บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ทั้งหมด เกิดขึ้นหลังปรากฎเป็นข่าวเจ้าตัวให้สัมภาษณ์สื่อว่าขอเป็นนายกรัฐมนตรีตำแหน่งเดียว ตำแหน่งอื่นไม่เอา เมื่อวันที่ 2 มี.ค.2566 หรือ เพียง 1 วันหลังประกาศความชัดเจนต่อสาธารณะ
ขณะที่เจ้าชี้แจงสั้นๆ ว่า “บริษัทนี้ตั้งมานานแล้ว แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรก็โอนให้ไป เพราะจะไปเข้าการเมือง ให้ชัดเจนว่าผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทนี้” และ การโอนหุ้นดังกล่าว เป็นการซื้อขาย
- ‘เศรษฐา ทวีสิน’ โอนหุ้น บ.ลงทุนส่วนตัวให้ กก.แสนสิริ หลังประกาศขอนั่งนายกฯ-รอชี้แจง
- จะไปเข้าการเมือง! ‘เศรษฐา’ แจงอิศรา ปมโอนหุ้นบ.ลงทุนส่วนตัวให้ กก.แสนสิริ
มาดูความเป็นมา การดำเนินการ และผลประกอบการ ของบริษัทนี้
จากการตรวจสอบข้อมูลกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าพบว่า บริษัท ศุภสิริ โฮลดิ้ง จำกัด จดทะเบียนวันที่ 7 พ.ย. 2560 ทุน 1 ล้านบาท รายละเอียดวัตถุที่ประสงค์ 23 ข้อ แจ้งวัตถุประสงค์ (แบบ สสช.1) 1.เข้าเป็นหุ้นส่วนจำกัดความรับผิดชอบในห้างหุ้นส่วนและเป็นผู้ถือหุ้นในนิติบุคคลอื่น 2. ประกอบการธุรกิจลงทุน และหรือ เข้าร่วมลงทุนและหรือธุรกิจใดๆ ตามวัตถุที่ประสงค์ของบริษัท ที่ตั้งเลขที่ 1058/118 ถนนพหลโยธิน แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร นายเศรษฐา เป็นกรรมการ มีผู้ถือหุ้นก่อตั้ง 3 คน
1.นายเศรษฐา ทวีสิน 9,998 หุ้น
2.นายนพพร บุญถนอม 1 หุ้น
3. น.ส.จินดา เอี่ยมศริยารักษ์ 1 หุ้น (ดูเอกสารประกอบ)
ในการจดทะเบียนก่อตั้ง นายนพพรเป็นผู้ยื่นจดทะเบียนจองชื่อนิติบุคคลต่อนายทะเบียนหุ้นบริษัท กรมพัฒนาธุรกิจการค้า
นายเศรษฐาถือหุ้นใหญ่และเป็นกรรมการเรื่อยมา วันที่ 13 พ.ค.2565 (13/05/2565) บริษัท ศุภสิริ โฮลดิ้ง จำกัด นำส่งสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น (บอจ.5) วันประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1 /2565 เมื่อวันที่ 30 เม.ย.2565 (30/04/2565) มีผู้ถือหุ้น 3 ราย ได้แก่ นายเศรษฐา ทวีสิน 9,998 หุ้น นายนพพร บุญถนอม 1 หุ้น และ น.ส.จินดา เอี่ยมศริยารักษ์ 1 หุ้น รวมหุ้นทั้งหมด 10,000 หุ้น
กระทั่งวันที่ 3 มี.ค.2566 บริษัท ศุภสิริ โฮลดิ้ง จำกัด นำส่งสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น (บอจ.5) ต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุคัดจากทะเบียนผู้ถือหุ้น เมื่อวันที่ 3 มี.ค.2566 (03/03/2566) มีผู้ถือหุ้น 2 ราย คือ นายนพพร บุญถนอม จำนวน 9,999 หุ้น (รับโอนมาจากนายเศรษฐา ทวีสิน 9,998 หุ้น) และ น.ส.จินดา เอี่ยมศริยารักษ์ 1 หุ้น รวมหุ้นทั้งหมด 10,000 หุ้น
เห็นได้ว่า นายนพพร บุญถนอม เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่แทนนายเศรษฐา
ขณะที่ ข้อมูลงบการเงิน
บริษัทฯแจ้งหมายเหตุประกอบงบการเงินรอบปีสิ้นสุด 31 ธ.ค.2562 ว่า ‘หมายเหตุ 4 –เงินมัดจำ’
“เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2562 และ 30 กันยายน 2562 บริษัทฯ ได้เข้าทำสัญญาจะซื้อจะขายเงินลงทุนในบริษัทแห่งหนึ่งในประเทศ กับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง รวม 3 ฉบับ โดยกำหนดมูลค่าจะซื้อจะขายไว้ในราคา 240,000,000 บาท ซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่ามูลค่าตามบัญชีของเงินลงทุนที่ตกลงซื้อขาย และบริษัทฯ ยินยอมเป็นผู้รับผิดชอบหนี้สินที่อาจจะเกิดขึ้นทั้งจำนวนของบริษัทแห่งหนึ่งในประเทศที่บริษัทประสงค์จะซื้อเงินลงทุนนั้น
บริษัท ได้จ่ายเงินมัดจำตามสัญญาแล้วเป็นจำนวนเงิน 51,000,000 บาท ซึ่งตามสัญญาริษัทฯจะต้องรับโอนเงินลงทุน ชำระราคาตามสัญญา ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2562
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 บริษัทยังไม่ได้ชำระเงินส่วนที่เหลือ และยังไม่ได้รับโอนเงินลงทุนในบริษัท แห่งหนึ่งนั้น ตามสัญญาจะซื้อจะขายเงินลงทุน”
ในหมายเหตุประกอบงบการเงินรอบปีสิ้นสุด 31 ธ.ค.2563 ระบุเพิ่มว่า
“ ต่อมาเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2563 บริษัท และบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นคู่สัญญาผู้จะขายเงินลงทุน ได้เข้าทำข้อตกลงยกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายเงินลงทุนตามที่กล่าวข้างต้น โดยบริษัท ตกลงยินยอมให้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ คู่สัญญาผู้จะขาย ริบเงินมัดจำจำนวน 51,000,000 บาท โดยบริษัท และ บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ คู่สัญญาผู้จะขาย ตกลงสละสิทธิ์ในการฟ้องร้องค่าเสียหาย”
ไม่มีข้อมูลว่า บริษัทแห่งใด
เมื่อวันที่ 20 พ.ค.2565 บริษัทฯนำส่งงบการเงินรอบปีล่าสุดวันที่ 31 ธ.ค.2564
งบกำไรขาดทุน รายได้รวม 186.84 บาท (ปี 2563 รายได้รวม 614.88 บาท) ค่าใช้จ่าย 12,001.87 บาท ขาดทุนสุทธิ 11,815.03 บาท
งบดุล สินทรัพย์รวม 606,975.83 บาท หนี้สิน 60,424,000 บาท ขาดทุนสะสม 60,067,024.17 บาท
กล่าวสำหรับนายเศรษฐามีชื่อเป็นกรรมการธุรกิจทั้งสิ้น 9 บริษัท เปิดดำเนินการในปัจจุบัน 3 บริษัท ได้แก่ บริษัท ศุภสิริ โฮลดิ้ง จำกัด บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) และ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ขณะที่นายนพพร มีชื่อเป็นกรรมการบริษัทในเครือแสนสิริกว่า 50 บริษัท
สำหรับการถือหุ้น บมจ.แสนสิรินั้น ล่าสุด นายเศรษฐาได้แจ้งข้อมูลรายงานการเปลี่ยนแปลงการถือหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของผู้บริหาร (แบบรายงาน 59) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ว่า เมื่อวันที่ 8 มี.ค.2566 ได้ดำเนินการโอนหุ้นจำนวน 661,002,734 หุ้น ให้แก่ น.ส.ชนัญดา ทวีสิน บุตรสาวผู้บรรลุนิติภาวะแล้วโดยเป็นการโอนให้โดยเสน่หาไม่มีค่าตอบแทน และระบุราคาหุ้นว่า 0 บาท
ทั้งหมดเป็นข้อมูลการถือหุ้นในบริษัท ศุภสิริ โฮลดิ้ง ของนักธุรกิจหมื่นล้านก่อนโอน (ขาย) ให้กรรมการบริหาร บมจ.แสนสิริ เพื่อเข้าสู่ถนนการเมืองเต็มตัว
เรื่องเกี่ยวข้อง