“...ปฏิเสธไม่ได้ว่า การออกมาเปิดนโยบายของพรรคเพื่อไทยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สร้างแรงกระเพื่อมทางการเมืองไม่น้อย ขนาดพรรคบ้านใกล้เรือนเคียงอย่างพรรคก้าวไกลยังต้องส่งสัญญาณออกมาว่า ค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มขึ้นทันที 450 บาทในปี 2566…”
เป็นทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ไปหลายวัน
สำหรับการออกมาเปิดนโยบาย 10 ข้อของพรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา โดยเฉพาะนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท/วัน และการปรับอัตราเงินเดือนผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรีที่ 25,000 บาท/เดือน
เรียกทั้งกระแสฮึกเหิมในหมู่กองเชียร์ และเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในหมู่กองแช่ง ทั้งพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่แสดงความเห็นว่า ก็ต้องไปดูว่าทำได้จริงหรือเปล่า หลายเรื่องก็มีการเปิดเผยมาโดยตลอด การจะทำโน่นทำนี่มันไม่ง่ายนักหรอก วันนี้เราก็ทำโครงสร้างต่างๆ มากมายเพื่อไม่ให้มีปัญหาในอนาคต ก็ต้องดูว่ามีผลกระทบอะไรบ้างหรือเปล่า
“การจะเพิ่มค่าแรงก็ต้องผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการ 3 ฝ่าย ที่เกี่ยวข้อง ต้องดูว่านักลงทุน ผู้ประกอบการ รับไหวหรือไม่ วันนี้มันก็มีความแตกต่างอยู่แล้วในเรื่องของค่าแรง แรงงานที่มีฝีมือค่าแรงก็สูง สูงมากกว่า 600 บาทต่อวันเสียอีก ขณะนี้เรามีการพัฒนาฝีมือแรงงานเพื่อตอบสนองแรงงานยุคใหม่ที่ต้องทำงานกับเครื่องจักรและกิจการที่มีรายได้สูง ต้องสนับสนุนไปทำนองนั้นก่อน บางโรงงานราคาโดยเฉลี่ยของแต่ละจังหวัดไม่เท่ากัน ในข้อเท็จจริงมีผู้ที่มีรายได้มากกว่าที่กำหนดไว้มากพอสมควร แต่ทั้งหมดต้องฟังผู้ประกอบการด้วย ประชาชนก็ต้องได้ประโยชน์ เราต้องสนับสนุนให้ได้ค่าแรงตามขีดความสามารถตามความเป็นจริง” นายกรัฐมนตรีกล่าวตอนหนึ่ง
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ภาพจาก : สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล
สำทับด้วยนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานที่ออกมาแสดงความเห็นไว้ว่า จะหาเสียงอะไรก็แล้วแต่ ควรคำนึงถึงหายนะทางเศรษฐกิจด้วย อย่าหาเสียงเพราะนึกสนุกแบบนี้ เพราะสิ่งที่พูดออกมามันเหมือนการโยนระเบิดเวลาให้เจ้าของกิจการ การหาเสียงแบบนี้เป็นการโยนภาระให้ภาคเอกชน แต่ตัวเองได้คะแนนเสียงซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง นอกจากนี้ จะกระทบต่อนักลงทุนต่างประเทศ เพราะจะไม่กล้าเข้ามาลงทุน การออกมาพูดแบบนี้ ส่งผลเสียหายต่อเศรษฐกิจทั้งระบบ หากจะหาเสียงอะไรก็แล้วแต่ ควรคำนึงถึงหายนะทางเศรษฐกิจด้วย
แม้จะถูกแรงเสียดทานจากฝ่ายที่นิยมรัฐบาล แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า การออกมาเปิดนโยบายของพรรคเพื่อไทยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สร้างแรงกระเพื่อมทางการเมืองไม่น้อย ขนาดพรรคบ้านใกล้เรือนเคียงอย่างพรรคก้าวไกลยังต้องส่งสัญญาณออกมาว่า ค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มขึ้นทันที 450 บาทในปี 2566
นอกจากพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลแล้ว พรรคการเมืองหลายๆพรรคก็ทยอยเปิดตัวนโยบายของตัวเองกันอย่างต่อเนื่อง และอีกเพียง 3 เดือน คณะรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ที่ได้รับการเลือกตั้งในปี 2562 กำลังจะหมดวาระลงในเดือน มี.ค. 2566 การเลือกตั้งตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขีดเส้นไว้ก็น่าจะเกิดขึ้น ณ วันที่ 7 พฤษภาคม 2566
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รวบรวมนโยบายหาเสียงที่เกิดขึ้นของแต่ละพรรคการเมืองไว้ โดยคัดมา 4 พรรคใหญ่ที่น่าจับตามองในขณะนี้
ภาพจาก Facebook: Ing Shinawatra
@10 นโยบาย ‘เพื่อไทย’ ตั้งเป้าแลนด์สไลด์
เริ่มกันที่พรรคเพื่อไทย นับตั้งแต่เปิดแคมเปญ “ครอบครัวเพื่อไทย แลนด์สไลด์ทั้งแผ่นดิน” เมื่อวันที่ 28 ต.ค. 2564 โดยมีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร บุตรสาวคนเล็กของนายทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ รั้งตำแหน่งหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย โดยวางยุทธศาสตร์ต้องได้รับการเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์ เพื่อหวังเป็นรัฐบาลในสมัยหน้า เหมือนครั้งหนึ่งในปี 2548 ที่นายทักษิณ นำพาพรรคไทยรักไทยกวาดที่นั่ง ส.ส.มาได้ 377 เสียงจาก 500 ที่นั่ง ตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้สำเร็จมาแล้ว
โดยพรรคเพื่อไทย เปิดตัวชุดนโยบาย 10 ข้อเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา มีรายละเอียด ดังนี้
1.นโยบายเศรษฐกิจ
- ช่วงปี 2566-2570 จะทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของประเทศเติบโตอย่างต่ำเฉลี่ยร้อยละ 5% ต่อปี
- เปิดแนวคิด 'รดน้ำที่ราก' เพื่อให้ต้นไม้งอกงามได้ทั้งต้น ทั้งที่น้ำมีจำกัด
- ใช้ศักยภาพของอย่างน้อย 1 คนในทุกครอบครัว ทำการอบรมด้าน Soft Power เช่น เชฟทำอาหาร นักออกแบบ แฟชั่นดีไซเนอร์ นักร้อง นักแต่งเพลง คนเขียนบท ยูทูบเบอร์ นักสร้างคอนเทนท์ นักออกแบบมัลติมีเดีย นักกีฬา หรือสปาเทอราปิสต์ จะทำให้มีรายได้คนละไม่ต่ำกว่า 200,000 บาทต่อปี ประเทศไทยมี 20 ล้านครอบครัว สามารถสร้างงานทักษะสูงได้ 20 ล้านตำแหน่ง และมีรายได้รวมกันถึงปีละ 4 ล้านล้านบาท
- ค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทต่อวัน
- เงินเดือนของผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรี อยู่ที่ 25,000 บาทขึ้นไป
- ขยายบทบาทกองทุนหมู่บ้าน
ภาพจาก Facebook: พรรคเพื่อไทย
2.นโยบายด้านการเกษตร
- ในปี 2570 พรรคเพื่อไทยนำเทคโนโลยีทางการเกษตรหรือ Agritech มาใช้ เช่น เทคโนโลยีเกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture) ใช้ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI มาช่วยในการเกษตร มีการปรับปรุงหน้าดิน และใช้ปุ๋ยเท่าที่จำเป็น
- ใช้การตลาดนำการผลิต ไม่มีการทำการเกษตรแบบไร้เป้าหมาย สินค้าการเกษตรต้องขึ้นยกแผง มีการนำสินทรัพย์ดิจิทัล (NFT) มาใช้ในการขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ให้ต่างชาติมาช่วยเสริมสภาพคล่องให้เกษตรกรอีกทางหนึ่ง
3.นโยบายด้านการท่องเที่ยว
ยกระดับเทศกาลกรานต์ในเดือนเมษายน และลอยกระทงในเดือนพฤศจิกายน เป็นเทศกาลระดับโลกที่นักท่องเที่ยวปักหมุดไว้ในปฏิทิน
4.นโยบายด้านนวัตกรรม
- สร้างโครงข่ายในการเก็บบัญชีธุรกรรมออนไลน์ (Blockchain) ของไทยเอง ที่เป็นช่องทางในการขายสินค้าเกษตร รวมทั้งสินทรัพย์ที่เกิดจากซอฟต์พาวเวอร์ ตลอดจนเป็นช่องทางเงินทุนให้กับนักธุรกิจรายย่อย ไม่ว่าจะเป็น Start up หรือ SME
- ภายในปี 2570 ประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางทางด้านนวัตกรรมของ Asean มีการใช้เงินสกุลดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง ( CBDC : Central Bank Digital Currency) แทนเงินสด ป้องกันการคอร์รัปชันในการเมืองแบบ ‘ลิงกินกล้วย’ ทุกวันนี้ได้เป็นอย่างดี
- ประชาชนทุกคนมีบัญชีธนาคาร และมีกระเป๋าเงินดิจิทัล (Digital Wallet) ของตนเอง รัฐบาลกลายเป็นรัฐบาลดิจิทัลเต็มรูปแบบ การเข้าถึงบริการของรัฐทำได้ง่าย สะดวก
- ทุกหมู่บ้านของประเทศไทยมีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง สถานที่สาธารณะทุกแห่งมี wifi ฟรี
5.นโยบายด้านสาธารณสุข
- ภายในปี 2570 หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือ 30 บาทรักษาทุกโรคถูกอัพเกรด หรือยกระดับขึ้น สามารถรักษาได้ทั่วประเทศ ใช้บัตรประชาชนเพียงใบเดียว รับการรักษาได้ทั่วประเทศโดยไม่มีค่าใช้จ่าย เพราะข้อมูลสุขภาพถูกเชื่อมไว้บนศูนย์ข้อมูล หรือ Cloud เมื่อเจ็บป่วย ผู้ป่วยเพียงยื่นบัตรประชาชนแล้วอนุญาตให้แพทย์ผู้รักษาเข้าถึงข้อมูลการรักษาได้
- ในปี 2570 ผู้ป่วยโรคทางจิต เช่น โรคซึมเศร้า หรือโรคทางกายอื่นๆ ที่ต้องการขอคำปรึกษากับแพทย์เฉพาะทางได้รับการรักษาที่ศูนย์สาธารณสุขหรือโรงพยาบาลใกล้บ้าน ไม่จำเป็นต้องเดินทางไกล เพราะแพทย์เฉพาะทางให้คำปรึกษาผ่านระบบทางไกลหรือ Telemedicine ได้
- การนัดคิวตรวจเป็นเรื่องปกติของโรงพยาบาลทุกแห่ง ผู้ป่วยไม่ต้องไปโรงพยาบาลแต่เช้ามืด
- ผู้ป่วยที่ต้องเจาะเลือดตรวจโรค ก็สามารถทำได้ที่คลินิกหรือศูนย์สาธารณสุขใกล้บ้าน
- ผู้ป่วยติดเตียงและผู้ป่วยในระยะสุดท้ายของชีวิต ได้รับการดูแลจากผู้ช่วยพยาบาลทั้งที่บ้านและที่ศูนย์ชีวาภิบาล (Hospice) ของรัฐและเอกชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ลูกหลานยังสามารถไปประกอบอาชีพได้ตามปกติ ไม่ต้องลางาน
- การสาธารณสุขเชิงรุก เช่น การฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกฟรีในเด็กหญิงอายุ 9-11 ปี และฉีดวัคซีนให้ผู้หญิงที่ยังไม่ติดเชื้อไวรัสเอชพีวี (HPV : Human Papilloma Virus) อีกทั้งยังตรวจและรักษาไวรัสตับอักเสบ-ซี ซึ่งโรคดังกล่าวจะเป็นการป้องกันมะเร็งตับที่เป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ของมะเร็งในผู้ชาย
- ปี 2570 โรงพยาบาลของรัฐถูกกระจายอำนาจในรูปแบบองค์การมหาชนที่ท้องถิ่นและชุมชนมีส่วนร่วมในการบริหารโรงพยาบาล มีการจัดสรรบุคลากรทางการแพทย์ตามปริมาณงาน และเกิดการลงทุนครั้งใหญ่ในการพัฒนาอุปกรณ์การแพทย์ให้ทันสมัยในทุกระดับตั้งแต่ตำบลถึงมหานคร รวมทั้งมีการฝึก อ.ส.ม. ให้เป็นพยาบาลรัดับต้น ประจำทุกหมู่บ้าน ส่วนในกรุงเทพมหานคร มีโรงพยาบาลประจำเขตทั้ง 50 เขต
6.นโยบายด้านการศึกษา
- ในปี 2570 มีการกระจายอำนาจการศึกษาเหมือนในประเทศที่เจริญแล้ว
- มีโรงเรียน 2 ภาษาในทุกท้องถิ่น ซึ่งสอนภาษาต่างประเทศเช่น ภาษาอังกฤษและภาษาจีน ตั้งแต่ ป.1
- มีการเรียนการสอนทั้งในห้องเรียนและออนไลน์ โดยใช้ครูต่างประเทศมาสอนเสริมร่วมกับครูไทย
- มีศูนย์การเรียนรู้แบบ TCDC และ TK Park ที่เริ่มต้นสมัยไทยรักไทย ให้ครบทุกจังหวัด
7.นโยบายด้านยาเสพติด
- ‘ยาเสพติดกับเพื่อไทยอยู่ร่วมกันไม่ได้’ จะปราบปรามยาเสพติดเต็มรูปแบบ
- บำบัดผู้เสพอย่างทั่วถึงควบคู่กันไปกับการปราบปราม
8.นโยบายด้านโครงสร้างพื้นฐาน
- สร้างคลองน้ำเพื่อเชื่อมแม่น้ำหลักเข้าหากัน และมีอ่างเก็บน้ำเป็นแก้มลิงตามเส้นทางน้ำสายหลัก เพื่อให้การระบายน้ำมีประสิทธิภาพ มีการสำรวจสิ่งก่อสร้างที่ขวางทางน้ำไหล โดยเฉพาะถนน แล้วเปิดทางเพื่อให้น้ำไหลลงแม่น้ำสายหลักตามหลักแรงโน้มถ่วงโลก ดังที่เคยทำในจังหวัดอุดรธานี ซึ่งทำให้น้ำไม่ท่วมมา 20 ปีแล้ว รวมถึงทำทางน้ำหลาก หรือฟลัดเวย์และทางผันน้ำ เพื่อระบายน้ำลงทะเลให้เร็วขึ้นทั้งสองฝั่งเจ้าพระยา
- การถมทะเลด้านบางขุนเทียนจนถึงสมุทรปราการ สมุทรสาคร และเกิดแผ่นดินงอกจำนวนมาก ซึ่งนอกจากป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯ ได้แล้ว ยังลดความแออัดของกรุงเทพฯ และยังสามารถเอาที่ดินงอกนี้ มาทำเขตเศรษฐกิจพิเศษที่เป็นศูนย์กลางของนวัตกรรมดึงดูดรายได้จากต่างประเทศเข้าสู่ประเทศไทย
9.นโยบายด้านการคมนาคมและขนส่งมวลชน
- ในปี 2570 ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาค มีการลงทุนในระบบรางครั้งใหญ่ สร้างรถไฟรางคู่ในทุกเส้นทาง ทำให้รถไฟวิ่งได้ 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จากที่เคยใช้เวลา 10 ชั่วโมงเหลือเพียง 5 ชั่วโมงเท่านั้น
- เส้นทางรถไฟสายใหม่ถูกสร้างขึ้นไปถึงจุดหมายสำคัญ เช่น เชียงราย เชียงของ มุกดาหาร นครพนม ภูเก็ต
- รถไฟความเร็วสูงสร้างจากจีนลงมาถึงไทยแล้วต่อยาวไปถึงสิงคโปร์ เกิดขึ้นแน่นอน
- รถไฟฟ้าสายต่าง ๆ ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลถูกจัดระเบียบใหม่ เพื่อใช้ระบบตั๋วร่วม 20 บาทตลอดสายได้ก่อนปี 2570 แน่นอน
- สนามบินสุวรรณภูมิ จะขยายพื้นที่รองรับผู้โดยสารมากขึ้นจาก 45 ล้านคน เป็น 100 ล้านคน
10.นโยบายด้านพลังงาน
- โครงสร้างราคาพลังงาน ถูกปรับรื้อตั้งแต่ปี 2566 ค่าน้ำมัน ค่าแก๊ส ค่าไฟ ลดลงทันที
- รณรงค์และส่งเสริมพลังงานแสงอาทิตย์ในระดับครัวเรือน ทำให้ลดการพึ่งพาน้ำมันลง
ภาพจาก Facebook พรรคเพื่อไทย
@พรรคก้าวไกล: การเมืองนำเศรษฐกิจ
ขณะที่พรรคก้าวไกล พรรคคนรุ่นใหม่มาแรงที่รอบนี้ประกาศนโยบายชื่อ`ไทยก้าวหน้า’ โดยมีเป้าหมายคือสร้างประเทศไทยที่ก้าวหน้าใน 9 ประเด็น ได้แก่ การเมืองไทยก้าวหน้า ราชการไทยก้าวหน้า ทุกจังหวัดไทยก้าวหน้า เศรษฐกิจไทยก้าวหน้า เกษตรไทยก้าวหน้า สวัสดิการไทยก้าวหน้า การศึกษาไทยก้าวหน้า สุขภาพไทยก้าวหน้า และสิ่งแวดล้อมไทยก้าวหน้า
ปัจจุบันพรรคก้าวไกล เปิดรายละเอียดของชุดนโยบายไทยก้าวหน้า 4 ประเด็น ได้แก่
1.การเมืองไทยก้าวหน้า
ทหารของประชาชน
- นายพลเกษียณไม่เกิน 7 ปี ห้ามเป็นรัฐมนตรี
- ยุบ กอ.รมน. ยกเลิกกฎอัยการศึกชายแดนใต้
- ลดขนาดกองทัพ ลดนายพล ยกเลิกเกณฑ์ทหาร
- เพิ่มสวัสดิการทหารชั้นผู้น้อย ตัดสิทธิพิเศษนายพล
- คืนที่ดินกองทัพให้ประชาชน คืนธุรกิจกองทัพให้รัฐบาล
คืนศักดิ์ศรีให้กับประชาชน
- เห็นต่างไม่ติดคุก แก้กฎหมาย 112 116 พ.ร.บ.คอม
- ศาลโปร่งใสตรวจสอบได้ เป็นของประชาชน
- ลงนาม ICC ศาลอาญาระหว่างประเทศ
- นิรโทษกรรมคดีการเมือง
คนเท่ากัน
- รับรองทุกเพศสภาพ คำนำหน้าตามสมัครใจ
- ตำรวจหญิงทุกสถานี
- สิทธิลาคลอด 180 วัน พ่อแม่แบ่งกันได้
- พระเลือกตั้งได้
- รัฐต้องจ้างงานคนพิการ 20,000 คน
รัฐธรรมนูญใหม่ ปลดล็อกประเทศไทย”
- รัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ
- เลือกตั้งได้ตามที่อยู่จริง
ชุดนโยบาย การเมืองไทยก้าวหน้า ภาพจาก Facebook พรรคก้าวไกล
2. สวัสดิการไทยก้าวหน้า
เกิด
- ของขวัญแรกเกิด 3,000 บาท ให้พ่อ-แม่ซื้อสิ่งของจำเป็นในการเลี้ยงลูก
- เงินเด็กเล็ก เดือนละ 1,200 บาท
- สิทธิลาคลอด 180 วัน พ่อแม่แบ่งกันได้
- ศูนย์เลี้ยงเด็กใกล้บ้าน-ที่ทำงาน
เติบโต
- เรียนฟรี อาหารฟรี มีรถรับส่ง
- คูปองเปิดโลก ให้เด็กและเยาวชนได้เรียนรู้นอกห้องเรียน
- ผ้าอนามัยไม่เก็บ VAT แจกฟรีในโรงเรียน
ทำงาน
- ค่าแรงขั้นต่ำปรับขึ้นทุกปี เริ่มต้นวันละ 450 บาท รัฐช่วย SME 6 เดือนแรก
- สัญญาจ้างเป็นธรรม ทำงานไม่เกิน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
- แรงงานทุกกลุ่มตั้งสหภาพได้ สอดคล้องหลักการขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO)
- ประกันสังคมถ้วนหน้า เจ็บป่วยได้เงินชดเชย-ค่าเดินทางหาหมอ
- เรียนเสริมทักษะ-เปลี่ยนอาชีพ ฟรีไม่จำกัดผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ สมทบด้วยคูปองเรียนเสริม
สูงวัย
- เงินผู้สูงวัยเดือนละ 3,000 บาท สร้างระบบดูแลผู้ป่วยติดเตียง
- ค่าทำศพถ้วนหน้า 10,000 บาท
ทุกอายุ
- บ้านตั้งตัว 350,000 หลัง
- น้ำประปาดื่มได้ทุกพื้นที่
- เติมเงินให้ท้องถิ่น เพิ่มขนส่งสาธารณะ
- เติมเน็ตฟรี 1 GB ต่อเดือน
- เงินคนพิการเดือนละ 3,000 บาท
ภาพจาก Facebook พรรคก้าวไกล
3.ทุกจังหวัดไทยก้าวหน้า
ผู้บริหารจังหวัดเรา เราเลือกเอง
- ประชามติยกเลิกราชการส่วนภูมิภาค ไม่มีใครตกงาน-เสียประโยชน์
- เลือกตั้งนายกจังหวัด ทุกจังหวัดทั่วประเทศ
- เลือกตั้งนายกเขต ทุกเขตใน กทม.
- ข้าราชการทุกสังกัด ศักดิ์และสิทธิเท่ากัน โยกย้ายก้าวหน้าได้
งบจังหวัดเรา เราตัดสินใจเอง
- เพิ่มงบจังหวัดจัดการตนเองทุกปี ทั่วประเทศ 200,000 ล้านบาทต่อปี ภายใน 4 ปี จังหวัดละ 250 ล้านบาทต่อปี ภายใน 4 ปี เมืองละ 100 ล้านบาทต่อปี ภายใน 4 ปี และตำบลละ 20 ล้านบาทต่อปี ภายใน 4 ปี
- ท้องถิ่นมีช่องทางหารายได้ใหม่ กู้เงิน-ออกพันธบัตร-ตั้งบริษัท-จัดเก็บภาษี
- ปรับสูตรกระจายงบให้เป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำระหว่างพื้นที่
บริการสาธารณะในพื้นที่เรา เราจัดการเอง
- บริการสาธารณะถูก-เร็ว-ดี ท้องถิ่นจัดทำได้ทั้งหมด ยกเว้น ทหาร-ศาล-เงินตรา
- ถ่ายโอน ถนน-คูคลอง-แหล่งน้ำ-ขนส่ง-สิ่งแวดล้อม-พิสูจน์สิทธิที่ดิน-โรงงาน-โรงแรม-สถานบริการ
- ยกเลิกกฎระเบียบและคำสั่ง คสช. ที่ล็อกคอ-ล้วงลูกท้องถิ่น ภายใน 100 วัน
ท้องถิ่นเรา เราร่วมตรวจสอบได้เอง
- ท้องถิ่นโปร่งใส เปิดเผยข้อมูลงบประมาณทุกบาท-จัดซื้อจัดจ้างทุกขั้นตอน
- ประชุมสภาพลเมือง ทุกคนมีส่วนร่วม ทุกท้องถิ่น ทุกไตรมาส
- ประชาชนเข้าชื่อออนไลน์ เสนอโครงการ-ข้อบัญญัติ ถอดถอนท้องถิ่นได้
ภาพจาก Facebook พรรคก้าวไกล
4.ราชการไทยก้าวหน้า ของพรรคก้าวไกล
- โครงการ คนโกงวงแตก หรือ leniency programme เพื่อจูงใจให้คนที่คิดจะโกง เกิดความระแวงกันเอง จนไม่มีใครกล้าโกง เพราะมีการออกกฎผ่อนผันโทษ ให้ใครที่มอบตัวและแฉกันเองก่อน
- โครงการ แฉโกง ปลอดภัย ได้เงิน เพื่อสร้างสังคมต้านโกง ด้วยกฎหมายคุ้มครองความปลอดภัย และความก้าวหน้าทางอาชีพให้กับเจ้าหน้าที่ที่แฉการทุจริตในหน่วยงาน (whistleblower protection) รวมถึงการเพิ่มเงินรางวัลให้ประชาชนที่แจ้งเบาะแส
รัฐโปร่งใส ไร้กลโกง ทุกคนตรวจสอบได้
- เปิดข้อมูลรัฐทันที ประชาชนเป็นเจ้าของ
- ระบบจับโกงอัจฉริยะ
- โครงการ คนโกงวงแตก จูงใจให้คนที่คิดจะโกง ระแวงกันเอง
- โครงการ แฉโกง ปลอดภัย ได้เงิน
- ตัวแทนจับโกงจากประชาชน
- ห้ามใช้เงินหลวง โปรโมทตัวเอง
- ป.ป.ช. ยึดโยงประชาชน
ข้าราชการทำงานฉับไว คุ้มค่าภาษีประชาชน
- ทุกบริการภาครัฐ ผ่านมือถือ
- ร้องเรียนไป ต้องไม่เงียบ อัพเดททุกขั้นตอน
- สวัสดิการโอนเข้าอัตโนมัติ ไม่ต้องรอ ไม่ต้องลงทะเบียน
- ยกเลิกใบอนุญาต 50% ยกเลิกทุกกฎหมายที่เป็นอุปสรรค
- รู้ผลใบอนุญาตใน 15 วัน
- ยกเครื่องประเมินข้าราชการ ทำงานดี ข้าราชการได้ดี ประชาชนได้ดี
- ปลดล็อกส่วนกลาง ข้าราชการทีมไทยแลนด์ ทลายกำแพงระหว่างกระทรวง-กรม
- งบประมาณปรับทันใจ จัดทำใหม่จากศูนย์ในทุกๆ ปี (zero-based budgeting)
ตำรวจของประชาชน พิทักษ์สันติราษฎร์
- ผบ.ตร. ยึดโยงประชาชน ผ่านสภาผู้แทนราษฎร
- ผู้ตรวจการตำรวจ ประชาชนมีช่องทางร้องเรียนตำรวจได้
- จังหวัด-ตำรวจ ร่วมรับใช้ประชาชน
- เติบโต-โยกย้ายเป็นธรรม ปราศจากตั๋ว-เส้นสาย
- ลดภาระพนักงานสอบสวน แบ่งงานให้ตำรวจสายอื่น
- ตำรวจหญิงทุกสถานี เติบโตเป็น ผบ.ตร. ได้
- คืนผมให้ตำรวจ ไม่บังคับเกรียน
- คุ้มครองสิทธิและศักดิ์ศรีตำรวจทุกระดับ
ภาพจาก Facebook พรรคก้าวไกล
@พลังประชารัฐ: ระดมสมองปั้น 3 พันธกิจไปต่อ
เปลี่ยนตขั้วมาดูพรรคพลังประชารัฐ พรรคแกนนำรัฐบาลในปัจจุบันที่มี พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รั้งบัลลังก์หัวหน้าพรรค แม้ที่ผ่านมาจะถูกครหาว่า ไม่ทำตามนโยบายที่ได้หาเสียงไว้ โดยเฉพาะนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 425 บาท/วัน แต่กับการเลือกตั้งรอบใหม่นี้ พลเอกประวิตรเริ่มจัดกระบวนทัพใหม่แล้ว
โดยกางแผน สานต่อนโยบาย 3 พันธกิจหลัก ที่ประกอบด้วย 1.สวัสดิการประชารัฐขจัดความเหลื่อมล้ำ 2.เศรษฐกิจประชารัฐ สร้างความสามารถและโอกาสที่เท่าเทียม และ 3.สังคมประชารัฐ สงบสุข เข้มแข็ง แบ่งปัน โดยได้แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อน 3 พันธกิจ ที่ประกอบไปด้วย 1.ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ 2.นายสุรสิทธิ นิธิวุฒิวรรักษ์ 3.นายสุรพร ดนัยตั้งตระกูล 4.นายพรชัย ตระกูลวรานนท์ 5.นายชวน ชูจันทร์ 6.นายนัทธี ถิ่นสาคู 7.นายอรรถกร ศิริลัทธยากร 8.น.ส.ธณิกานต์ พรพงษาโรจน์ 9.นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ 10.ดร.สุรดา จุนทะสุตธนกุล 11.ดร.ปรมะ บุญเขื่อง
ทั้งนี้ ได้แต่งตั้งคณะกรรมการแยกตามพันธกิจหลักของพรรค ประกอบด้วย 1.คณะกรรมการขับเคลื่อนสวัสดิการประชารัฐ ประกอบด้วย นายสุรพร ดนัยตั้งตระกูล นายนัทธี ถิ่นสาคู น.ส.ธณิกานต์ พรพงษาโรจน์ และ ดร.สุรดา จุนทะสุตธนกุล
2.คณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประชารัฐ ประกอบด้วย นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ นายชวน ชูจันทร์ นายวีระกร คำประกอบ และนายภาคิน สมมิตรธนกุล
3.คณะกรรมการขับเคลื่อนสังคมประชารัฐ ประกอบด้วย นายพรชัย ตระกูลวรานนท์ นายชวน ชูจันทร์ นายสุทา ประทีป ณ ถลาง นายอรรถกร ศิริลัทธยากร พ.ต.ท.ฐนภัทร กิตติวงศา นายกองตรี อาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ นายกานต์ กิตติอำพน ดร.ปรมะ บุญเขื่อง นางสาวเกณิกา อุ่นจิตร์ นายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ นายแสนหล้า พันธุ์ราดล และนายนิธิวุฒิ โรจน์ประสิทธิ์พร
“นโยบายของเราที่จะขับเคลื่อน เกิดขึ้นบนพื้นฐานการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน ที่ประชาชนเห็นด้วย และให้การตอบรับในการทำงานที่ผ่านมา และพร้อมที่จะทำต่อเนื่องเพื่อให้เกิดผลกับประชาชนอย่างแท้จริง”พล.อ.ประวิตรกล่าวไว้ตอนหนึ่งเมื่อวันที่ 14 พ.ย. 2565 ที่ผ่านมา
จากนี้ไป ต้องจับตาดูกันว่า นโยบายของพรรคพลังประชารัฐจะมาแรงจนเบียดขับพรรคอื่นได้หรือไม่ ต้องติดตามกัน
ภาพจาก Facebook พรรคพลังประชารัฐ
@ภูมิใจไทย: 4 นโยบาย ชูฟอกไต-ฉายรังสีมะเร็งฟรี
ปิดท้ายที่พรรคภูมิใจไทย เจ้าของสโลแกน ‘พูดแล้วทำ’ ที่ในสมัยของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ผลักดันนโยบายกัญชาถูกกฎหมายจนถูกอกถูกใจบรรดาสายเขียวไปมากต่อมาก และกลายเป็นประเด็นวิวาทะรายวันกับพรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรคประชาธิปัตย์ไม่จบสิ้น
ล่าสุด กับนโยบายของพรรคที่จะใช้หาเสียงรอบหน้า เบื้องต้นมีวางไว้แล้ว 4 นโยบาย ประกอบด้วย
1. พักหนี้ 3 ปี หยุดต้น ปลอดดอกคนละไม่เกิน 1 ล้านบาท
จะพักหนี้ในระบบที่มีการทำสัญญาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย กับ เจ้าหนี้ที่รัฐบาลรับรองให้ปล่อยเงินกู้ได้ ได้แก่ ธนาคาร , สถาบันการเงิน, สหกรณ์, กยศ., กองทุนหมู่บ้าน, บัตรเครดิต, ไฟแนนซ์ และลีซซิ่ง โดยไม่ต้องจ่ายทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย เป็นเวลา 3ปี และดอกเบี้ยจะไม่มาทบต้น ทบดอก เหมือนโครงการพักหนี้เกษตรกร และ พักหนี้อื่นๆ ที่เคยมีมา กำหนดหนี้ที่จะพักชำระไว้สูงสุดที่ 1 ล้านบาทเท่านั้น หากเกินกว่านี้ต้องชำระตามปกติ
ส่วนวิธีการหลังจากให้พักชำระหนี้ รัฐบาลจะออกพันธบัตรชื่อ ‘พันธบัตร Thai Power’ หรือ ‘พันธบัตรคนไทยรวมพลัง’ จำหน่ายให้กับประชาชนผู้มีเงินฝาก ดอกเบี้ย ร้อยละ 2.5-3 แล้วนำเงินที่ได้จากการขายพันธบัตร มาแก้ปัญหาหนี้สินให้ประชาชนที่เป็นหนี้ เมื่อครบเวลาพักหนี้ 3 ปี ประชาชน จะมีความสามารถชำระหนี้ ได้เพิ่มขึ้น เจ้าหนี้จะได้รับชำระหนี้มากขึ้น
โดยสามารถเริ่มได้ภายใน 3 เดือน หลังจากหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ในฐานะนายกรัฐมนตรี แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เสร็จสิ้น
ภาพจากเว็บไซต์ พรรคภูมิใจไทย
2. เครื่องฉายรังสีรักษามะเร็ง ฟรี ทุกจังหวัด ศูนย์ฟอกไตฟรีทุกอำเภอ
ติดตั้งเครื่องฉายรังสีรักษามะเร็ง ให้โรงพยาบาลทุกจังหวัด จังหวัดละ 1 เครื่อง ภายใน 4 ปี จากปัจจุบันมีเพียง 22 จังหวัดที่มีเครื่องฉายรังสี โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
ตั้งศูนย์ฟอกไตฟรีทุกอำเภอ ภายใน 4 ปี
ภาพจากเว็บไซต์ พรรคภูมิใจไทย
3.พลังงานสะอาด ลดรายจ่ายประชาชน
ฟรี โซล่าเซลล์ หลังคาบ้าน ลดค่าไฟฟ้า หลังคาเรือนละ 450 บาท
ประชาชนทุกคนได้รับสิทธิเข้าร่วมโครงการใช้หลังคาบ้าน ติดตั้งโซล่าเซลล์ เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ใช้ในบ้านเรือนของตนเอง คิดเป็นค่ากระแสไฟฟ้า ไม่น้อยกว่า 450 บาท ต่อเดือน และส่งกระแสไฟฟ้าส่วนเกินที่ผลิตได้ ขายให้แก่รัฐบาล ผ่านระบบของการไฟฟ้า ซึ่งจะต้องปรับบทบาทหน้าที่ เป็นผู้สนับสนุนโครงการนี้ของรัฐบาล
ภาพจากเว็บไซต์ พรรคภูมิใจไทย
รัฐบาลจะติดตั้ง โซล่าเซลล์ ให้แก่ประชาชน ที่นำบ้าน หรือที่พักอาศัย สถานประกอบการ เข้าร่วมโครงการ ฟรี และ รับซื้อกระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้จากประชาชน โดยการบันทึก เป็นเครดิตพลังงาน ที่ประชาชน นำไปใช้จ่ายเมื่อใช้กระแสไฟฟ้า สำหรับบ้านเรือน และ ยานพาหนะพลังงานไฟฟ้า ได้
ประชาชนที่เข้าร่วมโครงการนี้ จะได้รับส่วนลดค่ากระแสไฟฟ้า และ เครดิตพลังงาน เป็นเวลา 25 ปี ตามอายุโครงการความร่วมมือผลิตกระแสไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ ระหว่างรัฐบาลกับประชาชน
สิทธิซื้อ รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ราคา 6,000 บาท ผ่อนจ่ายเดือนละ 100 บาท เป็นเวลา 60 งวด
ประชาชน ทุกคนที่นำบ้าน ที่พักอาศัย เข้าร่วมโครงการติดตั้งโซล่าเซลล์ ฟรี จะได้รับสิทธิซื้อมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าบ้านละ 1คัน ในราคา 6,000 บาท ด้วยระบบผ่อนชำระ เดือนละ 100 บาท เป็นเวลา 60 เดือน และสามารถใช้เครดิตพลังงาน เติมกระแสไฟฟ้า ได้ โดยไม่ต้องจ่ายค่าพลังงานสำหรับรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ซึ่งจะช่วยลดรายจ่ายให้แก่ประชาชน ทั้งการซื้อรถราคาถูก และ ไม่ต้องเสียเงินค่าพลังงาน
4.เกษตรร่ำรวย
การทำ Contract Farming จะนำมาใช้กับ 4 ชนิด ที่มีการกำหนดราคารับซื้อล่วงหน้า ในตลาดโลก ได้แก่ ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง และ ปาล์มน้ำมัน และจะขยายไปสู่พืช หรือ ผลผลิตการเกษตรชนิดอื่นๆ ต่อไป เช่น ข้าวโพด มะพร้าว ลำไย ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจ ของประเทศไทย
โดยพรรคยืนยันว่า ทำได้จริง หากพรรคภูมิใจไทย ได้รับเลือกตั้งจากประชาชนให้ไปจัดตั้งรัฐบาล จะทำทันที
ภาพจากเว็บไซต์ พรรคภูมิใจไทย
เหล่านี่คือ 4 พรรคการเมืองใหญ่ที่เริ่มรัวกลองศึกในการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2566 หลังจากนี้ หากความเคลื่อไหวในประเด็นต่างๆทางการเมืองชัดเจนขึ้น คงได้เห็นการประชันนโยบายที่เด็ดดวงกว่านี้เป็นแน่
ส่วนนโยบายทั้งหมด จะทำได้ไหม ทำหรือเปล่า ทำได้จริงหรือ?
เป็นสิ่งที่สังคมไทย ต้องจับตาดูกันต่อไปอย่างใกล้ชิด