สำหรับวิกฤติโควิด-19 ที่เราต้องเผชิญมาเป็นระยะเวลาเกือบสามปี ตอนนี้เรากำลังทำผิดซ้ำรอยเดิมกับกรณีของไข้หวัดสเปน หรือก็คือว่าเมื่อสถานการณ์ที่เลวร้ายจบลง พวกเขาจะไม่มีการพูดคุย หารือ หรือดำเนินการเพื่อป้องกันสิ่งที่จะเกิดในอนาคต พวกเขารอแค่ว่าให้มันกลับมาเกิดขึ้นใหม่อีกครั้งก็เท่านั้น
สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ทั้งในต่างประเทศและในประเทศไทย ณ เวลานี้นั้นมีการพูดถึงคำว่าโรคประจำถิ่น กันมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม มีคำถามสำคัญว่าการที่ทั่วโลกกำลังเริ่มเปลี่ยนโควิดจากโรคระบาดรุนแรงไปสู่สภาวะโรคประจำถิ่นนั้น จะไม่ทำให้เกิดปัญหาทางสาธารณสุขในอนาคตตามมาหรือไม่
โดยประเด็นเรื่องโรคประจำถิ่นที่ว่ามานี้ก็มีการถกเถียงกันในสหรัฐอเมริกาด้วยเช่นกัน ซึ่งสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ได้นำรายงานดังกล่าวมานำเสนอมีรายละเอียดดังนี้
ย้อนไปในช่วงต้นเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ศูนย์ควบคุมโรคติดต่อสหรัฐอเมริกา หรือว่า CDC ได้มีการแนะนำมาตรการป้องกันโควิดฉบับใหม่ที่ถูกเปรียบเสมือนว่าเป็นการหาทางลงที่นุ่มนวลในการทำให้โควิดกลายเป็นโรคประจำถิ่น
โดยมาตรการฉบับใหม่ดังกล่าวนี้นั้นได้มีการยกเลิกคำแนะนำให้ชาวอเมริกันต้องกักตัวเอง ถ้าหากพวกเขาได้สัมผัสใกล้ชิดกับบุคคลอื่นผู้ที่มีเชื้อไวรัส และยกเลิกมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม
สำหรับผู้ที่ติดเชื้อแต่ไม่มีอาการป่วย หรือว่าไม่มีไข้และมีอาการดีขึ้นแล้วนั้นสามารถยุติการกักตัวเองได้ทันทีหลังจากที่ผ่านไปแล้วเป็นระยะเวลาห้าวันของการกักตัว ซึ่งนี่เป็นคำแนะนำของทาง CDC แต่อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาก็มีผลการวิจัยว่าด้วยระยะเวลาที่ผ่านไปเพียงแค่ห้าวันนั้น หลายคนที่ติดเชื้อโควิด-19 ก็ยังคงมีเชื้ออยู่
ทั้งนี้สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในสหรัฐฯในช่วงเวลาที่ผ่านมานั้น สหรัฐฯเพิ่งจะเผชิญกับตัวเลขการติดโควิดสายพันธุ์โอไมครอนที่พุ่งสูงขึ้นนับตั้งแต่ปลายปี 2564 จนถึงต้นปี 2565 ที่ผ่านมา และบางรัฐเองก็ยังเผชิญกับสถานะที่ว่านี้อยู่
CDC ออกมายอมรับว่ามีความผิดพลาดเกี่ยวกับการจัดการโควิด และในอนาคตต้องมีการยกเครื่องเพื่อรับมือกับการจัดการ (อ้างอิงวิดีโอจาก ABC News)
@ยอดติดเชื้อยังอยู่ในระดับสูงอยู่
โดยในสหรัฐฯ นั้นยอดการตรวจหาผู้ติดเชื้อรายวัน ณ เวลานี้พบว่าอยู่ในระดับที่ต่ำแล้ว แต่อย่างไรก็ตามข้อมูลจากแหล่งน้ำในชุมชนก็แสดงให้เห็นว่าแท้จริงแล้วโรคยังคงมีการระบาดไปทั่วประเทศอยู่
ส่วนความเห็นของผู้เชี่ยวชาญหลายคนนั้นก็ค่อนข้างจะมีความหลากหลายเป็นอย่างยิ่งเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงมาตรการรับมือโควิด เริ่มกันที่ นพ.แอนโทนี่ ฟาวซี่ ที่ปรึกษาด้านการแพทย์ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่มองว่า "ระยะเฉียบพลัน" ของการระบาดใหญ่ของโควิดสิ้นสุดลงแล้ว อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญคนอื่นกล่าวว่ายังเร็วไปที่จะพูดถึงเรื่องนี้ เพราะแม้ว่าในเดือนถัดไปจะมีโควิดสายพันธุ์รุนแรงน้อยกว่าปรากฎออกมาให้เห็น แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะตัดโอกาสของการมีสายพันธุ์ที่รุนแรงกว่าเกิดขึ้นด้วยเช่นกัน
ทางด้านของนางเทรีซี่ ฮอง ศาสตราจารย์ด้านสื่อสารมวลชนที่มหาวิทยาลัยบอสตันก็ได้ให้ความเห็นเช่นกันว่าความคิดของคนอเมริกันส่วนหนึ่งที่อาจจะนำไปสู่การปรับเปลี่ยนมาตรการนั้น ก็เป็นเพราะว่าถ้าหากโควิดเป็นเหมือนกับซีรีส์ละคร คนอเมริกันต้องดูซีรีส์นี้มีมานกว่าสองปีครึ่งแล้ว โดยต้องดูรายการเดิมๆซ้ำกันในทุกสัปดาห์ ก็ทำให้คนอเมริกันเริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายเมื่อพูดถึงการระบาดใหญ่
ทางด้านของ นพ.บรูซ วาย ลี ศาสตราจารย์ด้านนโยบายและการจัดการด้านสุขภาพที่วิทยาลัยสาธารณสุขมหาวิทยาลัยนิวยอร์กซิตี้ได้กล่าวว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราได้ลดมาตรการป้องกันต่างๆลงไปทั้งๆที่ภาวะวิกฤติปัญหาทางด้านสาธารณสุขยังคงอยู่
เพราะย้อนไปเมื่อปี 2461 ในช่งที่เกิดการระบาดของไข้หวัดสเปน ทางด้านของนายจอห์น วีคส์ ก็เคยของบประมาณนับล้านดอลลาร์เพื่อจะมารับมือกับการระบาดแล้ว ซึ่งมาตรการดังกล่าวก็ได้รับการอนุมัติอย่างเป็นเอกฉันทน์จากทั้งสองสภา
อย่างไรก็ตามในเวลานั้น นพ.รูเพิร์ต บลู หนึ่งในศัลยแพทย์ที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการดูแลเรื่องโรคระบาดก็หวังว่าจะมีการดำเนินการให้ความสำคัญกับการปกป้องภาวะสุขภาพของชาวสหรัฐฯในอนาคต งได้มีการของบประมาณเพิ่มเติมอีก แต่ทว่ารัฐสภาคองเกรสก็ไม่อนุมัติคำขอของ นพ.บลู เพราะปัญหาเรื่องงบประมาณ อีกทั้งในช่วงเวลานั้นชาวสหรัฐฯก็เริ่มไม่อยากจะฟังอะไรเกี่ยวกับโรคระบาดแล้ว เพราะความรู้สึกของผู้คนจำนวนมากนั้นต้องการจะกลับสู่ภาวะปกติ
นี่ส่งผลสำคัญอย่างหนึ่งก็คือว่าหนึ่งในสายพันธุ์ของไข้หวัดสเปน ก็ยังคงระบาดอยู่ในปัจจุบัน ณ เวลานี้
นพ.ลีกล่าวว่าจากเหตุการณ์ดังกล่าวนั้นบ่งชี้ให้เห็นว่าสำหรับวิกฤติโควิด-19 ที่เราต้องเผชิญมาเป็นระยะเวลาเกือบสามปี ตอนนี้เรากำลังทำผิดซ้ำรอยเดิมกับกรณีของไข้หวัดสเปน หรือก็คือว่าเมื่อสถานการณ์ที่เลวร้ายจบลง พวกเขาจะไม่มีการพูดคุย หารือ หรือดำเนินการเพื่อป้องกันสิ่งที่จะเกิดในอนาคต พวกเขารอแค่ว่าให้มันกลับมาเกิดขึ้นใหม่อีกครั้งก็เท่านั้น
การตรวจสอบแหล่งน้ำเสียเพื่อหาการกระจายของโควิด (อ้างอิงวิดีโอจาก Good Morning America)
“ตอนนี้เรากำลังลืมบทเรียนสำคัญ ที่เราได้เรียนรู้ไปในช่วงต้นของการระบาด อาทิ การสวมใส่หน้ากากอนามัย การใส่หน้ากากในที่ซึ่งมีผู้คนพลุกพล่าน ซึ่งการใส่หน้ากากอนามัยนั้นถือว่าเป็นเครื่องมือที่ปัจเจกบุคคลจะใช้ได้ดีที่สุดเมื่อต้องอยู่ภายในสังคมที่เริ่มจะละเลยต่อมาตรการแล้ว” นพ.ลีกล่าว
นพ.ลีกล่าวต่อไปว่าตอนนี้วงจรของโรคได้กลับมาบรรจบเหมือนในอดีตแล้วก็คือว่าเราเริ่มต้นวิกฤติจากคววามตื่นตระหนกกันก่อนแล้วก็มาสู่การที่คนเริ่มจะละเลยกับมาตรการต่างๆ ทั้งๆที่การระบาดของโควิดก็ยังคงดำเนินอยู่ต่อไป
@การเปลี่ยนผ่านอย่างนุ่มนวล จริงหรือ?
ทางทำเนียบขาวได้มีการคาดการกันว่าในฤดูใบไม้ร่วงที่จะมาถึงนี้ คนติดโควิดในสหรัฐฯอาจพุ่งถึงร้อยล้านคน แต่อย่างไรก็ตาม การที่ปรับเปลี่ยนให้โรคระบาดเป็นโรคประจำถิ่นนั้น ก็หมายความว่าไม่มีงบประมาณมาจากคองเกรสเพื่อจะสนับสนุนการรับมือกับโรคระบาด สิ่งที่ตามมาก็คือว่าสหรัฐฯ จะไม่มีเงินทุนเพิ่มเติมสำหรับการใช้อัปเดตวัคซีนที่จำเป็น โดยก็ยังไม่รู้เลยว่าในอนาคตนั้นมีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหนที่เราจะต้องการวัคซีนเหล่านี้ ถ้าหากว่าการระบาดนั้นเกิดขึ้นอีกตามที่มีการทำนายเอาไว้
นพ.ลีกล่าวโดยตั้งข้อสงสัยว่าถ้าหากคำทำนายเรื่องการระบาดเป็นจริง แล้วทาง CDC ต้องมีการปรับเปลี่ยนมาตรการอีกครั้ง โดยขอให้ชาวอเมริกันกลับไปสวมใส่หน้ากาก ผู้คนจะสามารถกลับไปปฏิบัติตามข้อกำหนดเหล่านี้ได้หรือไม่ หรือว่าเรื่องของการฉีดวัคซีน ผู้คนพร้อมที่จะกลับไปฉีดวัคซีนกันอีกหรือไม่ในช่วงเวลาที่เริ่มจะเห็นปัญหาว่าโรงพยาบาลเริ่มเต็ม และมียอดเสียชีวิตเพิ่มขึ้นแล้ว