"...ข้อสำคัญอีกประการหนึ่งคือ การนับวันเริ่มดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ ให้ผิดไปจากข้อเท็จจริง ย่อมขัดแย้งกับข้อเท็จจริงที่รู้กันอยู่ทั่วไปของประชาชนทุกภาคส่วนที่รับรู้ตรงกันว่าเริ่มต้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค.2557 และเริ่มเข้าบริหารราชการแผ่นดินและปฏิบัติหน้าที่ติดต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน..."
เมื่อวันที่ 17 ส.ค.2565 พรรคร่วมฝ่ายค้าน ร่วมกันลงชื่อ 171 รายชื่อ ยื่นต่อ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอให้ส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยความเป็นนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สิ้นสุดลง เนื่องจากดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รวมระยะเวลาเกินกว่า 8 ปี ตามมาตรา 170 วรรคสอง และมาตรา 158 วรรคสี่ ของรัฐธรรมนูญ (รธน.) ปี 2560
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า นอกจากเหตุผลตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่พูดถึงการสิ้นสุดตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว การยื่นคำร้องครั้งนี้ยังขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ พล.อ.ประยุทธ์ หยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าจะมีคำวินิจฉัยด้วย
สำหรับคำร้องฉบับเต็มมีความยาว 15 หน้า สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) นำสาระสำคัญมานำเสนอ ดังนี้
ด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้มีรายชื่อท้ายคำร้องนี้ ซึ่งมีจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร มีความประสงค์ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยความเป็นนายกรัฐมนตรีของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา สิ้นสุดลงเนื่องจากดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครบกำหนดเวลาตามมาตรา 170 วรรคสองและมาตรา 158 วรรคสี่ ของรัฐธรรมนูญ (รธน.) ปี 2560 โดยได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ ตามประกาศลงวันที่ 24 ส.ค.2557 และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีตามประกาศลงวันที่ 9 มิ.ย.2562
พล.อ.ประยุทธ์ จึงดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีติดต่อกันจนถึงวันที่ 24 ส.ค.2565 รวมระยะเวลาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเกินกว่า 8 ปี นับแต่วันที่ 25 ส.ค.2565 เป็นต้นไป ดังมีความละเอียดต่อไปนี้
1.การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค.2557 และดำรงตำแหน่งต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
เมื่อมีประกาศพระบรมราชโองการทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีตามประกาศลงวันที่ 24 ส.ค.2557 พล.อ.ประยุทธ์ จึงเริ่มต้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค.2557
เมื่อ รธน.ปี 2560 มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 6 เม.ย.2560 พล.อ.ประยุทธ์ ยังคงดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ต่อไปโดยผลของมาตรา 264 วรรคหนึ่ง ของ รธน.ปี 2560 ซึ่งบัญญัติว่า “ให้คณะรัฐมนตรีที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้ รธน.นี้ เป็นคณะรัฐมนตรี (ครม.) ตามบทบัญญัติแห่ง รธน.นี้ จนกว่า ครม.ที่ตั้งขึ้นใหม่ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกตาม รธน.จะเข้ารับหน้าที่ และให้นำความใน มาตรา 263 วรรคสาม มาใช้บังคับแก่การดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีด้วยโดยอนุโลม”
การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ต่อไปโดยผลของมาตรา 264 วรรคหนึ่งนี้ เป็นไปอย่างต่อเนื่อง จากการดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีที่ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งตาม รธน. (ฉบับชั่วคราว) ปี 2557 มาตรา 19 วรรคหนึ่ง
ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จึงดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามประกาศพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2557
ต่อมาภายหลังการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปเมื่อวันที่ 24 มี.ค.2562 ภายใต้ รธน.ปี 2560 ได้มีประกาศพระบรมราชโองการ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ตาม รธน.ปี 2560 มาตรา 158 และประกาศพระบรมราชโองการ ลงวันที่ 9 มิ.ย.2562
รวมระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามประกาศพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีทั้ง 2 ฉบับ เป็นระยะเวลากว่า 8 ปี ติดต่อกัน นับแต่วันที่ 25 ส.ค.2565 เป็นต้นไป
2.รธน.ปี 2560 มาตรา 170 วรรคสอง มาตรา 158 วรรคสี่ และมาตรา 264 ห้ามนายกรัฐมนตรีดำรงตำแหน่งเกินกว่า 8 ปี โดยให้นับระยะเวลาต่อเนื่องและมิได้กำหนดไว้อย่างชัดแจ้งว่าต้องเป็นนายกรัฐมนตรีตาม รธน.นี้เท่านั้น
เนื่องจาก รธน.ปี 2560 บัญญัติถึงลักษณะต้องห้ามหรือเหตุที่ทำให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลง โดยบัญญัติไว้ในมาตรา 170 วรรคสอง ว่า “นอกจากเหตุที่ทำให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามวรรคหนึ่งแล้ว ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเมื่อครบกำหนดเวลาตามมาตรา 158 วรรคสี่ ด้วย”
มาตรา 158 วรรคสี่ บัญญัติว่า “นายกรัฐมนตรีจะดำรงตำแหน่งรวมกันแล้วเกิน 8 ปีมิได้ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการดำรงตำแหน่งติดต่อกันหรือไม่ แต่มิให้นับรวมระยะเวลา ในระหว่างที่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปหลังพ้นจากตำแหน่ง”
โดยเหตุผลสำคัญในการบัญญัติมาตรา 158 วรรคสี่ คือ การกำหนดระยะเวลาสูงสุดไว้ 8 ปี เพื่อมิให้เกิดการผูกขาดอำนาจสร้างอิทธิพลทางการเมืองขึ้น อันจะเป็นต้นเหตุก่อให้เกิดวิกฤติทางการเมืองได้
ซึ่งเป็นการบัญญัติไว้ในทำนองเดียวกันกับมาตรา 171 วรรคสี่ ของ รธน.ปี 2550 ที่บัญญัติว่า “นายกรัฐมนตรีจะดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินกว่า 8 ปีมิได้” และเป็นการจำกัดระยะเวลาการดำรงตำแหน่งทำนองเดียวกับการดำรงตำแหน่งของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กรรมการการเลือกตั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดิน กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ กรรมการตรวจเงินแผ่นดินและกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งจำกัดวาระการดำรงตำแหน่ง 7 ปีและให้ดำรงตำแหน่งได้เพียงวาระเดียวตาม รธน.ปี 2560 มาตรา 207 มาตรา 223 มาตรา 229 มาตรา 233 มาตรา 239 และมาตรา 246 ตามลำดับ
นอกจากนั้น รธน.ปี 2560 มาตรา 264 ซึ่งเป็นบทเฉพาะกาลที่บัญญัติให้ ครม.ที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้ รธน.นี้ เป็น ครม.ตามบทบัญญัติแห่ง รธน.นี้ จนกว่า ครม.ที่ตั้งขึ้นใหม่ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกตาม รธน.นี้จะเข้ารับหน้าที่เพื่อความต่อเนื่องในการบริหารราชการแผ่นดิน
ซึ่งการบัญญัติตามมาตรา 264 นี้ ใช้คำว่า “เป็น” ครม.ตามบทบัญญัติแห่ง รธน.นี้ โดยมีความมุ่งหมายให้เป็น มิใช่ “ทำหน้าที่เป็น” ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 263 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติว่า “...ให้สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ทำหน้าที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ตามลำดับ ตามบทบัญญัติแห่ง รธน.นี้”
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มาตรา 264 วรรคสอง บัญญัติให้ ครม.ที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้ รธน.นี้ต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 160 ยกเว้นลักษณะต้องห้ามบางประการอันเป็นกรณีที่ใช้บังคับแก่ ครม.ซึ่งมีที่มาตาม รธน.นี้เป็นการเฉพาะตามมาตราที่ระบุไว้อย่างชัดแจ้ง โดยไม่ยกเว้นกรณี นายกรัฐมนตรีดำรงตำแหน่งรวมกันเกิน 8 ปี ตามมาตรา 170 วรรคสอง และมาตรา 158 วรรคสี่ เอาไว้
ดังนั้น บทบัญญัติมาตรา 158 วรรคสี่ และมาตรา 170 วรรคสอง จึงใช้บังคับแก่ พล.อ.ประยุทธ์ โดยไม่คำนึงว่าจะมีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกตาม รธน.ปี 2560 หรือไม่ หรือมีขึ้นเมื่อใด ซึ่งจะเห็นได้ว่าหากไม่มีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรก พล.อ.ประยุทธ์ ยังคงดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อเนื่องมา
พล.อ.ประยุทธ์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้เพียง 8 ปี คือวันที่ 24 ส.ค.2565 เท่านั้นอันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเจตนารมณ์ของ รธน.ปี 2560 ไม่ต้องการเอื้อโอกาสให้เกิดการผูกขาดอำนาจในทางการเมืองยาวเกินไป
อนึ่ง มีผู้กล่าวอ้างว่าการเป็นนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ ตาม รธน.(ฉบับชั่วคราว) ปี 2557 เป็นการดำรงตำแหน่งซึ่งมีที่มาที่แตกต่างจาก รธน. ปี 2560 จึงไม่อาจนับรวมระยะเวลาการดำรงตำแหน่งต่อเนื่อง 8 ปีได้นั้น พิจารณาแล้วเห็นว่าการกล่าวอ้างดังกล่าวขัดต่อบทบัญญัติของ รธน. ปี 2560 ในมาตรา 158 วรรคสี่ มาตรา 170 วรรคสองและมาตรา 264 อย่างชัดแจ้ง และขัดต่อเจตนารมณ์และจุดมุ่งหมายของการมีบทบัญญัติเรื่องระยะเวลาการดำรงตำแหน่ง 8 ปี โดยเฉพาะในมาตรา 264 ได้บัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่าให้ ครม.ที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้ รธน.ฉบับนี้เป็น ครม.ตามบทบัญญัติแห่ง รธน.นี้ ย่อมหมายรวมถึง ครม.ตาม รธน. (ฉบับชั่วคราว) ปี 2557 ด้วย
รวมถึงเห็นว่าการได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริหารไม่ว่าจะมีกระบวนการได้มาด้วยวิธีการใดก็ตามก็ล้วนแล้วแต่เป็นนายกรัฐมนตรี และเป็นผู้ใช้อำนาจบริหารซึ่งจำเป็นต้องถูกจำกัดด้วยระยะเวลาการดำรงตำแหน่งทั้งสิ้น
3.คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 5/2561 และ 7/2562 กรณี มาตรา 264 ให้รัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งอยู่ก่อนวันประกาศใช้ รธน.ปี 2560 ต้องอยู่ในบังคับของรธน. ปี 2560 และคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 3-5/2550 และ 24/2564 เรื่องการบังคับใช้กฎหมายย้อนหลังสามารถทำได้หากมิใช่โทษทางอาญา
คำวินิจฉัยที่ 5/2561 วันที่ 31 ต.ค.2561 ระหว่าง คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ผู้ร้อง นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ ผู้ถูกร้อง วินิจฉัยถึงสถานะความเป็นรัฐมนตรีซึ่งอยู่ใน ครม.ที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้ รธน. ปี 2560 ความส่วนหนึ่งในหน้าที่ 17 ถึงหน้าที่ 18 วินิจฉัยว่า
ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามประเด็นที่กำหนด ดังนี้ ประเด็นที่หนึ่ง รธน. มาตรา 264 ประกอบมาตรา 187 นำมาใช้บังคับแก่ผู้ถูกร้องได้หรือไม่ เพียงใด
พิจารณาแล้วเห็นว่า รธน. มาตรา 264 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่าให้ ครม.ที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้ รธน.นี้ เป็น ครม.ตามบทบัญญัติแห่ง รธน.นี้ จนกว่า ครม.ที่ตั้งขึ้นใหม่ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกตาม รธน.นี้จะเข้ารับหน้าที่ และให้นำความในมาตรา 263 วรรคสาม มาใช้บังคับแก่การดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีด้วยโดยอนุโลม
และวรรคสอง บัญญัติว่า รัฐมนตรีตามวรรคหนึ่งนอกจากต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตาม รธน. (ฉบับชั่วคราว) ปี 2557 แล้ว ต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่บัญญัติไว้สำหรับรัฐมนตรีตามมาตรา 160 ยกเว้น (6) เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับมาตรา 98 (12) (13) (14) และ (15) และต้องพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 170 ยกเว้น (3) และ (4) แต่ในกรณีตาม (4) เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับมาตรา 98 (12) (13) (14) และ (15) และยกเว้นมาตรา 170 (5) เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการดำเนินการตามมาตรา 184 (1)
โดยที่ รธน. มาตรา 264 เป็นบทเฉพาะกาลที่บัญญัติให้ ครม.ที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้ รธน.นี้เป็น ครม.ตามบทบัญญัติแห่ง รธน.นี้ จนกว่า ครม.ที่ตั้งขึ้นใหม่ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกตาม รธน.นี้จะเข้ารับหน้าที่เพื่อความต่อเนื่องในการบริหารราชการแผ่นดิน โดย ครม.ที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้ รธน.นี้ ต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามบทหลัก ยกเว้นลักษณะต้องห้ามบางประการอันเป็นกรณีที่ใช้บังคับแก่ ครม.ซึ่งมีที่มาตาม รธน.นี้เป็นการเฉพาะ
รวมถึง มิให้นำการพ้นจากตำแหน่งของรัฐมนตรีด้วยเหตุบางประการที่กำหนดไว้ สำหรับรัฐมนตรีตาม รธน.นี้มาใช้บังคับ ซึ่ง รธน. มาตรา 264 วรรคสอง บัญญัติยกเว้นกรณีความเป็น รัฐมนตรีสิ้นสุดลงตาม รธน. มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการไม่ดำรงตำแหน่งหรือหน้าที่ใดในหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจหรือตำแหน่งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นตามมาตรา 184 วรรคหนึ่ง (1) เท่านั้น โดยไม่ได้ยกเว้นกรณีตามมาตรา 187 ที่บัญญัติให้รัฐมนตรีต้องไม่เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทหรือไม่คงไว้ซึ่งความเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทต่อไปตามจำนวนที่กฎหมายบัญญัติแต่อย่างใด
ซึ่งสอดคล้องกับหนังสือสำนักเลขาธิการ ครม. ลงวันที่ 5 เม.ย.2560 เรื่อง การดำเนินการตาม รธน. ซึ่งแจ้งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีทุกท่านทราบเพื่อพึงระวังเกี่ยวกับการดำเนินการตาม รธน.ปี 2560 ในเรื่องการขัดกันแห่งผลประโยชน์ และไม่เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทหรือไม่คงไว้ซึ่งความเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทต่อไปตามจำนวนที่กฎหมายบัญญัติ เมื่อผู้ถูกร้องดำรงตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ เมื่อวันที่ 23 ส.ค.2558
ผู้ถูกร้องจึงเป็นรัฐมนตรีซึ่งอยู่ใน ครม.อยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้ รธน.ฉบับดังกล่าว ซึ่งจะต้องไม่เป็นหุ้นส่วน หรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทหรือไม่คงไว้ซึ่งความเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทต่อไป ตามจำนวนที่กฎหมายบัญญัติตาม รธน. มาตรา 187
คำวินิจฉัยที่ 5/2561 ดังกล่าววางบรรทัดฐานสำคัญ 2 ประการตามมาตรา 264 ของ รธน.ปี 2560
ประการที่หนึ่งคือ เมื่อ นายดอน ผู้ถูกร้อง ดำรงตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ ตั้งแต่ 23 ส.ค.2558 จึงเป็นรัฐมนตรีซึ่งอยู่ใน ครม.ที่ได้รับแต่งตั้งให้บริหารราชการแผ่นดินตาม รธน. (ฉบับชั่วคราว) ปี 2557 และเป็นรัฐมนตรีอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้ รธน. ปี 2560 จึงเป็นรัฐมนตรีตาม รธน. ปี 2560 ด้วยโดยผลของบทเฉพาะกาลมาตรา 264 วรรคหนึ่ง
ประการที่สองคือ เมื่อ รธน. ปี 2560 “มาตรา 264 วรรคสอง บัญญัติยกเว้นกรณีความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงตาม รธน. มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการไม่ดำรงตำแหน่งหรือหน้าที่ใดในหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจหรือตำแหน่ง สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นตามมาตรา 184 วรรคหนึ่ง (1) เท่านั้น โดยไม่ได้ยกเว้นกรณีตามมาตรา 187” จึงต้องนำมาตรา 187 มาบังคับใช้กับนายดอน ด้วย
ดังนั้น การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งเป็นหัวหน้า ครม.ที่ได้รับแต่งตั้งให้บริหารราชการแผ่นดินตาม รธน. (ฉบับชั่วคราว) ปี 2557 ซึ่งบังคับใช้อยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้ รธน. ปี 2560 โดยมีนายดอน ดำรงตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ ใน ครม.เดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ จึงเป็นนายกรัฐมนตรีตาม รธน. ปี 2560 โดยผลของบทเฉพาะกาลมาตรา 264 วรรคหนึ่ง เช่นเดียวกัน
เรื่องความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเมื่อครบกำหนดระยะเวลา 8 ปี ซึ่งเป็นการบัญญัติ อย่างตั้งใจและมีความสอดคล้องกับหลักการของกฎหมายปกครองที่เป็นสากล แสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์ที่ต้องการให้มาตรา 170 วรรคสองและมาตรา 158 วรรคสี่ มีผลบังคับใช้กับผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างชัดเจน เมื่อมาตรา 264 วรรคสอง ไม่ได้ยกเว้นกรณีตามมาตรา 170 วรรคสอง และมาตรา 158 วรรคสี่ ไว้
จึงต้องนำมาตรา 170 วรรคสอง และมาตรา 158 วรรคสี่ มาบังคับใช้กับกรณีของ พล.อ.ประยุทธ์ เช่นเดียวกับกับกรณีของนายดอน ไม่สามารถอ้างหรือมีสิทธิพิเศษแตกต่างไปจากกรณีของนายดอน ปรมัตถ์วินัย ตามบรรทัดฐานของคำวินิจฉัยที่ 5/2561 ดังกล่าว
คำวินิจฉัยที่ 7/2562 วันที่ 27 ส.ค.2562 ระหว่าง คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ผู้ร้อง หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล ที่ 1 , นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ ที่ 2, นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ที่ 3, และ นายธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ ที่ 4 ผู้ถูกร้อง วินิจฉัยถึงการนำ รธน. มาตรา 186 มาใช้บังคับกับรัฐมนตรีที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้ รธน.ปี 2560 ความส่วนหนึ่ง ในหน้าที่ 18 , 19 และ 21 วินิจฉัยว่า
ข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฏว่า ผู้ถูกร้องที่ 1 และผู้ถูกร้องที่ 4 ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 ธ.ค.2559 ซึ่งเป็นวันก่อนวันประกาศใช้ รธน. ปี 2560 จึงมีข้อที่ต้องพิจารณาเบื้องต้นว่า รธน. มาตรา 186 จะนำมาใช้บังคับกับผู้ถูกร้องที่ 1 และผู้ถูกร้องที่ 4 ได้หรือไม่ เพียงใด
เห็นว่า กรณีดังกล่าวคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 5/2561 วินิจฉัยสรุปได้ว่า รธน. มาตรา 264 เป็นบทเฉพาะกาลที่บัญญัติให้ ครม.ที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้ รธน.นี้เป็น ครม.ตามบทบัญญัติแห่ง รธน.นี้จนกว่า ครม.ที่ตั้งขึ้นใหม่ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกตาม รธน.นี้จะเข้ารับหน้าที่
ซึ่ง รธน. มาตรา 264 วรรคสอง บัญญัติยกเว้นกรณีความเป็นรัฐมนตรี สิ้นสุดลงตาม รธน. มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) เฉพาะกรณีตามมาตรา 184 วรรคหนึ่ง (1) เท่านั้น โดยมิได้ยกเว้นกรณีตามมาตรา 186 ประกอบมาตรา 184 วรรคหนึ่ง (2) และวรรคสาม และมาตรา 187 แต่อย่างใด
ดังนั้น รัฐมนตรีซึ่งอยู่ใน ครม.ที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้ รธน. ปี 2560 จึงเป็นรัฐมนตรีตาม รธน. มาตรา 264 และต้องนำ รธน. มาตรา 186 และมาตรา 187 มาใช้บังคับแก่รัฐมนตรีดังกล่าวด้วย โดยจะต้องถือเอาวันที่ รธน.ประกาศใช้เป็นวันเริ่มต้นการเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรี
เมื่อผู้ถูกร้องที่ 1 และผู้ถูกร้องที่ 4 ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 ธ.ค.2559 ผู้ถูกร้องทั้งสองจึงเป็นรัฐมนตรี ซึ่งอยู่ใน ครม.ที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้ รธน.ฉบับดังกล่าวซึ่งจะต้องนำ รธน. มาตรา 186 มาใช้บังคับด้วย
โดยเมื่อ รธน.ปี 2560 ประกาศใช้บังคับเมื่อวันที่ 6 เม.ย.2560 วันที่ถือว่าผู้ถูกร้องทั้งสองได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีตาม รธน. มาตรา 264 จึงเป็นวันที่ 6 เม.ย.2560 ดังนั้น ผู้ถูกร้องทั้งสองรวมทั้งคู่สมรสและบุตรจึงต้องอยู่ภายใต้บังคับของ รธน. มาตรา 186 นับแต่วันที่ 6 เม.ย.2560
และคำวินิจฉัยในหน้าที่ 21 เน้นย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า “ความเป็นรัฐมนตรีเริ่มตั้งแต่วันที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรี”
คำวินิจฉัยที่ 7/2562 นี้วินิจฉัยในแนวบรรทัดฐานเดียวกับคำวินิจฉัยที่ 5/2561ที่กล่าวมาแล้ว คือเมื่อผู้ถูกร้องที่ 1 และผู้ถูกร้องที่ 4 ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีตั้งแต่วันที่ 15 ธ.ค.2559 จึงเป็นรัฐมนตรีซึ่งอยู่ใน ครม.ที่ได้รับแต่งตั้งให้บริหารราชการแผ่นดินตาม รธน. (ฉบับชั่วคราว) ปี 2557 และเป็นรัฐมนตรีอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้ รธน.ปี 2560
ทั้งนี้ วันที่ใช้ในการวินิจฉัยการขัดกันแห่งผลประโยชน์ของรัฐมนตรีให้นับวันประกาศใช้บังคับ รธน. ปี 2560 แต่วันที่นับความเป็นรัฐมนตรีเริ่มตั้งแต่วันที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรี เพราะเป็นวันที่เข้าบริหารราชการแผ่นดินตาม รธน.
คำวินิจฉัยที่ 7/2562 จึงเป็นการย้ำบรรทัดฐานเดียวกันว่า การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ เริ่มตั้งแต่มีประกาศพระบรมราชโองการ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีตามประกาศลงวันที่ 24 ส.ค.2557 ซึ่งเป็นวันที่ได้รับแต่งตั้งให้เข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน
สำหรับข้ออ้างทำนองว่า ต้องไปเริ่มนับความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีจากวันที่ 6 เม.ย.2560 แทน เพราะเป็นวันที่ รธน.ปี 2560 มีผลบังคับใช้ จะได้ไม่ถือเป็นการใช้กฎหมายย้อนหลังให้เป็นโทษนั้น เป็นข้ออ้างที่รับฟังไม่ได้เพราะเป็นข้ออ้างที่ขัดกับประกาศพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีตามประกาศ ลงวันที่ 24 ส.ค.2557 ขัดกับบทบัญญัติที่ชัดแจ้งของ รธน. ปี 2560 มาตรา 170 วรรคสอง , มาตรา 158 วรรคสี่ และมาตรา 264 และขัดกับบรรทัดฐานของคำวินิจฉัยที่ 5/2561 และคำวินิจฉัยที่ 7/2562 ที่วินิจฉัยเรื่องเดียวกันไว้
ส่วนข้ออ้างทำนองว่าเป็นการใช้กฎหมายย้อนหลังให้เป็นโทษนั้น เป็นคนละเรื่องกับกรณีลักษณะต้องห้ามของการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในกรณีนี้ ซึ่งเป็นเรื่องของลักษณะต้องห้ามชัดแจ้ง รธน. ปี 2560 บัญญัติขึ้นเพื่อห้ามมิให้เกิดการผูกขาดอำนาจบริหารสูงสุดของประเทศเกินระยะเวลาที่กำหนด อันเป็นเรื่องของหลักการสร้างความสมดุลที่เหมาะสมให้กับประโยชน์สาธารณะโดยแท้ มิใช่เรื่องของการลงโทษทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา
นอกจากนี้การจำกัดระยะเวลาการดำรงตำแหน่งที่ให้นับรวมระยะเวลาการดำรงตำแหน่งก่อนวันที่กฎหมายมีผลบังคับใช้ก็มีบัญญัติไว้ในกฎหมายหลายฉบับ เช่น การจำกัดระยะเวลาการดำรงตำแหน่งอธิการบดีตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ.2558 มาตรา 36 ประกอบมาตรา 96 และพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พ.ศ.2558 มาตรา 34 ประกอบมาตรา 78 เป็นต้น
4.เจตนารมณ์ของการจำกัดระยะเวลาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 158 วรรคสี่
หลักการจำกัดระยะเวลาการดำรงตำแหน่งของผู้นำประเทศเป็นมาตรฐานสากลที่ยอมรับกันทั่วไปในประเทศต่าง ๆ และถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของหลักนิติธรรมหรือ Rule of Law ซึ่งเป็นผลให้ประเทศต่างๆ จำกัดระยะเวลาการดำรงตำแหน่งของผู้นำประเทศไว้ เหมือนคำกล่าวที่ว่า “อำนาจทำให้คนทุจริต อำนาจเด็ดขาด ทำให้ทุจริตได้อย่างไม่มีข้อจำกัด” หรือ Power tends to corrupt and absolute power corrupts absolutely
ซึ่งหมายความว่า คนที่มีอำนาจเหนือคนอื่นมีแนวโน้มที่จะทุจริตหรือใช้อำนาจในทางที่มิชอบได้ง่าย ดังนั้น ถ้าปล่อยให้มีคนที่มีอำนาจโดยเด็ดขาดเป็นระยะเวลายาวนานเกินไป ก็เท่ากับปล่อยให้ผู้ใช้อำนาจสามารถ ทุจริตโดยไม่มีข้อจำกัด
รธน.เป็นกฎหมายสูงสุดของการปกครองของประเทศไทย เพื่อธำรงคงไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขและอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทย
หลักการและเจตนารมณ์ของ รธน.ปี 2560 มาตรา 170 วรรคสอง มาตรา 158 วรรคสี่ และมาตรา 264 ที่กำหนดลักษณะต้องห้ามไว้อย่างชัดเจนเป็นหลักการที่มุ่งธำรงคงไว้ซึ่งอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยเป็นสำคัญ ซึ่งเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะของประเทศชาติ จึงจำเป็นต้องใช้และการตีความ เพื่อสร้างความสมดุลที่เหมาะสมให้กับประโยชน์สาธารณะเป็นสำคัญ มิใช่เพื่อประโยชน์ของบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ
สำหรับเจตนารมณ์ของการจำกัดระยะเวลาการดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีตาม รธน.มาตรา 158 วรรคสี่ ปรากฏอย่างชัดเจนในบันทึกการประชุมคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ครั้งที่ 500 วันศุกร์ที่ 7 ก.ย.2561 หน้าที่ 2-6 โดยมี กรธ. เข้าร่วมประชุม 18 คน และบันทึกการประชุมนี้คณะอนุกรรมการพิจารณาตรวจบันทึกการประชุมและรายงานการประชุม ได้ตรวจทานแล้วเมื่อวันอังคารที่ 11 ก.ย.2561 โดยในบันทึกการประชุมดังกล่าวได้จัดระเบียบวาระที่ 3 เรื่องพิจารณา เป็นเรื่อง พิจารณาความมุ่งหมายและคำอธิบายประกอบ ของรธน. ปี 2560 โดยเป็นการประชุมต่อจากการประชุมครั้งที่แล้ว และเริ่มพิจารณาตั้งแต่มาตรา 158 เป็นต้นไป
มาตรา 158 ...
ความมุ่งหมาย
“บัญญัติพระราชอำนาจในการแต่งตั้ง ครม. และวาระการดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี”
คำอธิบายประกอบ
(1) บทบัญญัติลักษณะนี้ ได้มีการบัญญัติ เป็นครั้งแรกไว้ใน รธน.ปี 2475 (มาตรา 46) และได้บัญญัติทำนองเดียวกันในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ... และ (2) วรรคท้ายได้ระบุว่า
“นอกจากนี้ได้กำหนดหลักการใหม่เกี่ยวกับการนับระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพื่อให้เกิดความชัดเจนในการนับระยะเวลา กล่าวคือ การนับระยะเวลา 8 ปีนั้น แม้บุคคลดังกล่าวจะไม่ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีติดต่อกันก็ตามแต่หากรวมเวลาทั้งหมดที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของบุคคลดังกล่าวแล้วเกิน 8 ปี ก็ต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่อย่างไรก็ตาม ได้กำหนดข้อยกเว้นไว้ว่าการนับระยะเวลาการดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี ในระหว่างรักษาการภายหลังจากพ้นจากตำแหน่ง จะไม่นำมานับรวมกับระยะเวลาการดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีดังกล่าว”
ในบันทึกการประชุมนี้ยังได้มีการบันทึกประเด็นการพิจารณาในเรื่องนี้โดยประธานกรรมการ (นายมีชัย ฤชุพันธ์) ได้กล่าวว่า “ผู้ที่เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ก่อนวันที่รัฐ ธรรมนูญ ประกาศใช้บังคับสามารถนับรวมระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีดังกล่าวเข้ากับวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตาม รธน. 2560 หรือไม่”
ซึ่ง นาย สุพจน์ ไข่มุกด์ รองประธานกรรมการ คนที่หนึ่ง กล่าวว่า “หากนายกรัฐมนตรี ที่ดำรงตำแหน่งอยู่ก่อนวันที่รธน. 2560 ประกาศใช้บังคับ เมื่อประเทศไทยยังคงมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ก็ควรนับระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งดังกล่าว รวมเข้ากับระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตาม รธน. 2560 ด้วย”
และประธานกรรมการได้กล่าวโดยสรุปอีกว่า “เมื่อพิจารณาบทเฉพาะกาลในมาตรา 264 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ให้ ครม.ที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันก่อนวัน ประกาศใช้ รธน.นี้เป็น ครม.ตามบทบัญญัติแห่ง รธน.นี้ จนกว่า ครม.ที่ตั้งขึ้นใหม่ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกตามรธน.นี้จะเข้ารับหน้าที่และให้นำความในมาตรา 263 วรรคสาม มาใช้บังคับแก่การดำรงตำแหน่งด้วยโดยอนุโลม”
การบัญญัติ ในลักษณะดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าแม้จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ก่อนวันที่ รธน.นี้ใช้บังคับก็สามารถนับรวมระยะเวลาดังกล่าวรวมกับระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตาม รธน.ปี 2560 ได้ ซึ่งเมื่อนับรวมระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ต้องมีระยะเวลาไม่เกิน 8 ปี
โดย กรธ. คนอื่นมิได้โต้แย้งหรือมีความเห็นที่แตกต่างไปจากหลักการนี้และในบันทึกการประชุมฯ หน้า 5-6 ได้ระบุว่า กรธ. ได้มีมติ ดังนี้
1.เห็นชอบความมุ่งหมายของมาตรา 158 ตามที่คณะอนุกรรมการตรวจพิจารณาบันทึกเจตนารมณ์ร่าง รธน.เสนอ โดยไม่มีการแก้ไข
2. วรรคสอง ระบุว่า “นอกจากนี้ได้กำหนดหลักการใหม่เกี่ยวกับการนับระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการนับระยะเวลากล่าวคือ การนับระยะเวลาแปดปีนั้น แม้บุคคลดังกล่าวจะมิได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีติดต่อกันก็ตาม แต่หากรวมระยะเวลาทั้งหมดที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของบุคคลดังกล่าวแล้วเกิน 8 ปี ก็ต้องห้ามมิให้ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่อย่างไรก็ตาม ได้กำหนดข้อยกเว้นไว้ว่าการนับระยะเวลาการดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี ในระหว่างรักษาการภายหลังจากพ้นจากตำแหน่ง จะไม่นำมานับรวมกับระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีดังกล่าว การกำหนดระยะเวลา 8 ปีก็เพื่อมิให้เกิดการผูกขาดอำนาจ ในทางการเมืองยาวเกินไปอันจะเป็นต้นเหตุวิกฤติทางการเมืองได้”
โดยสรุปจากบันทึกการประชุม กรธ. ถึงเจตนารมณ์และความมุ่งหมายของมาตรา 158 เรื่องการจำกัดระยะเวลาการดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี ได้มีการระบุไว้อย่างชัดเจนว่า “การกำหนดระยะเวลา 8 ปี ก็เพื่อมีให้เกิดการผูกขาดอำนาจในทางการเมืองยาวเกินไป อันจะเป็นต้นเหตุวิกฤติทางการเมืองได้”
และในระหว่างการประชุมยังมีการบันทึกประเด็นการพิจารณา ก็มีความหมายที่ชัดเจนอยู่แล้วว่า ใครก็ตามที่เข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ด้วยวิธีการใดก็ได้ ก่อนวันที่ รธน.ประกาศใช้บังคับก็สามารถนับรวมระยะเวลาดังกล่าวกับระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตาม รธน.ปี 2560 ได้
ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ เมื่อทั้งประธาน กรธ. ได้นำประเด็นนี้เข้าสู่การพิจารณาและมี นายสุพจน์ ไข่มุกด์ รองประธานคนที่หนึ่ง ให้ความเห็นโดยประธาน กรธ.ได้กล่าวสรุปในทำนองเดียวกัน กรธ. ผู้อื่น มิได้โต้แย้งหรือให้ความเห็นที่แตกต่าง และมีการรับรองรายงานการประชุมอย่างถูกต้อง จึงถือเป็นความเห็นที่ชอบจากการประชุม และเป็นเจตนารมณ์ของผู้ร่าง รธน.ในมาตรานี้
5.การไม่เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของ พล.อ.ประยุทธ์ ในโอกาสรับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีในครั้งหลัง เมื่อวันที่ 9 มิ.ย.2562 โดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) อ้างว่ามิใช่การเข้ารับตำแหน่งใหม่
พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 (พ.ร.ป.ป.ป.ช.) เป็นกฎหมายที่มีฐานะเป็นกฎหมายประกอบ รธน. และเสนอร่างตามขั้นตอนที่ รธน. ปี 2560 มาตรา 132 กำหนดไว้ทุกประการ กล่าวคือ ผ่านการประชุมร่วมกันของรัฐสภาและผ่านการพิจารณาให้ความเห็นจากศาลฎีกา ศาลรัฐธรรมนูญ และองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้องว่าเป็นร่างกฎหมายที่ไม่มีข้อความใดขัดหรือแย้งต่อ รธน.
บทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในกรณีนี้คือ พ.ร.ป.ป.ป.ช. ปี 2561 มาตรา 105 และมาตรา 106 กำหนดแยกการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินเป็น 2 กรณี
กรณีที่หนึ่งคือ การยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินเมื่อเข้ารับตำแหน่งในกรณีนี้ นายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช.เมื่อเข้ารับตำแหน่งและพ้นจากตำแหน่งทุกครั้งตามมาตรา 105 วรรคสาม (1) และในกรณีนี้ ป.ป.ช.ต้องเปิดเผยบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินให้ประชาชนทราบเป็นการทั่วไป โดยเร็วตามมาตรา 106 วรรคหนึ่ง
กรณีที่สองคือ การพ้นจากตำแหน่งและได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเดิมภายในหนึ่งเดือน กรณีหลังนี้ มาตรา 105 วรรคสี่ บัญญัติว่าไม่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน แต่ไม่ต้องห้ามที่ผู้นั้นจะยื่นเพื่อเป็นหลักฐาน
ข้อเท็จจริงปรากฏว่า พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีตามประกาศพระบรมราชโองการ ลงวันที่ 24 ส.ค.2557 และได้ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินไว้แล้ว ระบุว่ามีทรัพย์สินรวมคู่สมรส ทั้งสิ้น 128,664,535 บาท มีหนี้สินทั้งสิ้น 654,745 บาท ป.ป.ช.ได้เปิดเผยบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินตามมาตรา 106 วรรคหนึ่ง
ต่อมา เมื่อนายกรัฐมนตรี ได้รับโปรดเกล้าฯ ตามประกาศพระบรมราชโองการ ลงวันที่ 9 มิ.ย.2562 ตาม รธน. ปี 2560 พล.อ.ประยุทธ์ ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินเพื่อเป็นหลักฐานตามมาตรา 105 วรรคสี่ และในครั้งนี้ ป.ป.ช.ไม่ได้เปิดเผยบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินตามมาตรา 106 วรรคหนึ่ง
ข้อเท็จจริงซึ่งรู้กันอยู่ทั่วไป ปรากฏว่ามีการเรียกร้องผ่านสื่อมวลชนทุกแขนงขอให้มีการเปิดเผยบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินในครั้งหลังด้วย ต่อมาเมื่อมีการเรียกร้องกันมากขึ้น ในช่วงเดือน ก.ค.-ส.ค. 2562 ผู้บริหารระดับสูงของ ป.ป.ช.หลายคนออกมาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน เผยแพร่ต่อสาธารณชนยืนยันสอดคล้องกันว่า กรณีการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ของ พล.อ.ประยุทธ์ ครั้งหลังนี้ไม่ใช่การเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีใหม่ตามมาตรา 105 วรรคสาม (1) แต่เป็นการยื่นเพื่อเป็นหลักฐานตามมาตรา 105 วรรคสี่ เท่านั้น
เป็นผลให้ ป.ป.ช.ไม่สามารถเปิดเผยบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินให้ประชาชนทราบได้ตาม มาตรา ๑๐๖ วรรคหนึ่ง ซึ่งนับจนถึงปัจจุบัน ก็ยังไม่มีการเปิดเผยบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินให้ประชาชนทราบตามมาตรา 106 วรรคหนึ่ง
ดังนั้น ตลอดระยะเวลาที่ พล.อ.ประยุทธ์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีติดต่อกันมา 8 ปี จึงมีการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินที่มีการเปิดเผยบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินให้ประชาชนทราบ เพียง 1 ครั้งเท่านั้น คือในปี 2557
แสดงให้เห็นว่าบทบัญญัติตาม พ.ร.ป.ป.ป.ช. ปี 2561 ถือสอดคล้องเช่นเดียวกันว่า การยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของ พล.อ.ประยุทธ์ ถูกต้องครบถ้วนตามกฎหมายมาตั้งแต่การยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินครั้งแรกในปี 2557 เมื่อครั้งที่เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 ส.ค.2557 และถือเช่นนี้ตลอดมาโดยไม่ต้องมีการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินจากการเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครั้งอื่นอีกมาจนถึงปัจจุบัน
แสดงให้เห็นว่า พ.ร.ป.ป.ป.ช.ปี 2561 ถือเช่นเดียวกันว่าคุณสมบัติความเป็นนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ เริ่มต้นเมื่อวันที่ 24 ส.ค.2557 ติดต่อมาจนถึงปัจจุบัน และความเป็นรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ จะะสิ้นสุดลงตาม รธน.ปี 2560 มาตรา 170 วรรคสอง และมาตรา 158 วรรคสี่ เมื่อดำรงตำแหน่งครบ 8 ปี ในวันที่ 24 สิงหาคม 2565
6.คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามตามข้อเท็จจริงที่รู้กันอยู่ทั่วไป
จากประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขพบว่า รธน.ในอดีตทุกฉบับรวมทั้ง รธน. ปี 2560 ล้วนบัญญัติให้มีตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพียงตำแหน่งเดียว และมีบุคคลผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียวในแต่ละช่วงเวลา โดยเป็นที่รับรู้และเข้าใจของประชาชนทุกภาคส่วนในประเทศไทยว่านายกรัฐมนตรีคือรัฐมนตรีผู้เป็นหัวหน้าของ ครม.ที่ทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน
ข้อสั่งการและนโยบายต่าง ๆ ที่มอบหมายโดย พล.อ.ประยุทธ์ ล้วนกระทำในตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี เอกสารราชการทุกฉบับที่ลงนามโดยนายกรัฐมนตรีตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค.2557 จนถึงปัจจุบัน ล้วนลงนามโดย พล.อ.ประยุทธ์ ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีติดต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน
ดังนั้น ข้อเท็จจริงที่รู้กันอยู่ทั่วไปของประชาชนทุกภาคส่วนจึงรับรู้ตรงกันว่า พล.อ.ประยุทธ์ ดำรง ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค.2557 ติดต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน
เมื่อ รธน. ปี 2560 มาตรา 170 วรรคสอง และมาตรา 158 วรรคสี่ บัญญัติลักษณะต้องห้ามไว้ชัดแจ้งว่า นายกรัฐมนตรีจะดำรงตำแหน่งรวมกันแล้วเกิน 8 ปีมิได้ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการดำรงตำแหน่งติดต่อกันหรือไม่ ซึ่งประชาชนทุกภาคส่วนรับรู้กันทั่วไป จึงมีความจำเป็นต้องตีความและใช้กฎหมาย รธน.ให้ไม่ขัดหรือแย้งกับข้อเท็จจริงที่รู้กันอยู่ทั่วไปของประชาชนทุกภาคส่วน และเพื่อคุ้มครองประโยชน์สาธารณะหรือประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ
โดยสรุป ข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงทั้ง 6 ข้อดังกล่าวมีเหตุผลสอดคล้องต้องกันว่าการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นไปตามประกาศพระบรมราชโองการ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีตามประกาศลงวันที่ 24 ส.ค.2557
และ พล.อ.ประยุทธ์ เริ่มต้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค.2557 ติดต่อกันมาจนถึงปัจจุบันรวมกันแล้วเกิน 8 ปี นับแต่วันที่ 25 ส.ค.2565 ซึ่งเป็นลักษณะต้องห้ามสำคัญที่ รธน. ปี 2560 มาตรา 170 วรรคสอง และ มาตรา 158 วรรคสี่ บัญญัติห้ามไว้อย่างชัดแจ้ง
อีกทั้งบทเฉพาะกาลตามมาตรา 264 วรรคสอง ที่บัญญัติข้อยกเว้นการมีลักษณะต้องห้ามสำหรับกรณีต้องพ้นจากตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีไว้โดยละเอียด ซึ่งยกเว้น มาตรา 170 (5) เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการดำเนินการตามมาตรา 184 (1) ไว้ด้วย แต่ไม่บัญญัติยกเว้นกรณี ตามมาตรา 170 วรรคสอง และมาตรา 158 วรรคสี่ ไว้อย่างตั้งใจ
จึงต้องนำลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 170 วรรคสอง และมาตรา 158 วรรคสี่ มาบังคับใช้กับกรณีการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีรวมกันแล้วเกิน 8 ปีของ พล.อ.ประยุทธ์ ด้วย
ข้ออ้างทำนองว่า ต้องไปเริ่มนับความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีจากวันที่ 6 เม.ย.2560 แทน เพราะเป็นวันที่ รธน. ปี 2560 มีผลบังคับใช้ หรือต้องไปเริ่มนับวันที่ 9 มิ.ย.2562 เพราะเป็นวันที่มีประกาศพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ ครั้งที่ 2 นั้น
นอกจากจะขัดแย้งกับเจตนารมณ์ของ รธน.ที่ต้องการจำกัดระยะเวลาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและไม่ต้องการเอื้อโอกาสให้เกิดการผูกขาดอำนาจในทางการเมืองยาวเกินไปแล้ว ยังเป็นการตีความที่ขัดกับประกาศพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีตามประกาศลงวันที่ 24 ส.ค.2557 และขัดแย้งกับบทบัญญัติที่ชัดแจ้งของ รธน. ปี 2560 มาตรา 170 วรรคสอง มาตรา 158 วรรคสี่ และมาตรา 264
อีกทั้งยังขัดแย้งกับบรรทัดฐานของคำวินิจฉัยที่ 5/2561 และคำวินิจฉัยที่ 7/2562 ที่วินิจฉัยเรื่องเดียวกันไว้ด้วย ที่สำคัญ พล.อ.ประยุทธ์ จะเป็นนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียวที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้เกิน 8 ปี
ข้อสำคัญอีกประการหนึ่งคือ การนับวันเริ่มดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ ให้ผิดไปจากข้อเท็จจริง ย่อมขัดแย้งกับข้อเท็จจริงที่รู้กันอยู่ทั่วไปของประชาชนทุกภาคส่วนที่รับรู้ตรงกันว่า พล.อ.ประยุทธ์ เริ่มต้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค.2557และเริ่มเข้าบริหารราชการแผ่นดินและปฏิบัติหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค.2557 ติดต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน ข้ออ้างที่ขัดแย้งกับข้อเท็จจริงที่รู้กันอยู่ทั่วไปของประชาชนทุกภาคส่วนเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้
และย่อมส่งผลเสียต่อทั้งประโยชน์สาธารณะของประเทศชาติและต่อศาลรธน.เอง รวมทั้งยังจะนำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงในประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้