"...พฤติกรรมของ พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ ซึ่งเป็นพนักงาน สอบสวน ดังกล่าวมาข้างต้น จะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์อันดี และการประสานงานระหว่างสํานักงานตํารวจ แห่งชาติ และสํานักงานอัยการสูงสุด อย่างร้ายแรง และก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัยของพนักงานอัยการในการปฏิบัติ หน้าที่อย่างร้ายแรงที่สุด เนื่องจาก พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ เป็นเจ้าพนักงานที่สามารถพกพาอาวุธปืนได้ ทําให้ ข้าพเจ้ามีความหวาดระแวง และความเครียดอย่างสูงในการใช้ชีวิตประจําวัน อันจะส่งผลถึงประสิทธิภาพในการ ทํางานอีกด้วย..."
กรณีเกิดเหตุ อัยการ มีข้อพิพาทกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่จังหวัดเพชรบุรี!
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานไปแล้วว่า ขณะนี้ได้มีการส่งแชร์ต่อข้อมูลในห้องกลุ่มไลน์อัยการเป็นจำนวนมาก กรณีพนักงานอัยการสำนักงานอัยการจังหวัดเพชรบุรีรายหนึ่ง ทำบันทึกถึงอัยการสูงสุด (อสส.) ผ่านอัยการจังหวัดเพชรบุรี และอธิบดีอัยการภาค7 เพื่อขอให้คุ้มครองความปลอดภัยเป็นการด่วน หลังถูกส่งข้อความข่มขู่ ดูหมิ่น และเหยียดหยาม เนื้อหาในบันทึกข้อความ ระบุว่า กรณีนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากการอัยการรายนี้ ได้ทำการติดต่อประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจรายหนึ่ง ที่เป็นผู้รับผิดชอบสำนวนสอบสวนคดีการจับกุมผู้ต้องหา ฐานกระทำความผิดลักทรัพย์ ใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ มาดำเนินการฟ้องร้องตามขั้นตอนทางกฎหมาย แต่ปรากฏว่าพยานหลักฐานในสำนวนยังไม่เรียบร้อย มีความบกพร่องอยู่ จึงได้ทำการติดต่อประสานงานกับ เจ้าหน้าที่ตำรวจรายนี้ เพื่อขอข้อมูลพยานหลักฐานเพิ่มเติม แต่ได้รับการแจ้งข้อมูลตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
ก่อนที่ในเวลาต่อมาอัยการรายนี้ จะได้รับข้อความส่งเข้ามาในโทรศัพท์ มีลักษณะข่มขู่ ดูหมิ่น และเหยียดหยาม จึงได้ทำการตรวจสอบข้อมูลพบว่า ข้อความเหล่านี้ ถูกส่งมาจากโทรศัพท์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจรายนี้ แต่เจ้าตัวปฏิเสธไม่ยอมรับว่า เป็นผู้ส่ง และยังมีท่าทีแข็งกร้าว ไม่เคารพอัยการจังหวัด เบื้องต้น เมื่อวันที่ 9 ก.พ.2565 อัยการรายนี้ ได้เดินทางเข้าแจ้งความลงบันทึกประจำวันเป็นหลักฐานกับพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรเมืองเพชรบุรี เกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว พร้อมทำบันทึกถึงอัยการสูงสุด ผ่านอัยการจังหวัดเพชรบุรี และอธิบดีอัยการภาค7 เพื่อขอให้คุ้มครองความปลอดภัยเป็นการด่วน เนื่องจากกังวลว่าจะเกิดความไม่ปลอดภัย เพราะตำรวจรายนี้เป็นเจ้าพนักงานที่สามารถพกพาอาวุธปืนแบบถูกต้องตามกฎหมาย และกังวลว่าเรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์อันดีระหว่างตำรวจและอัยการอย่างร้ายแรงได้
ต่อไปนี้เป็นรายละเอียด ในบันทึกข้อความ ที่ พนักงานอัยการสำนักงานอัยการจังหวัดเพชรบุรีรายนี้ ทำบันทึกถึงอัยการสูงสุด (อสส.) ผ่านอัยการจังหวัดเพชรบุรี และอธิบดีอัยการภาค7 เพื่อขอให้คุ้มครองความปลอดภัยเป็นการด่วน หลังถูกส่งข้อความข่มขู่ ดูหมิ่น และเหยียดหยาม กรณีดังกล่าว
************************
กราบเรียน อัยการสูงสุด (ผ่านอัยการจังหวัดเพชรบุรี และอธิบดีอัยการภาค 7)
เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2565 สํานักงานอัยการจังหวัดเพชรบุรี ได้รับสํานวนการสอบสวนจากพนักงานสอบสวน สถานีตํารวจภูธรท่ายาง ผู้ต้องหาชื่อ นางสาว ส. (ตัวย่อ) ถูกกล่าวหาว่ากระทําความผิดฐาน ลักทรัพย์ ใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ โดยมี ( ขอปกปิด ยศ ชื่อ นามสกุล ) เป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ ลงรับเป็นสํานวน ส.1 เลขรับที่ 223/2565 ซึ่งจะครบกําหนดฝากขังผู้ต้องหาครั้งที่ 4 (ครั้งสุดท้าย) ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2565
ต่อมา วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2565 อัยการจังหวัดเพชรบุรี ได้มีคําสั่งจ่ายสํานวนตามระเบียบ ให้แก่ข้าพเจ้า อัยการจังหวัด.... เป็นเจ้าของสํานวน และนาย ส. เป็นผู้กลั่นกรองงาน
ข้าพเจ้าได้ทําการตรวจสํานวนเบื้องต้นตามระเบียบแล้ว พบว่า พยานหลักฐานในสํานวนยังไม่เรียบร้อย ขาดเอกสาร สําคัญในสํานวนหลายประเภท หลายฉบับ อันเป็นเอกสาร สําคัญต่อการพิจารณาข้อเท็จจริงแห่งคดี และใช้พิสูจน์ข้อเท็จจริงต่อศาลในการสืบพยาน ทั้งยังมีการแจ้งข้อกล่าวหาผู้ต้องหาไม่ครบถ้วนตามพยานหลักฐานเท่าที่ปรากฏในสํานวน ประกอบกับใกล้จะครบกําหนดระยะเวลาฝากขังผู้ต้องหาครั้งสุดท้ายแล้ว
ข้าพเจ้าจึงเห็นว่า หากประสานงานทางโทรศัพท์กับพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ เพื่อแจ้งข้อบกพร่องที่ประสงค์จะทําการสอบสวน เพิ่มเติมไปก่อนที่จะออกหนังสือสั่งการ จะทําให้พนักงานสอบสวนทํางานได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น และสามารถสั่งสํานวนได้เสร็จเรียบร้อยภายในกําหนดเวลาฝากขังผู้ต้องหา ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2565
เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2565 เวลาประมาณ 12.38 น. ข้าพเจ้าจึงได้โทรศัพท์ถึง พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ ที่หมายเลข 080-025-5XXX แต่ไม่มีผู้รับสาย
ต่อมา เวลาประมาณ 12.42 น. พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ ได้โทรศัพท์กลับมาหาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงได้แจ้งข้อบกพร่องในสํานวน และ ขอเอกสารเพิ่มเติม
พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบรายนี้ มีน้ำเสียงไม่พอใจ และกล่าวว่า “ท่านจะเอาเอกสารไปทําไม เพื่อ ประเด็นอะไร”
ข้าพเจ้าจึงตอบไปว่า “เอามาใช้ร่างฟ้อง เพราะข้อเท็จจริงตามที่สอบสวนมาไม่ครบครับ”
พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ ตอบว่า “ท่านจะเอาอะไร อ่ะ 1 ว่ามา”
ข้าพเจ้าจึงตอบไปว่า “หน้าสมุดบัญชีธนาคารของผู้เสียหาย พร้องรับรองสําเนาถูกต้อง”
พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ ตอบว่า “อ่ะ 2 ว่ามา”
ข้าพเจ้าจึงตอบไปว่า “รูปภาพหน้าแอป พลิเคชั่นธนาคารที่ผู้เสียหายใช้ที่แสดงถึงชื่อของผู้เสียหาย พร้อมรับรองสําเนา และระบุข้อความว่าใช้ผูกกับ หมายเลขโทรศัพท์อะไรและรหัสเข้าใช้คืออะไร”
พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ ตอบว่า “แค่นี้ใช่ไม๊ที่อยากได้” แล้ววาง ตัดสายไป
เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 เวลาประมาณ 10.30 น. พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ ได้มอบหมายให้ นายตํารวจส่งสํานวน นําเอกสารดังกล่าวมามอบให้
ต่อมา เวลา 13.02 น. ข้าพเจ้าจึงได้โทรศัพท์ถึง พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ ที่หมายเลข 080-025-5XXX อีกครั้งหนึ่ง เพื่อแจ้งว่าต้องทําการแจ้งข้อกล่าวหาแก่ผู้ต้องหาเพิ่มเติมในฐานความผิด “เข้าถึงโดยมิชอบซึ่งระบบคอมพิวเตอร์และข้อมูลคอมพิวเตอร์ ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้นมิได้มีไว้สําหรับตน” ด้วย
แต่ พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ กลับมีน้ำเสียงไม่พอใจและกล่าวว่า “ทําไมต้องแจ้งเพิ่ม ก็มันมีข้อหาใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ท่านดูโทษหรือยัง ว่าโทษมันหนักกว่า เคยปรึกษาผู้กํากับ อ. แล้ว บอกว่าไม่ต้องแจ้ง”
ข้าพเจ้าจึงตอบว่า “ผู้กํากับ อ. ไม่ได้ฟ้อง ผมเป็นคนฟ้อง และผู้ต้องหากระทําความผิดข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯด้วย”
พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ ได้กล่าวตอบอย่างมีอารมณ์ว่า “เอาจริงๆ ผมไม่ว่างแจ้งหรอก อบรมสารวัตรอยู่”
ข้าพเจ้าจึงตอบไป ว่า “ไม่เป็นไรอย่างไงผมมีหนังสือสอบเพิ่มไปอยู่แล้ว”
พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ มีน้ำเสียงไม่พอใจและกล่าวว่า “อยากจะสั่งอะไรก็สั่งมา สั่งมา สั่งมาเลย ผมจะได้รู้ด้วยว่าคุณเป็นใครชื่ออะไร” แล้วตัดสายโทรศัพท์ข้าพเจ้าทันที
ต่อมา วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 เวลาประมาณ 19.30 น. ข้าพเจ้าได้ทําการตรวจสอบโทรศัพท์ของ ข้าพเจ้า พบว่า มีโทรศัพท์ หมายเลข 0953591XXX ได้ส่งข้อความมาที่โทรศัพท์ของข้าพเจ้า
เมื่อเวลา 16.22 น. ความว่า “เป็นอะไรมากป่าว อยากโชว์ขึ้นหรอ มาทําลูกพี่กูก่อนนะ เดินทางปลอดภัยนะ เดี๋ยวอาจจะได้ เจอกัน”
เวลา 16.32 น. ความว่า “ทําอะไร ทําดีๆ นะ คิดให้ดี ขอโทษ ยังทัน”
เวลา 19.22 น. ความว่า “ชอบจัง คนมีกึ๋น ผ่านมา ท่ายาง ถ้าดูแลรักษาตัวให้ดี เช็คเบสแปบ ถ้าผ่านมา***
เวลา 19.23 น. ความว่า “คุณมีกึ๋น เรามีนอกเกม นะจ้ะ อยากๆๆๆ อยากเจอโว้ยยย” (ดูเอกสารประกอบ)
ต่อมา ในวันเดียวกัน เวลา 17.25 น. มีโทรศัพท์ หมายเลข 0953591XXX ซึ่งเป็นหมายเลข เดียวกับที่ส่งข้อความดังกล่าวมาหาข้าพเจ้า โทรเข้ามายังโทรศัพท์ของข้าพเจ้า
แต่ข้าพเจ้าไม่ได้รับสาย
หลังจากนั้น ข้าพเจ้าได้ทําการตรวจสอบเบื้องต้นเกี่ยวกับหมายเลขโทรศัพท์ดังกล่าวด้วยตนเอง พบว่ามีความเชื่อมโยงกับ พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ
ประกอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นช่วงเวลาต่อเนื่องภายหลังจากที่ พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ แสดงอาการไม่พอใจข้าพเจ้าทางโทรศัพท์ และเข้าใจว่าบุคคลทั่วไปไม่น่าจะทราบหมายเลขโทรศัพท์ของพนักงานอัยการได้ ประกอบกับข้อความในเชิงข่มขู่ ดูหมิ่น เหยียดหยาม ดังกล่าวมีความสอดคล้องเชื่อมโยงกับพฤติการณ์ ของเรื่อง และพฤติกรรมของ พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ อย่างมีนัยยะสําคัญ และ ต่อมาเวลา 20.09 นาฬิกา ได้มี โทรศัพท์ หมายเลข 080-025-5XXX ชื่อเป็นหมายเลขโทรศัพท์ของ พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ โทรเข้ามายังโทรศัพท์ ของข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าไม่ได้รับสายเช่นกัน
วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2565 เวลาประมาณ 10 นาฬิกา ข้าพเจ้าได้เข้าพบอัยการจังหวัดเพชรบุรี เพื่อรายงาน เรื่องดังกล่าวให้ทราบ อัยการจังหวัดเพชรบุรี จึงได้ประสานงานติดต่อทางโทรศัพท์กับ ผู้กํากับสถานีตํารวจภูธร ท่ายาง
ต่อมา เวลาประมาณ 14.00 นาฬิกา ผู้กํากับสถานีตํารวจภูธรท่ายาง หัวหน้าพนักงานสอบสวนสถานี ตํารวจภูธรท่ายาง และ พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ ได้เดินทางเข้าพบอัยการจังหวัดเพชรบุรี ข้าพเจ้าได้เข้าร่วมเจรจา พูดคุยดังกล่าวด้วย
ซึ่ง พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ ได้ให้การปฏิเสธว่า ไม่ได้เป็นผู้ส่งข้อความดังกล่าวเข้ามาที่หมายเลข โทรศัพท์ของข้าพเจ้า และมีท่าทีแข็งกร้าว ไม่ให้ความเคารพผู้บังคับบัญชาตนเอง ไม่ให้ความเคารพอัยการจังหวัดเพชรบุรี
อย่างไรก็ตาม ผู้กํากับสถานีตํารวจภูธรท่ายาง และหัวหน้าพนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรท่ายาง ได้ ยืนยันว่า หมายเลขโทรศัพท์ 0953591XXX ซึ่งเป็นหมายเลขที่ส่งข้อความดูหมิ่น เหยียดหยาม และแสดงความ อาฆาตมาดร้ายข้าพเจ้า ทั้งยังโทรศัพท์เข้ามาหาข้าพเจ้า ภายหลังจากที่ส่งข้อความสุดท้ายมา ดังกล่าวแล้ว
เป็น หมายเลขโทรศัพท์ของ พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ ผู้ใต้บังคับบัญชาของตนเองจริง
วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2565 เวลาประมาณ13.45 น. ข้าพเจ้าจึงได้เดินทางเข้าแจ้งความลงบันทึก ประจําวันเป็นหลักฐานกับพนักงานสอบสวน สถานีตํารวจภูธรเมืองเพชรบุรี เกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว
ทั้งนี้ การที่มีบุคคลส่งข้อความดังกล่าวถึงข้าพเจ้าในฐานะพนักงานอัยการ ย่อมเป็นการดูหมิ่น เหยียดหยาม ข้าพเจ้าในฐานะพนักงานอัยการซึ่งเป็นข้าราชการระดับสูงอย่างร้ายแรง และยังเป็นการข่มขู่ให้เกิดความกลัว หวาดระแวง ทั้งที่ ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ด้วยความสุจริตอย่างยิ่งยวดมาโดยตลอด
ทั้งนี้ หากสามารถตรวจสอบยืนยันได้ว่า หมายเลขโทรศัพท์ 0953591XXX เป็นหมายเลขโทรศัพท์ของ พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ และพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ เป็นผู้ส่งข้อความดังกล่าวมาหาข้าพเจ้าจริง ย่อมเป็นการไม่ สมควรอย่างยิ่ง
ด้วยเหตุเป็นการสืบเนื่องมาจากการที่ข้าพเจ้าในฐานะพนักงานอัยการ ปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วย กฎหมาย และอํานวยความสะดวกให้แก่พนักงานสอบสวน เพื่อร่วมกันทํางานขับเคลื่อนกระบวนการยุติธรรมทาง อาญาให้เป็นไปโดยถูกต้อง ชอบธรรม และรวดเร็ว อันจะส่งผลดีต่อประชาชน และช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้ กระบวนการสอบสวนมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
แต่พฤติกรรมของ พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ ซึ่งเป็นพนักงาน สอบสวน ดังกล่าวมาข้างต้น จะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์อันดี และการประสานงานระหว่างสํานักงานตํารวจ แห่งชาติ และสํานักงานอัยการสูงสุด อย่างร้ายแรง และก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัยของพนักงานอัยการในการปฏิบัติ หน้าที่อย่างร้ายแรงที่สุด
เนื่องจาก พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ เป็นเจ้าพนักงานที่สามารถพกพาอาวุธปืนได้
ทําให้ ข้าพเจ้ามีความหวาดระแวง และความเครียดอย่างสูงในการใช้ชีวิตประจําวัน อันจะส่งผลถึงประสิทธิภาพในการ ทํางานอีกด้วย
จึงใคร่ขอกราบเรียนให้มีการกําหนดมาตรการรักษาความปลอดภัยให้แก่ข้าพเจ้า และพนักงานอัยการ ทั่วราชอาณาจักร และให้ความคุ้มครองแก่ข้าพเจ้าเป็นการเร่งด่วน ตามสมควร
จึงกราบเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา
*******************
สำนักข่าวอิศรา รายงานเพิ่มเติมว่า อย่างไรก็ดี ข้อมูลที่ปรากฏอยู่ในบันทึกข้อความฉบับนี้ เป็นข้อมูลเฉพาะในฝั่งของพนักงานอัยการเท่านั้น ยังไม่มีคำชี้แจงเหตุผลเป็นทางการจากฝั่งพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ ที่ถูกกล่าวถึงในคดีนี้ด้วยแต่อย่างใด
ข้อเท็จจริงอีกด้านเป็นอย่างไร คงต้องรอฟังเป็นทางการอีกครั้ง