"..ประเทศอิสราเอล เป็นหนึ่งในผู้นำกลุ่มแรกในการเปิดตัววัคซีนโควิด-19 ซึ่งกำลังเดิมพันอีกครั้ง สำหรับการเป็นประเทศแรกที่ฉีดวัคซีนเข็มที่ 4 เพื่อต่อสู้กับการระบาดของโอไมครอน โดยการฉีดวัคซีนเข็มที่ 4 นั้น จะฉีดให้กับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องเป็นกลุ่มแรก ส่วนผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีและเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์จะได้รับวัคซีนเช่นกันในวันอาทิตย์ที่ 9 มกราคมที่จะถึงนี้.."
นับเป็นปีที่ 3 ที่ทั่วโลกกำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แม้ว่าขณะนี้สถานการณ์จะรุนแรงขึ้นเนื่องจากเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ ‘โอไมครอน’ หรือ 'B.1.1.529' เชื้อไวรัสกลายพันธุ์ใหม่ นับว่าเป็นสายพันธุ์ที่ 5 ที่มีอุบัติขึ้น ซึ่งเพิ่งถูกค้นพบและได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการจากองค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2564 และถูกจัดให้อยู่ในสายพันธุ์ที่ ‘น่ากังวล’ (Variant of Concern: VOC) โดยถูกพบครั้งแรกในประเทศแอฟริกาใต้
ข้อมูลล่าสุดจาก newsnodes.com เปิดเผยว่า พบการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนใน 144 ประเทศและดินแดนทั่วโลก โดยยอดติดเชื้อโอไมครอนสะสมทั่วโลกอยู่ที่ 517,386 ราย
ประเทศที่พบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอไมครอนมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่
-
อังกฤษ 246,780 ราย
-
เดนมาร์ก 61,563 ราย
-
สหรัฐอเมริกา 54,631 ราย
-
เยอรมนี 51,472 ราย
-
นอร์เวย์ 23,446 ราย
สำหรับประเทศไทยอยู่อันดับที่ 14 โดยพบผู้ติดเชื้อ 2,338 ราย
ส่วนจำนวนผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อโอไมครอนอยู่ที่ 114 รายทั่วโลก แบ่งเป็น ผู้เสียชีวิตในอังกฤษ 75 ราย เดนมาร์ก 18 ราย เยอรมนี 15 ราย เกาหลีใต้ 2 ราย และ สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย อินเดีย โมร็อกโก ประเทศละ 1 ราย
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดที่รุนแรงขึ้นในช่วงปลายปี 2564 ที่ผ่านมา และต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน จนนับได้ว่าเป็นการระบาดระลอกที่ 5 ส่งผลให้หลายประเทศมีการปรับมาตรการต่างๆ ให้เข้มงวด และกวดขันมากยิ่งขึ้น
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการปรับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของแต่ละประเทศ มีรายละเอียดที่น่าสนใจ ดังนี้
สหราชอาณาจักร
นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรี ประกาศว่าประเทศกำลังเผชิญกับสถานการณ์ฉุกเฉินโอไมครอน และยกระดับเตือนภัยของโรคเป็นระดับ 4 ซึ่งเกือบจะรุนแรงสูงสุด หลังพบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์นี้ในลักษณะทวีคูณ โดยได้มีการออกมาตรการอย่งเข้มงวดขึ้น พร้อมทั้งมีการปรับแผนการฉีดวัคซีนเพื่อกระตุ้นภูมิ
เมื่อวันที่ 10 ธันวานคม 2564 รัฐบาลได้มีคำสั่งให้ประชาชนต้องสวมใส่หน้ากากตลอดเวลาเมื่ออยู่ในอาคารสาธารณะ รวมถึงศาสนสถาน โรงละคร โรงภาพยนตร์ ร้านค้า และขนส่งสาธารณะ ยกเว้นผับ ร้านอาหาร หรือสถานที่ออกกำลังกาย
ต่อมาในวันที่ 13 ธันวาคม รัฐบาลขอให้พลเมืองเริ่มทำงานอยู่บ้าน ถ้าสามารถทำได้ และนับแต่ 15 ธันวาคม สำหรับผู้ที่จะไปเที่ยวไนท์คลับ สถานที่ชุมนุมในร่ม และกลางแจ้ง ต้องมีหลักฐานแสดงว่าฉีดวัคซีนครบแล้ว (NHS Covid Pass) หรือผลตรวจโควิด-19 ที่เป็นลบ
นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ปรับเกณฑ์การฉีดเข็มกระตุ้น ให้กับผู้มีอายุตั้งแต่ 18 ปี โดยลดระยะห่างของเข็ม 2 และเข็ม 3 จาก 6 เดือนเหลือ 3 เดือน
ส่วนผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำจะได้รับเข็ม 4 หลังจากรับเข็ม 3 ไปแล้ว 3 เดือน และสำหรับเด็กอายุ 12-15 ปี จะได้รับเข็ม 2 หลังจากรับเข็มแรกไปแล้ว 3 เดือน
โดยลำดับผู้ได้รับวัคซีนก่อนหลัง เรียงจากประชาชนกลุ่มเสี่ยง ถัดไปเป็นกลุ่มผู้สูงอายุ แล้วจึงเป็นผู้อายุน้อย
ฝรั่งเศส
ท่ามกลางสถานการณ์น่ากังวล รัฐบาลฝรั่งเศสพยายามป้องกันด้วยการออกวัคซีนพาสปอร์ต กำหนดให้ผู้ที่จะเข้าสถานที่สาธารณะต้องฉีดวัคซีนครบแล้ว รวมไปถึงยังกำหนดมาตรการนี้ในการใช้ระบบขนส่งมวลชนด้วยกัน อย่างไรก็ตามความพยายามที่จะออกกฎหมายใหม่นี้เผชิญกับเสียงต่อต้านจากฝ่ายค้าน และยังไม่ได้ข้อสรุปในสภา นั่นหมายความว่า จนถึงตอนนี้การจะเข้าใช้บริการที่สาธารณะ ร้านอาหาร หรือสถานที่ต่างๆ ผู้คนยังต้องโชว์หลักบานการฉีดวัคซีน หรือผลตรวจที่เป็นลบอยู่
หากกฎหมายนี้ผ่านจะเป็นการยกระดับความเข้มงวดไปอีกขั้น เพราะสำหรับคนที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน ต่อให้พวกเขามีผลตรวจเป็นลบ ก็ไม่สามารถเข้าใช้บริการต่างๆ ได้อยู่ดี ถ้ายังไม่ได้ฉีดวัคซีน
นอกจากนี้ ฝรั่งเศสยังได้เริ่มฉีดวัคซีนโควิดให้กับเด็กอายุระหว่าง 5 - 11 ปีในวันที่ 22 ธันวาคมที่ผ่านมา แต่ยังไม่มีการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้กับเด็กอายุ 12-15 ปี
เยอรมนี
ไม่นานหลังจากเทศกาลคริสต์มาส เยอรมนีเตรียมพร้อมสำหรับคลื่นโอไมครอนที่เป็นไปได้ โดยออกประกาศว่าตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคม จะกลับมาใช้มาตรการจำกัดการรวมตัว จำกัดเพียง 10 คนเท่านั้น และมีการสั่งปิดผับ บาร์ และไนท์คลับ ส่วนการแข่งขันฟุตบอลจะจัดขึ้นโดยไม่มีผู้ชม
“ไวรัสโคโรน่าไม่ได้หยุดช่วงคริสต์มาส เราไม่สามารถ - และต้องไม่ - กระพริบตาในขณะที่กำลังเผชิญคลื่นการระบาดลูกถัดไป” โอลาฟ ชอลซ์ นายกรัฐมนตรีเยอรมนี กล่าว
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลกำลังถกเถียงกันว่าควรลดระยะเวลากักกัน 14 วันสำหรับผู้ที่มีผลตรวจเป็นบวกสำหรับผู้ติดเชื้อหรือไม่ ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า พวกเขากังวลเกี่ยวกับการสร้างภาระให้กับโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น เช่น ภาคการดูแลสุขภาพ หรือตำรวจและบริการดับเพลิง หากมีคนจำนวนมากเกินไปที่ต้องแยกจากกันในเวลาเดียวกัน
เยอรมนี จะทำตามตัวอย่างของฝรั่งเศสและสเปน ซึ่งลดระยะเวลาการแยกตัวจาก 10 เป็น 7 วัน อย่างไรก็ตาม ในฝรั่งเศส การปรับเปลี่ยนนี้มีผลกับผู้ที่ได้รับวัคซีนเท่านั้น พวกเขาสามารถย่นระยะเวลากักกันให้เหลือ 5 วัน หาผลการตรวจหาเชื้อ PCR เป็นลบ
โปรตุเกส
โปรตุเกสสั่งปิดบาร์ ไนท์คลับตั้งแต่วันที่ 26 ธันวาคม 2564 พร้อมทั้งบังคับให้ประชาชนทำงานที่บ้านจนถึง 9 มกราคมนี้ รวมถึงจำกัดการรวมตัวกลางแจ้งไว้ที่ 10 คน
ฟินแลนด์
ผับ บาร์ และร้านอาหารในฟินแลนด์ จะต้องปิดในเวลา 22:00 น. ในวันที่ 24 ธันวาคม 2564 และเนื่องจากประเทศแถบนอร์ดิกมีการติดเชื้อที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ รัฐบาลจึงได้ประกาศให้ ร้านอาหารจะต้องปิดเวลา 18:00 น. โดยมีที่นั่งจำกัด นักเดินทางที่มาจากเขตเชงเก้นปลอดพรมแดนของสหภาพยุโรปจะต้องแสดงผลการทดสอบโควิดเป็นลบ ตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคมที่ผ่านมา
อิสราเอล
ประเทศอิสราเอล เป็นหนึ่งในผู้นำกลุ่มแรกในการเปิดตัววัคซีนโควิด-19 ซึ่งกำลังเดิมพันอีกครั้ง สำหรับการเป็นประเทศแรกที่ฉีดวัคซีนเข็มที่ 4 เพื่อต่อสู้กับการระบาดของโอไมครอน
โดยการฉีดวัคซีนเข็มที่ 4 นั้น จะฉีดให้กับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องเป็นกลุ่มแรก ส่วนผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีและเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์จะได้รับวัคซีนเช่นกันในวันอาทิตย์ที่ 9 มกราคมที่จะถึงนี้
เมื่อปีที่แล้ว อิสราเอลเป็นประเทศแรก ที่เสนอการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น หรือ บูสเตอร์โดส ก่อนที่ประเทศอื่นๆ จะทำตาม ซึ่งการฉีดวัคซีนเข็มที่ 4 นี้ จะเป็นข้อมูลใหม่เพื่อพิสูจน์ประสิทธิภาพการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นสำหรับประเทศอื่นๆ อีกด้วย
เนเธอร์แลนด์
เนเธอร์แลนด์ ประกาศล็อกดาวน์ทั่วประเทศในเดือนธันวาคม 2564 ที่ผ่านมา เพื่อป้องกันการแพร่การะจายของเชื้อโอไมครอน สั่งปิดกิจการธุรกิจต่างๆ ที่ไม่จำเป็นทั้งหมด จนถึง 14 มกราคม 2565 ในขณะที่โรงเรียนต่างๆ จะยังคงปิดจนถึงวันที่ 9 มกราคม 2565
มาตรการดังกล่าวมีผลบังคับใช้ในช่วงการเฉลิมฉลองในวันหยุดปีใหม่ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้ผู้คนหลายพันคนในเมืองอัมสเตอร์ดัมไม่พอใจ โดยมีการชุมนุมเพื่อคัดค้านการล็อกดาวน์
ออสเตรีย
ในเดือนพฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา ออสเตรียได้มีคำสั่งล็อกดาวน์ทั่วประเทศเป็นเวลา 3 สัปดาห์ ซึ่งประสบความสำเร็จในการลดจำนวนผู้ป่วยโควิด-19 ที่กำลังพุ่งสูงขึ้น
ทั้งนี้ ยังมีมาตรการบังคับใช้เฉพาะผู้ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนอีกด้วย คือ ผู้ที่ไม่ฉีดวัคซีน จะได้รับอนุญาตให้ออกจากบ้านเพื่อทำกิจกรรมที่จำเป็นเท่านั้น เช่น การซื้อของใช้ในชีวิตประจำวัน หรือการไปพบแพทย์
ญี่ปุ่น
ในขณะที่ประเทศในเอเชียส่วนใหญ่สามารถรักษาระดับโอไมครอนได้ แต่หลายประเทศก็กำลังเตรียมพร้อมสำหรับการเพิ่มขึ้นที่อาจเกิดขึ้น อินเดียได้เห็นการเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ทันทีที่ตรวจพบกรณีแรกของตัวแปร ญี่ปุ่นได้ออกประกาศข้อกำหนดที่เข้มงวดที่สุด คือ ชาวต่างชาติส่วนใหญ่ถูกห้ามไม่ให้เข้า
ไทย
ภาคการท่องเที่ยวของไทย ได้รับผลกระทบในช่วงการระบาดใหญ่ โดยรัฐบาลยังอนุญาติให้ชาวต่างเข้าประเทศได้ แต่ต้องเข้ารับการกักตัว และระงับโปรแกรม Test & Go ชั่วคราว
แม้ว่าทั่วโลกยังคงพยายามศึกษาทำความเข้าใจความรุนแรงของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนนี้อยู่ แต่มีการศึกษาและความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญในหลายประเทศที่ตรงกันว่า โอไมครอนแพร่ง่าย กระจายเร็ว แต่รุนแรงไม่เท่าสายพันธุ์เดลต้า จากข้อมูลที่พบว่า โอไมครอนกระจายที่บริเวณหลอดลมมากกว่าจะลงปอด
ทั้งนี้ ในสายตาของผู้เชี่ยวชาญบางคนที่มองว่า คุณสมบัติแพร่กระจายได้ไวแต่มีความรุนแรงน้อยกว่าเดลต้า ที่น้อยจนผู้ป่วยบางรายอาจไม่แสดงอาการ อาจเป็นตัวพลิกเกม เนื่องจากหาโอไมครอนเข้ามาแทนที่เดลต้า ซึ่งเป็นสายพันธุ์หลัก ผู้ติดเชื้อจะป่วยไม่รุนแรง และแม้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ก็จะส่งผลให้คนจำนวนมากเหล่านี้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ต่อทุกสายพันธุ์และจะไม่เกิดการติดเชื้ออีก
อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อความชัดเจน หมายความว่า ยังไม่ควรประมาท และควรปฏิบัติตามมาตรการ หรือระเบียบการเฝ้าระวังการระบาดของโควิด-19 ต่อไป
เรียบเรียงจาก:
Britain faces ‘tidal wave’ of Omicron cases, nationwide boosters flagged