“…ผู้ที่ได้รับวัคซีนโควิดสามารถแพร่เชื้อสายพันธุ์เดลต้าได้ แต่ก็สามารถกำจัดเชื้อได้เร็วกว่า คนที่ยังไม่ได้รับวัคซีน อย่างไรก็ตามปริมาณไวรัสที่พบสูงสูงสุดจากกลุ่มตัวอย่างที่ได้รับวัคซีนครบโดสแล้ว กลับคล้ายคลึงกับปริมาณไวรัสที่พบในบุคคลที่ยังไม่ได้รับวัคซีน…”
ท่ามกลางการระบาดของโควิด หลายคนอาจกังวลกับตัวเลขยอดผู้ติดเชื้อโควิดที่กลับมาลุกลามอีกครั้ง แม้แต่ในประเทศสหรัฐอเมริกา อิสราเอล หรือสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นประเทศที่ฉีดวัคซีนครบโดสเป็นจำนวนมากแล้วก็ตาม
โดยเว็บไซต์ Bloomberg เปิดเผยข้อมูล ณ วันที่ 4 พ.ย.2564 ว่า สหรัฐเมริกาฉีดวัคซีนสะสม 425.27 ล้านโดส แบ่งเป็นเข็มแรก 66.9% และเข็มที่สอง 58.1%, อิสราเอลฉีดวัคซีนสะสม 15.95 ล้านโดส แบ่งเป็นเข็มแรก 69% และเข็มที่สอง 63.4% และสหราชอาณาจักร ฉีดวัคซีนสะสม 104.47 ล้านโดส แบ่งเป็นเข็มแรก 75%% และเข็มที่สอง 68.5%
อย่างไรก็ตามแม้การติดเชื้อส่วนใหญ่ของคนกลุ่มนี้ที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว จะไม่ทำให้เกิดอาการป่วยโควิดที่รุนแรง แสดงให้เห็นว่าวัคซีนโควิดสามารถลดอาการป่วยและความตายได้เป็นอย่างดี แต่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ได้แปลและเรียบเรียงข้อมูลจากเว็บไซต์ The Conversation พบว่า ผู้ติดเชื้อโควิดที่ได้รับวัคซีนแล้ว ยังสามารถแพร่เชื้อไปสู่บุคคลอื่นได้ โดยมีหลักฐานเบื้องต้นชี้ว่า ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันสามารถมีเชื้อไวรัสในจมูกในระดับสูง และอาจสูงเท่ากับคนที่ไม่ได้รับวัคซีน แต่หากได้รับวัคซีนแล้ว วัคซีนจะช่วยกำจัดเชื้อไวรัสได้เร็วยิ่งขึ้น และลดเวลาในการติดเชื้อแพร่กระจายเชื้อได้
สำหรับสาเหตุที่พบยอดผู้ติดเชื้อโควิดกลับมาเพิ่มขึ้นนั้น มีผลการศึกษาจากสหราชอาณาจักรของแอปพลิเคชัน UK Zoe Covid Study พบว่าภูมิคุ้มกันที่เราได้รับจากวัคซีนโควิดลดลงเมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 4-6 เดือน โดยจากการศึกษาผู้ได้รับวัคซีนโควิด 1.2 ล้านคน พบผู้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ มีภูมิคุ้มกันหลังฉีดวัคซีน 1 เดือน จาก 88% เมื่อผ่านไป 5-6 เดือน ลดเหลือ 74% และผู้ฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า มีภูมิคุ้มกันหลังฉีดวัคซีน 1 เดือน จาก 77% เมื่อผ่านไป 4-5 เดือน ลดเหลือ 67%
อย่างไรก็ตามโควิดสายพันธุ์เดลต้า (อินเดีย) ยังคงระบาดอยู่ ดังนั้นเมื่อภูมิคุ้มกันลดลงจึงนำไปสู่การติดเชื้อที่ลุกลามมากขึ้น
ขณะเดียวกันยังมีข้อมูลจากประเทศอิสราเอล แสดงให้เห็นว่าผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้วกำลังป่วยด้วยโรคโควิด เนื่องจากชาวอิสราเอลเริ่มฉีดวัคซีนตั้งแต่เดือน ธ.ค.2563 และประชากรส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนในต้นปี 2564
ผ่านมาแล้วกว่า 6 เดือนนับตั้งแต่ได้รับวัคซีนอย่างครบถ้วน ตอนนี้ในโรงพยาบาลส่วนใหญ่เต็มไปด้วยผู้สูงอายุป่วยโควิด 87% ชี้ให้เห็นว่าภูมิคุ้มกันและความสามารถในการป้องกันโรคลดลงตามกาลเวลา ซึ่งประเทศอิสราเอลคาดว่ากลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ และผู้มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ จะเป็นกลุ่มแรกที่เสี่ยงต่อการป่วยโควิด
ดังนั้นการรับมือกับสิ่งเหล่านี้ในขณะที่ประเทศกำลังปรับตัวให้อยู่ร่วมกับโควิด (Stay with Covid) นับเป็นความท้าทายต่อเนื่องสำหรับทุกประเทศ
เว็บไซต์ The Conversation
ภูมิคุ้มกันจากวัคซีนลดลง
เว็บไซต์ The Conversation เปิดเผยอีกว่า ภูมิคุ้มกันที่ลดลงหมายความว่าจำเป็นต้องได้รับวัคซีนเสริมเพื่อเพิ่มการป้องกัน อย่างน้อยก็ในช่วง 2-3 ปีถัดไป ในขณะที่เชื้อโควิดสายพันธุ์เดลต้ายังระบาดอยู่ในระดับสูง
เนื่องจากวัคซีนที่ได้รับอนุมัติให้ใช้ในปัจจุบัน สร้างมาจากแบบจำลองตามสายพันธุ์โควิดดั้งเดิม คือ สายพันธุ์อู่ฮั่น ซึ่งไม่ใช่สายพันธุ์เดลต้าที่พบอยู่ทั่วโลกในปัจจุบัน การจับคู่ที่ไม่สมบูรณ์ระหว่างวัคซีนและเชื้อโควิด หมายความว่าระดับการป้องกันต่อสายพันธุ์เดลต้าจะลดลงเล็กน้อยด้วย
ทั้งนี้ ระดับของประสิทธิภาพวัคซีน ตอนเริ่มต้นประสิทธิภาพจะสูงมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไปจะลดลง ซึ่งอาจนำไปสู่การติดเชื้อที่ลุกลามรวดเร็ว ดังนั้นการฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 จะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้สูงขึ้นไปอีก เพื่อปกป้องตนเองจากเชื้อโควิดได้ยาวนานขึ้น
สัมผัสโควิดนาน เสี่ยงติดเชื้อ
เว็บไซต์ The Conversation เปิดเผยต่อว่า ระดับการสัมผัสกับเชื้อโควิดน่าจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งของการติดเชื้อที่ลุกลามได้ แม้จะได้รับวัคซีนครบโดสแล้วก็ตาม
การติดต่อกับผู้ป่วยที่มีผลตรวจโควิดเป็นบวกเพียงชั่วครู่ เราจะไม่หายใจเอาไวรัสเข้าไปมากนัก จึงไม่เกิดการติดเชื้อ แต่หากอยู่ในห้องเดียวกันเป็นเวลานาน เราอาจหายใจเอาไวรัสเข้าไปจำนวนมาก ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของเราเริ่มต่อสู้กับไวรัสได้ยากขึ้น
นี่เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่เราเห็นเจ้าหน้าที่สาธารณสุขบางคนติดเชื้อโควิดขั้นรุนแรง เนื่องจากเจ้าหน้าที่ต้องเผชิญกับปริมาณไวรัสที่สูง
ยังไม่มีข้อมูลชัดเด็กเล็กแพร่เชื้อ
เว็บไซต์ The Conversation เปิดเผยถึงบทบาทของเด็กต่อการแพร่เชื้อโควิดด้วยว่า ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่าเด็กมีส่วนเกี่ยวข้องทำให้เกิดการติดเชื้อ วัคซีนยังไม่ได้รับการอนุมัติสำหรับเด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 12 ปี ดังนั้นจึงทำให้เราพบว่ามีผู้ป่วยเด็กเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับผู้สูงอายุ การศึกษาในช่วงแรกๆ ก่อนการระบาดของโควิดสายพันธุ์เดลต้า ระบุว่าเด็กไม่ได้มีส่วนสำคัญในการแพร่เชื้อ
แต่การศึกษาล่าสุดในกลุ่มประชากรที่ได้รับแต่วัคซีนและมีการระบาดของสายพันธุ์เดลต้าเป็นไวรัสหลัก ได้เปิดเผยว่าเด็กอาจมีส่วนร่วมในการแพร่เชื้อ แต่ข้อมูลนี้ยังต้องตรวจสอบเพิ่มเติม แต่เป็นไปได้ว่าหากอาศัยอยู่ร่วมกับเด็กที่ไม่ได้รับวัคซีนที่ติดเชื้อโควิด และเราต้องสัมผัสเชื้อโควิดเป็นเวลานานหลายชั่วโมงในแต่ละวัน ดังนั้นเราจะหายใจเอาไวรัสจำนวนมากเข้าไป ยิ่งมีปริมาณไวรัสมากเพียงใด โอกาสที่เราจะติดเชื้อจะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
นี่จึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ควรให้วัคซีนกับเด็กที่มีอายุ 12-15 ปี รวมถึงเด็กที่มีอายุน้อยกว่าในอนาคต หากมีผลการทดสอบพบว่าวัคซีนมีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในกลุ่มเด็กเล็ก
วัคซีนนอกจากจะช่วยควบคุมการแพร่ระบาดแล้ว ยังช่วยปกป้องเด็กและทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ด้วย
การพัฒนาของสายพันธุ์เดลต้า
การติดเชื้อโควิดของผู้ที่ได้รับวัคซีนครบโดสแล้ว แม้ว่าหลังการป่วยจะทำให้เกิดภูมิคุ้มกันสูงขึ้น เหมือนกับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น แต่ขณะนี้ก็ยังไม่มีข้อมูลใดที่ตอบได้ชัดเจนว่าการติดเชื้อโควิดจะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันได้จริงหรือไม่
เว็บไซต์ The Conversation แนะนำว่า ทางที่ดีที่สุดควรหลีกเลี่ยงหรือระมัดระวังตนเองไม่ให้ติดเชื้อโควิดจะดีกว่า เนื่องจากหากเราเกิดมีอาการป่วยโควิดรุนแรง อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ และการเพิ่มภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อเป็นเพียงความหวังที่จะเกิดขึ้นหลังสถานการณ์ที่ดูเหมือนจะย่ำแย่ (Silver Lining)
โควิดอาจกลายเป็นโรคประจำถิ่น ซึ่งหมายความว่าเชื้อจะเข้าสู่ประชากรมนุษย์ ดังนั้นเราจะต้องจับตาดูปฏิสัมพันธ์ระหว่างวัคซีนกับไวรัสอย่างสม่ำเสมอ ไวรัสอาจเริ่มหมดไฟ แต่ก็เป็นไปได้ที่จะพัฒนาอย่างต่อเนื่องและสามารถหลบเลี่ยงวัคซีนได้ เช่นเดียวกับไข้หวัดใหญ่
เว็บไซต์ Firstpost
งานวิจัยอังกฤษชี้ฉีดวัคซีนครบ แพร่เชื้อคนในบ้านได้
ขณะเดียวกัน เว็บไซต์ Firstpost เปิดเผยผลการศึกษาครัวเรือนในสหราชอาณาจักร จากวารสาร The Lancet Infectious Diseases ด้วยว่า ผู้ที่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิดสามารถแพร่เชื้อโควิดสายพันธุ์เดลต้าได้ แต่ก็สามารถกำจัดเชื้อได้เร็วกว่า คนที่ยังไม่ได้รับวัคซีน
อย่างไรก็ตาม ปริมาณไวรัสที่พบสูงสูงสุดจากกลุ่มตัวอย่างผู้ได้รับวัคซีนครบโดสแล้ว กลับคล้ายคลึงกับปริมาณไวรัสที่พบในบุคคลที่ยังไม่ได้รับวัคซีน
แรกเริ่มทีมนักวิจัยจากอิมพีเรียลคอลเลจลอนดอน (Imperial College London) สหราชอาณาจักร ตั้งข้อสังเกตว่าการแพร่กระจายของเชื้อโควิดส่วนใหญ่เกิดขึ้นในครอบครัว แต่ยังมีข้อมูลที่จำกัดเกี่ยวกับความเสี่ยงของการแพร่เชื้อโควิดสายพันธุ์เดลต้าแบบไม่มีอาการหรือมีอาการน้อยของผู้ที่ได้รับวัคซีน
นอกจากนี้นักวิจัยยังตั้งข้อสังเกตอีกว่า การแพร่เชื้อโควิดระหว่างผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้ว ทำให้ผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน จำเป็นต้องรับวัคซีนป้องกันโควิด เพื่อป้องกันการติดเชื้อและลดความรุนแรงโรคด้วยหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้คนจำนวนมากจะใช้เวลาอยู่ใกล้กันในช่วงฤดูหนาว
ศาสตราจารย์อจิต ลัลวานี จากอิมพีเรียลคอลเลจลอนดอน ผู้ร่วมวิจัย กล่าวว่า วัคซีนมีความสำคัญต่อการควบคุมโรคระบาด เนื่องจากเรารู้ว่าวัคซีนป้องกันความเจ็บป่วยร้ายแรงและการเสียชีวิตจากโควิดได้ดีมาก
อย่างไรก็ตามผลการวิจัยของเราแสดงให้เห็นว่าการฉีดวัคซีนอย่างเดียวไม่เพียงพอต่อการป้องกันผู้คนจากการติดเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลต้าและการแพร่ระบาดในครัวเรือน
การศึกษาครั้งนี้มีผู้เข้าร่วม 621 ราย เริ่มเก็บข้อมูลตั้งแต่ ก.ย.2563-ก.ย.2564 ผู้เข้าร่วมทุกคนมีอาการป่วยจากโควิดเล็กน้อยหรือไม่แสดงอาการ ซึ่งผู้เข้าร่วมการวิจัยจะได้รับการตรวจหาเชื้อโควิดด้วยวิธีมาตรฐาน RT-PCR ทุกวัน เป็นเวลา 14-20 วัน เพื่อสังเกตการเปลี่ยนแปลงของปริมาณไวรัสในจมูกและลำคอ
ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มที่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิดมีความเสี่ยงติดโควิดสายพันธุ์เดลต้าเพิ่มขึ้นภายใน 3 เดือน หลังจากได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 เนื่องจากภูมิคุ้มกันที่ลดลง
นอกจากนี้ในจำนวน 133 รายที่ได้ตรวจวิเคราะห์หาสายพันธุ์โควิด พบผู้มีเชื้อโควิดสายพันธุ์อัลฟ่า (อังกฤษ) จำนวน 39 รายยังไม่ได้ฉีดวัคซีน และมีผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลต้า จำนวน 16 รายยังไม่ได้ฉีดวัคซีน และอีก 29 รายได้รับวัคซีนครบ 2 โดสแล้ว
“การสุ่มตัวอย่างซ้ำหลายครั้งและบ่อยครั้งจากการสัมผัสผู้ป่วยโควิด เราพบว่าผู้ที่ได้รับวัคซีนสามารถแพร่เชื้อโควิดภายในครัวเรือนได้” ดร.อนิกา ซินกานายากัม จากอิมพีเรียลคอลเลจลอนดอน ผู้ร่วมวิจัย กล่าว
จากผลการศึกษา ชี้ให้เห็นอีกว่า มาตรการด้านสาธารณสุขและสังคม เพื่อควบคุมการแพร่เชื้อ เช่น การสวมหน้ากาก การเว้นระยะห่างทางสังคม ยังคงมีความสำคัญ แม้กระทั่งในผู้ที่ได้รับวัคซีน
อ้างอิง :
-
https://www.bloomberg.com/graphics/covid-vaccine-tracker-global-distribution/
-
https://theconversation.com/why-are-we-seeing-more-covid-cases-in-fully-vaccinated-people-an-expert-explains-166741
-
https://www.firstpost.com/health/covid-19-can-be-transmitted-by-fully-vaccinated-people-at-home-shows-lancet-study-10095961.html
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage