"...จำเลยเป็นอัยการจังหวัดสุรินทร์ พึงต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตให้สมกับที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นทนายความ ของแผ่นดิน แต่จำเลยกลับอาศัยตำแหน่งหน้าที่ดังกล่าวแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ ซึ่งมี ผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรม พฤติการณ์แห่งคดีนับว่าเป็นเรื่องร้ายแรง..."
..........................................
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) เคยนำเสนอข่าวไปแล้วว่า ร.ต.อ.เฉลิม นพเก้า เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอัยการพิเศษประจำกรม สำนักงานอัยการ เขต 3 รักษาราชการในตำแหน่งอัยการจังหวัดสุรินทร์ ถูกศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำพิพากษายืนตามศาลจังหวัดสุรินทร์ (ศาลชั้นต้น) ให้จำคุก 10 ปี ในคดีเรียกรับทรัพย์สินจากผู้ต้องหาคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และข่มขู่ว่าจะดำเนินคดีให้ได้รับโทษหนักขึ้น หากไม่ยินยอมตามที่เรียกร้อง
ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา สืบค้นข้อมูลพบว่า ในช่วงเดือนมกราคม 2564 ที่ผ่านมา ศาลฎีกา มีคำพิพากษายืน ให้จำคุก 10 ปี ร.ต.อ.เฉลิม นพเก้า และเชื่อได้ว่ามิได้กระทำการเช่นนี้เป็นครั้งแรก จึงสมควรลงโทษเพื่อมิให้เจ้าพนักงานอื่น เอาเป็นเยี่ยงอย่าง
ขณะที่ในกระบวนการพิจารณาคดีนี้ ยังมีข้อมูลที่น่าสนในอยู่ตรงที่การวินิจฉัยของศาลฯ เกี่ยวกับการนำบันทึกเสียงสนทนาที่แอบอัดไว้มาใช้เป็นหลักฐานสำคัญในการพิจารณาคดี ซึ่งแม้การบันทึกเสียงสนทนาที่เกิดขึ้นจะได้มาโดยมิชอบ แต่ศาลฯ ใช้ดุลพินิจ รับฟังได้
ปรากฎรายละเอียดตามคำพิพากษาฎีกาดังต่อไปนี้
ขณะเกิดเหตุ ร.ต.อ.เฉลิม นพเก้า ในฐานะจำเลย รับราชการสังกัดสำนักงานอัยการสูงสุด ตำแหน่ง อัยการพิเศษประจำกรม สำนักงานอัยการเขต 3 (ปัจจุบันสำนักงานอัยการภาค 3) ได้รับแต่งตั้งให้ปฏิบัติราชการ รักษาการในตำแหน่งอัยการจังหวัดสุรินทร์ มีอำนาจหน้าที่ในการ บริหารงานคดีในฐานะหัวหน้าพนักงานอัยการในท้องที่จังหวัดสุรินทร์ ดำเนินคดีและฟ้อง ผู้ต้องหาต่อศาลชั้นต้น รวมทั้งมีอำนาจหน้าที่ให้ความเห็นสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้องในฐานะ พนักงานอัยการเจ้าของสำนวน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 143
เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2550 เจ้าพนักงานสถานีตำรวจภูธรปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ร่วมกันจับกุมนาย อ. พร้อมแจ้งข้อหานำยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) เข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และยังมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต พาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยเปิดเผยและโดยไม่ได้รับใบอนุญาต กับเสพเมทแอมเฟตามีน
ต่อมาวันที่ 27 พฤศจิกายน 2550 พนักงานสอบสวนสถานี ตำรวจภูธรปราสาท ส่งสำนวนการสอบสวนพร้อมตัวนาย อ. ไปยังสำนักงานอัยการ จังหวัดสุรินทร์ โดยมีความเห็นควรสั่งฟ้อง
ขณะที่ จำเลยเป็นเจ้าของสำนวนคดีดังกล่าวในชั้น การดำเนินคดีของพนักงานอัยการ
วันที่ 2, 4 และ 14 ธันวาคม 2550 จำเลยเดินทางไป ที่บ้านของบิดานาย อ. ผู้ต้องหา ที่อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ แพทย์หญิง ภ. ภริยานาย อ. เป็นผู้บันทึกภาพและเสียงการสนทนาของ จำเลย และเป็นผู้ถอดเทปการสนทนาดังกล่าว โดยเสียงผู้ชายที่พูดในแผ่นซีดี เป็นเสียงของจำเลย
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 หรือไม่
โดยจำเลยฎีกาว่า จำเลยเดินทางไปที่บ้านของ นาย อ. เพื่ออธิบายข้อกฎหมายและการดำเนินคดีในแต่ละขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม ตามที่แพทย์หญิง ภ. กับพวกสอบถาม และเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตนั้น
เห็นว่า จำเลยเป็นพนักงานอัยการเจ้าของสำนวน ไม่มีหน้าที่ต้องเดินทางไปที่บ้านของบิดานาย อ. ผู้ต้องหาเพื่ออธิบายข้อกฎหมายและขั้นตอนการดำเนินคดีให้ผู้ต้องหาและญาติผู้ต้องหาทราบ
อีกทั้งการที่จำเลยเดินทางไปที่บ้านของนาย อ. ที่จังหวัดบุรีรัมย์ ถึง 3 ครั้ง ขณะที่จำเลยรับราชการอยู่ที่จังหวัดสุรินทร์ โดยนำสำนวนการสอบสวนและหนังสือ ที่จะแจ้งให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเพิ่มเติมไปแสดงแก่ฝ่ายแพทย์หญิง ภ. ด้วยนั้น นับเป็นข้อพิรุธผิดปกติวิสัยของพนักงานอัยการที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต จะไม่กระทำเช่นนั้น
แต่กลับส่อพฤติกรรมให้เชื่อว่าไปติดต่อให้ฝ่ายผู้ต้องหาวิ่งเต้นล้มคดีกับจำเลย เสียมากกว่า
ข้อกล่าวอ้างของจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง
ที่จำเลยฎีกาประการต่อไปว่า จำเลย เป็นเจ้าของสำนวนยังไม่ได้มีความเห็นทางคดีว่าจะสั่งคดีประการใด แพทย์หญิง ภ. จึงวางแผนให้จำเลยถูกย้ายเพื่อไม่ให้จำเลยมีอำนาจในการสั่งคดีของนาย อ. โดยทำการ บันทึกภาพและเสียงของจำเลย นั้น
ปรากฏตามบันทึกถอดเทปการสนทนาว่าแพทย์หญิง ภ. พยายามขอร้องให้จำเลยช่วยเหลือนาย อ. เนื่องจาก นาย อ. ไม่ได้นำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักร
ซึ่งจำเลยก็มิได้ปฏิเสธที่จะช่วยเหลือเพียงแต่รอให้ทางฝ่ายแพทย์หญิง ภ. เสนอจำนวนเงินเท่านั้น
เช่นนี้ ย่อมไม่มี เหตุผลใดที่แพทย์หญิง ภ. จะวางแผนกลั่นแกล้งจำเลยให้ถูกย้ายจากตำแหน่งอัยการจังหวัดสุรินทร์เพราะบุคคลที่จะเสียประโยชน์ทางคดี เป็นนาย อ. ผู้ต้องหาเอง
ที่จำเลยฎีกาประการต่อไปว่า การบันทึกภาพและเสียงการสนทนาตามแผ่นซีดีเป็นการหลอกลวงให้จำเลยตอบคำถาม ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226 ไม่อาจรับฟังพยานหลักฐานแผ่นซีดีบันทึกภาพและเสียงการสนทนาตลอดจนบันทึกถอดเทปการสนทนาและมาลงโทษจำเลยได้นั้น
เห็นว่า จำเลยเป็นพนักงานอัยการผ่านการว่าความในคดีต่าง ๆ เป็นจำนวนมากกว่าจะได้ดำรงตำแหน่งอัยการจังหวัดสุรินทร์ จำเลยย่อมคุ้นเคยกับการซักถาม พยานในรูปแบบต่าง ๆ เป็นอย่างดี กอปรกับตามบันทึกถอดเทปการสนทนา และแพทย์หญิง ภ. ก็ใช้คำถามในลักษณะปกติไม่อาจอยู่ในวิสัยที่จะหลอกลวงจำเลยที่มากประสบการณ์ในทางคดีได้
ตรงกันข้ามจำเลยกลับพูดอธิบายรายละเอียดต่าง ๆ เพื่อพยายามโน้มน้าวให้เห็นว่าข้อหานำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับ อนุญาตมีโทษถึงประหารชีวิต และการให้จำเลยสั่งไม่ฟ้องนาย อ. ในข้อหาดังกล่าว เป็นวิธีการที่ดีที่สุด โดยไม่ต้องไปเสี่ยงในการต่อสู้คดีชั้นศาล ส่อแสดงว่าจำเลยตอบคำถาม ของแพทย์หญิง ภ. ด้วยความสมัครใจ
แม้การแอบบันทึกภาพและเสียงการสนทนา ระหว่างจำเลยกับฝ่ายแพทย์หญิง ภ. ตามแผ่นซีดีเป็นการแสวงหาพยานหลักฐานโดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226 ก็ตาม แต่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226/1 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานที่ได้มาโดยมิชอบได้ ถ้าการรับฟังพยานหลักฐานนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อการอำนวยความยุติธรรมมากกว่าผลเสียอันเกิดจากผลกระทบต่อมาตรฐานของ ระบบงานยุติธรรมทางอาญา
ดังนั้น แผ่นซีดีบันทึกภาพและเสียงการสนทนารวมทั้งบันทึกการถอดเทปดังกล่าวแม้จะได้มาไม่ชอบ แต่เมื่อศาลนำมาฟังจะเป็นประโยชน์ต่อการอำนวยความยุติธรรมมากกว่าผลเสียอันเกิดจากผลกระทบต่อมาตรฐานของระบบงานยุติธรรมทางอาญา
ศาลจึงนำพยานหลักฐานข้างต้นมารับฟังได้ หาเป็นการละเมิดต่อสิทธิส่วนบุคคลตามกฎหมายรัฐธรรมนูญตามที่จำเลยกล่าวอ้างไม่
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า บทบัญญัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226/1 ใช้บังคับเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2551 หลังเกิดเหตุคดีนี้ จึงนำมาใช้แก่จำเลยไม่ได้นั้น
เห็นว่า บทบัญญัติ ดังกล่าวเป็นกฎหมายวิธีสบัญญัติและมีผลใช้บังคับทันทีนับตั้งแต่วันที่กฎหมายมีผลใช้บังคับ คือวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2551 กรณีเช่นนี้หาใช่เป็นการใช้กฎหมายย้อนหลัง ศาลจึงมีอำนาจ นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226/1 มาใช้บังคับ แก่คดีนี้ได้
ที่จำเลยฎีกาประการต่อไปอีกว่า แผ่นซีดี มีการตัดต่อเติมแต่งขึ้นใหม่ เป็นบทสนทนาที่ไม่ครบถ้วนถูกต้องนั้น
ในข้อนี้ได้ความจากคำเบิกความของ ว่าที่ร้อยตำรวจเอก ธ. เจ้าพนักงานกลุ่มงานตรวจพิสูจน์อาชญากรรม คอมพิวเตอร์ กองพิสูจน์หลักฐานกลาง พยานจำเลยเบิกความประกอบรายงานการตรวจพิสูจน์ ว่า แผ่นซีดี แผ่นที่ 1, ที่ 2, ที่ 4, ที่ 6 และ แผ่นที่ 10 ไม่พบการตัดต่อ
พยานโจทก์ปากนี้เป็นเจ้าพนักงานของรัฐ ปฏิบัติหน้าที่ไปตามที่ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชา ไม่มีข้อน่าระแวงว่าจะเบิกความ หรือจัดทำรายงานการตรวจพิสูจน์ให้ผิดไปจากความเป็นจริง คำเบิกความของพยาน จึงมีน้ำหนักควรแก่การรับฟัง
เมื่อพิจารณาเนื้อหาจากบันทึกการถอดเทปได้ความว่า จำเลยแจ้งให้ฝ่ายแพทย์หญิง ภ. ทราบว่าค่าใช้จ่ายในการ สั่งไม่ฟ้องนาย อ. ข้อหานำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นเงิน 9,000,000 บาท โดยจำเลยจะทำการตกแต่งสำนวนการสอบสวนใหม่ด้วยวิธีสั่งให้ พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเพิ่มเติมตามข้อเท็จจริงที่จำเลยต้องการ พร้อมกับจำเลยจะจ่ายเงินให้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายเพื่อจำเลยจะสั่งไม่ฟ้องนาย อ. ในข้อหาดังกล่าว
อันเป็นการที่จำเลยเป็นเจ้าพนักงานในตำแหน่งพนักงานอัยการเรียกทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด สำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบเพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งโดยมิชอบ ด้วยหน้าที่ของจำเลย ทั้งยังเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้ เกิดความเสียหายแก่สำนักงานอัยการสูงสุดและนาย อ. กับเป็นการปฏิบัติหรือละเว้น การปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการสุดท้ายว่า มีเหตุสมควรลงโทษ จำเลยสถานเบาและรอการลงโทษจำเลยหรือไม่
เห็นว่า จำเลยเป็นอัยการจังหวัดสุรินทร์ พึงต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตให้สมกับที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นทนายความ ของแผ่นดิน แต่จำเลยกลับอาศัยตำแหน่งหน้าที่ดังกล่าวแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ ซึ่งมี ผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรม พฤติการณ์แห่งคดีนับว่าเป็นเรื่องร้ายแรง
ยิ่งกว่านั้นข้อเท็จจริงตามบันทึกถอดเทปการสนทนา เชื่อได้ว่า จำเลยมิได้กระทำการเช่นนี้เป็นครั้งแรก เนื่องจากจำเลยยกตัวอย่างคดีอื่นที่จำเลยเคยสั่งไม่ฟ้อง มาแล้วโดยฝ่ายผู้ต้องหาจ่ายเงินเป็นค่าตอบแทน จึงสมควรลงโทษเพื่อมิให้เจ้าพนักงานอื่น เอาเป็นเยี่ยงอย่าง ที่ศาลล่างทั้งสองวางโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 10 ปี นั้น เหมาะสมแล้ว และเมื่อจำเลยต้องโทษจำคุกเกินกว่าห้าปี กรณีจึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะรอการลงโทษจำคุก ให้แก่จำเลยได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน.
ปิดฉากคดีนี้เป็นทางการ และนับเป็นกรณีศึกษาตัวอย่างคดีสำคัญ ของเหล่า อัยการทั่วประเทศ ไม่ให้กระทำผิดซ้ำรอย เอาเป็นเยี่ยงอย่างทั้งในปัจจุบัน และอนาคต สืบไป
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage