"...พฤติการณ์แห่งคดีรับฟังได้ว่า จําเลยเป็นตัวการผู้รับจ้างก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็กดังกล่าว โดยใช้ชื่อของห้างหุ้นส่วนจํากัดธนาการโยธา เป็นคู่สัญญากับเทศบาลตําบลสุคิริน แต่ห้างหุ้นส่วนจํากัด ธนาการโยธา มิได้เป็นผู้ดําเนินการก่อสร้าง คงมีจําเลยเป็นผู้ดําเนินการก่อสร้างทั้งหมด ฟังได้ว่า จําเลยปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต เข้าเป็นผู้มีส่วนได้เสียไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมในสัญญาจ้าง..."
................................
ขณะเกิดเหตุจําเลยดํารงตําแหน่ง นายกเทศมนตรีเทศบาลตําบลสุคิริน ได้ดําเนินการตามอํานาจหน้าที่ตามหนังสือสั่งการ ตามระเบียบทุกอย่าง ไม่ได้ดําเนินการโดยพลการ
จากการไต่สวนข้อเท็จจริงของคณะอนุกรรมการไต่สวนที่อ้างว่าระหว่างวันที่ 11 สิงหาคม 2560 ถึงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2560 จําเลยได้มอบให้ นาย น. ลูกน้องคนสนิทไปติดต่อเจรจากับ นาย ส. หุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจํากัด ธนาการโยธา ว่าจําเลยขอยืมชื่อ ห้างหุ้นส่วนจํากัด ธนาการโยธา มาเป็นคู่สัญญากับเทศบาลตําบลสุคิรินนั้นหามีมูลความจริงแต่ประการใด
ข้อกล่าวหาดังกล่าวเป็นเพียงข้อกล่าวหาที่มีการจัดสร้างขึ้นมาจากผู้กล่าวหาที่เสียประโยชน์ร่วมกันจัดทํา
คือ คำเบิกความแก้ต่างของ นายสมควร เกตุแก้ว อดีตนายกเทศมนตรีตำบลสุคิริน จ.นราธิวาส ที่ปรากฏอยู่ในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ในคดีกล่าวหาจ้างเอกชนก่อสร้างถนนวงเงิน 6.8 ล้านบาท แต่เอกชนรายดังกล่าวไม่ได้เข้าไปทำงานจริง และมีการแบ่งเงินค่าโครงการให้ 10%
ก่อนที่ศาลอุทธรณ์ จะมีคำพากษาว่า นายสมควร ในฐานะจําเลยคดีนี้ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 152 อีกมาตราหนึ่ง การกระทําของจําเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามมาตรา 152 ซึ่งเป็นบทหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 50 จําคุก 3 ปี ทางนําสืบของจําเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจําคุก 2 ปี
ที่สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) นำรายละเอียดสำคัญมานำเสนอให้สาธารณชนได้รับทราบไปแล้ว
- ศาลอาญาคดีทุจริตฯสั่งคุกจริง 3 ปี‘อดีตนายกฯสุคิริน’อ้างชื่อเอกชนสร้างถนน 6.8 ล.
- พฤติการณ์ อดีตนายกฯสุคิริน อ้างชื่อเอกชนสร้างถนน 6.8 ล. ล่าสุดศาลอุทธรณ์ สั่งจำคุก 2 ปี
- พฤติการณ์ อดีตนายกฯสุคิริน คดีอ้างชื่อเอกชนทำถนน 6.8 ล. (2) โยงธุรกิจก่อสร้างครอบครัว
ต่อไปนี้ เป็นข้อมูลในส่วน คำวินิจฉัยตัดสินคดีนี้ของศาลอุทธรณ์ ก่อนที่จะมีคำตัดสินลงโทษจําคุก 2 ปี นายสมควร มีรายละเอียดสำคัญดังต่อไปนี้
จากคําเบิกความของ นาย ส. และ นาย น. ได้ความว่า นาย น. ไปติดต่อนาย ส. ขอให้ห้างหุ้นส่วนจํากัด ธนาการโยธา ประมูลงานโครงการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็กชุมชนกลันตัน ซอย 4 โดยเป็นการที่ นาย น. ขอยืมชื่อของห้างไปทําสัญญาจ้าง ซึ่งห้างหุ้นส่วนจํากัด ธนาการโยธา มิได้ดําเนินการก่อสร้างถนนคอนกรีตดังกล่าวแต่อย่างใด หากแต่ นาย น. เป็นผู้ดําเนินการจัดหาคนงานและวัสดุอุปกรณ์มาก่อสร้าง
จึงต้องพิจารณาต่อไปว่า นาย น. เป็นตัวการผู้รับจ้างก่อสร้างถนนคอนกรีตดังกล่าวจริงหรือไม่
ปรากฏจากทางไต่สวนว่า นาย น. เป็นช่างผู้ควบคุมงานก่อสร้างถนนคอนกรีตดังกล่าว โดยมีรายได้วันละ 700 บาท ระหว่างก่อสร้างถนนคอนกรีตดังกล่าว
นายสมควร ในฐานะ จําเลย ได้มาควบคุมการก่อสร้างของคนงานเป็นประจํา ทั้ง ๆ ที่เทศบาลตําบลสุคิรินได้แต่งตั้ง นาย ว. เป็นผู้ควบคุมงานก่อสร้างอยู่แล้วและยังได้ความว่า รถยนต์ เครื่องจักรและอุปกรณ์ในการก่อสร้างเป็นของห้างหุ้นส่วนจํากัดเทพชุมทองก่อสร้าง ซึ่งจําเลยเป็นผู้ก่อตั้งและเคยเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการมาก่อน
ปรากฏจากคําเบิกความและบันทึกถ้อยคําของนาง ส. บุตรสะใภ้จําเลยว่า ขณะเกิดเหตุ นาง ส. เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจํากัด เทพชุมทองก่อสร้าง โดยเป็นต่อจากจําเลย เนื่องจากจําเลยดํารงตําแหน่งเป็นนายกเทศมนตรี
ถึงกระนั้น นาง ส. ยังต้องขอคําแนะนําจากจําเลยอยู่เสมอ และจําเลยมีอํานาจตัดสินใจเกี่ยวกับกิจการของห้างหุ้นส่วนจํากัด เทพชุมทองก่อสร้าง
นอกจากนี้ ไม่ปรากฏว่า นาง ส. บุตรสะใภ้จําเลย ได้สั่งซื้อสินค้าจากร้านค้าอื่น ๆ ในนามของห้างหุ้นส่วนจํากัดเทพชุมทองก่อสร้าง มาส่งมอบให้นาย น. เพื่อใช้ในการก่อสร้างถนนคอนกรีตดังกล่าว ในอันที่จะแสดงว่า ห้างหุ้นส่วนจํากัด เทพชุมทองก่อสร้าง เป็นตัวการในการรับจ้างก่อสร้างถนนคอนกรีตดังกล่าวเอง หรือกระทําการก่อสร้างร่วมกับนาย น.
ดังนั้น แม้ตามหลักฐานในเอกสารจําเลยจะมิได้เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจํากัดเทพชุมทองก่อสร้าง เนื่องจากขณะเกิดเหตุจําเลยดํารงตําแหน่งนายกเทศมนตรี ย่อมไม่สามารถประกอบธุรกิจอื่นใดได้ก็ตาม
แต่จําเลยเป็นผู้ก่อตั้งห้างหุ้นส่วนจํากัดเทพชุมทองก่อสร้าง และเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการมาแต่แรก
ในทางปฏิบัติ จําเลย ยังเป็นผู้สั่งการและเป็นผู้มีอํานาจครอบงํากิจการของห้างหุ้นส่วนจํากัด เทพชุมทองก่อสร้างอยู่
น่าเชื่อว่า จําเลย เป็นผู้อนุญาตหรือสั่งการให้นํารถยนต์ เครื่องจักร และอุปกรณ์ของห้างหุ้นส่วนจํากัด เทพชุมทองก่อสร้าง ไปใช้ในการก่อสร้างถนนคอนกรีตดังกล่าว โดยไม่ปรากฏหลักฐานว่า นาย น. ได้ทําสัญญาเช่า รถยนต์ รถบรรทุก เครื่องมือและอุปกรณ์ก่อสร้างกับห้างหุ้นส่วนจํากัด เทพชุมทองก่อสร้าง ทั้งยังไม่ปรากฏหลักฐานว่า นาย น. ได้จ่ายค่าเช่ารถยนต์ รถบรรทุก เครื่องมือและอุปกรณ์ก่อสร้างให้แก่ห้างหุ้นส่วนจํากัดเทพชุมทองก่อสร้าง แต่อย่างใด
นอกจากนี้ เมื่อมีการส่งมอบงาน งวดที่ 1 นาย ส. ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจํากัด ธนาการโยธาได้รับเงินจากค่าจ้างงวดที่ 1 จํานวน 1,380,820 บาท นาย ส. ได้หักเงินค่าภาษี 134,082 บาท เงินประกันตามสัญญาจ้าง 345,205 บาท เงินค่าวัสดุ 391,198 บาท คงเหลือ 506,335 ซึ่งนาย ส. ให้ถ้อยคําว่า ได้มอบเงินที่เหลือดังกล่าวให้นาย น.
ปรากฏว่า มีนาย น. ลงลายมือชื่อรับเงินที่เหลือดังกล่าว
แต่นาย น. เบิกความว่า ตนลงชื่อรับแต่ตัวเลขไม่ได้รับเงินจริง แต่ไม่ได้เบิกความอย่างชัดแจ้งว่า นาย น. นำเงินจำนวนดังกล่าวไปให้บุคคลใด
นอกจากนี้ ยังปรากฏหลักฐานว่า จำเลยเป็นผู้สั่งซื้อวัสดุก่อสร้างจากเอกชนรายหนึ่ง ซึ่งตรงกับของที่นำไปใช้ในการก่อสร้างถนนคอนกรีตที่เกิดเหตุ โดยที่จําเลยไม่ได้นําสืบโต้แย้งคัดค้านในเรื่องนี้
ทั้งมิได้เบิกความอธิบายว่าได้นําวัสดุก่อสร้างที่สั่งซื้อดังกล่าวไปใช้ในกิจการอื่นใด
น่าเชื่อว่าจําเลยนํามาใช้ในการก่อสร้างถนนที่เกิดเหตุนั่นเอง
ประกอบกับจากคําเบิกความ ของ นาย น. ได้ความว่า นาย น. ได้รับค่าจ้างวันละ 700 บาท ไม่ปรากฏว่า นาย น. มีฐานะการเงินมั่นคงหรือมีทรัพย์สินในอันที่จะแสดงว่า นาย น. มีความสามารถหรือมีศักยภาพเพียงพอที่จะประกอบธุรกิจรับเหมาก่อสร้างถนนคอนกรีตดังกล่าวได้ด้วยตนเอง
เมื่อพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างจําเลยกับนาย น. ปรากฏว่า นาย น. เป็นลูกน้องของจําเลยและทํางานให้จําเลยมานาน ตั้งแต่อายุ 30 ปีเศษ จนกระทั่งเกิดเหตุคดีนี้ นาย น. อายุประมาณ 57 ปี แสดงว่านาย น. ทํางานให้จําเลยมานานถึง 20 ปีเศษ
การที่นาย น. มีฐานะเป็นลูกน้องจําเลยมานานเช่นนี้ น่าเชื่อว่า จําเลยสามารถสั่งการให้นาย น. ไปกระทําสิ่งใดตามที่จําเลยต้องการได้
พฤติการณ์น่าเชื่อว่า จําเลยได้ใช้ให้นาย น. ไปเจรจากับนาย ส.
อีกประการหนึ่ง เมื่อเปรียบเทียบสถานะของจําเลยซึ่งขณะเกิดเหตุมีตําแหน่งเป็นนายกเทศมนตรีซึ่งเคยประกอบอาชีพรับราชการครู และทําธุรกิจรับเหมาก่อสร้างมานาน กับนาย น. ซึ่งเป็นเพียงลูกจ้างทํางานรับจ้างรายวัน
น่าเชื่อว่านาย ส. ย่อมจะมีความเกรงใจจําเลยมากกว่านาย น.
จึงเป็นไปได้ที่จําเลยได้สั่งให้นาย น. ไปเจรจากับนาย ส. แทนจําเลย เพื่อขอยื่มชื่อ ห้างหุ้นส่วนจํากัด ธนาการโยธา เป็นคู่สัญญากับเทศบาลตําบลสุคิริน เพื่อจําเลยจะเป็นผู้รับจ้างก่อสร้างและรับเงินค่าก่อสร้าง โดยมีเงื่อนไขข้อตกลงตอบแทนนาย ส. ดังกล่าวมาแล้ว
เนื่องจากจําเลยไม่สามารถไปแสดงตัวด้วยตนเองได้เพราะมีตําแหน่งหน้าที่ราชการอยู่
ประกอบกับพฤติการณ์ของนาย น. ที่ไม่มีอํานาจตัดสินใจในการจัดหาวัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องใช้ในการก่อสร้าง น่าเชื่อว่านาย น. เป็นเพียงช่างผู้ควบคุมงานก่อสร้างเท่านั้น
นอกจากนี้ยังปรากฏว่า เมื่อเกิดปัญหาขณะก่อสร้างโดยผู้รับจ้างนําวัสดุมาใช้ก่อสร้างไม่ตรงตามแบบแปลน นาย ส. มิได้แก้ไขเปลี่ยนแปลงการก่อสร้างให้ตรงตามแบบแปลนโดยถือว่าห้างหุ้นส่วนจํากัด ธนาการโยธามิได้เป็นคู่สัญญาที่แท้จริง
ส่วนจําเลยก็มักจะแสดงท่าที่โต้เถียงหรือออกรับแทนผู้รับจ้างอยู่เสมอ
อันเป็นการผิดวิสัยของนายกเทศมนตรีที่เป็นหัวหน้าส่วนราชการเทศบาลตําบลสุคิริน ย่อมต้องคํานึงถึงผลประโยชน์ของส่วนราชการมากกว่า
จําเลยมิได้เรียกให้ห้างหุ้นส่วนจํากัด ธนาการโยธา ซึ่งเป็นคู่สัญญามาสอบถามถึงการก่อสร้างที่ผิดจากแบบแปลนตามสัญญาดังที่ควรจะเป็น
พฤติการณ์แห่งคดีรับฟังได้ว่า จําเลยเป็นตัวการผู้รับจ้างก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็กดังกล่าว โดยใช้ชื่อของห้างหุ้นส่วนจํากัดธนาการโยธา เป็นคู่สัญญากับเทศบาลตําบลสุคิริน แต่ห้างหุ้นส่วนจํากัด ธนาการโยธา มิได้เป็นผู้ดําเนินการก่อสร้าง คงมีจําเลยเป็นผู้ดําเนินการก่อสร้างทั้งหมด ฟังได้ว่า จําเลยปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต เข้าเป็นผู้มีส่วนได้เสียไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมในสัญญาจ้าง
ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจําเลยมีความผิดนั้น ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจําเลยฟังไม่ขึ้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า จําเลยกระทําความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และ 152 หรือไม่ เห็นว่า ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 เป็นกรณีความผิดฐานเจ้าพนักงานซึ่งมีหน้าที่ซื้อทํา จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อํานาจในตําแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐหรือเทศบาล แต่พยานหลักฐานของโจทก์ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า จําเลยมีหน้าที่ซื้อทํา จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ อย่างชัดแจ้งและเฉพาะเจาะจง
เนื่องจากจําเลยมีตําแหน่งเป็นนายกเทศมนตรีซึ่งปฏิบัติหน้าที่บริหารงานในเทศบาลตําบลสุคิรินโดยรวม
จึงยังรับฟังไม่ได้ว่า จําเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ส่วนความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 152 เป็นกรณีความผิดฐานเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการใด เข้ามีส่วนได้เสียเพื่อประโยชน์สําหรับตนเองหรือผู้อื่นเนื่องด้วยกิจการนั้น
จากการที่วินิจฉัยได้ความว่า จําเลยซึ่งเป็นนายกเทศมนตรี ได้เป็นตักการในการรับจ้างก่อสร้าง ให้แก่เทศบาลตําบลสุคิริน นับว่าจําเลยเข้ามีส่วนได้เสียสําหรับตนเองหรือผู้อื่นจากการทํางานรับจ้างก่อสร้างดังกล่าว จําเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา 152 ด้วย
ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยประเด็นนี้มานั้น ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น
อนึ่ง เมื่อพิจารณาคำเบิกความของจำเลยแล้ว เห็นว่า มีลักษณะรับข้อเท็จจริงที่เจือสมกับพยานหลักฐานของโจทก์ อันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาเห็นสมควรลดโทษให้จําเลยบ้าง
พิพากษาแก้เป็นว่า จําเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 152 อีกมาตราหนึ่ง การกระทําของจําเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามมาตรา 152 ซึ่งเป็นบทหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จําคุก 3 ปี
ทางนําสืบของจําเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจําคุก 2 ปี
นอกจากที่แก้ให้เห็นไปตามคําพิพากษาศาลชั้นต้น
................................
อย่างไรก็ดี คดีนี้ยังไม่สิ้นสุด นายสมควร มีสิทธิต่อสู้คดีเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ในชั้นศาลที่สูงกว่านี้อีกได้
แต่ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร คดีนี้ก็นับเป็นกรณีศึกษาสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง ของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)ทั่วประเทศ ไม่ให้กระทำผิดซ้ำรอย เอาเป็นเยี่ยงอย่างทั้งในปัจจุบัน และอนาคต สืบไป
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage