"...จากเอกสารหลักฐานและการให้ถ้อยคำของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง พบว่าเจ้าหน้าที่ของหน่วยรับตรวจกระทำการโดยทุจริตโดยการปลอมหนังสือมอบอำนาจของหัวหน้าหน่วยงานเพื่อขอเปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคารและเบิกเงินจากบัญชีดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ส่วนตน ทำให้ทางราชการได้รับความเสียหายอันเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ และการกระทำดังกล่าวอาจทำให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการอย่างร้ายแรง..."
.............................
สืบเนื่องจากสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) นำเสนอข่าวกรณีสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตรวจสอบงบทดลองและเอกสารหลักฐานการเบิกจ่ายเงินระบบการบริหารงานการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือ GFMIS ในช่วงหลังปีงบประมาณ 2562 ของหน่วยงานระดับกรมในสังกัดกระทรวงกลาโหม พบว่า มีการนำส่งเงินเป็นแคชเชียร์เช็คธนาคารแห่งหนึ่ง จำนวน 6.5 แสนบาท แต่ไม่ปรากฎว่ามีการนำเงินส่งคืนคลัง จึงได้ขยายผลการตรวจสอบต่อมา จนพบว่ามีเจ้าหน้ารายหนึ่งทำการยักยอกเงินไปเป็นจำนวนสูงถึง 5.84 ล้านบาท โดยการปลอมหนังสือมอบอำนาจของหัวหน้าหน่วยงานเพื่อขอเปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคารและเบิกเงินจากบัญชีดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว ทำให้ราชการได้รับความเสียหาย
ซึ่งกรณีนี้ มิได้นำมาซึ่งการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง และการออกคำสั่งลงทัณฑ์ทางวินัย "ขัง" ผู้กระทำความผิดเท่านั้น (ยังไม่ปรากฎข้อมูลในส่วนของการดำเนินคดีทางอาญา)
หากแต่ยังนำมาซึ่งการแก้ไขปรับปรุงระบบการเปิดบัญชีธนาคารของกองทัพใหม่ด้วยนั้น
(อ่านประกอบ : สตง.ไล่บี้ขยายผลสอบยักยอก 5.84 ล.! กองทัพ สั่งคุมระบบเปิดบัญชีแบงก์ ห้ามหน่วยงานทำเอง, สตง. สอบพบ จนท.กรมสังกัด กห. ยักยอกเงินหลวงเฉียด 6 ล. - กองทัพสั่งขังแล้ว,ไส้ใน สตง. สอบ จนท.กองทัพ ยักยอก 5.84 ล. ปลอมบัญชีธนาคาร รับ-ถอนเงินหลวง)
ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา รายงานว่า เมื่อเร็วๆ นี้ สตง. ได้เผยแพร่ข้อมูลการตรวจสอบกรณีนี้ เป็นทางการ ระบุว่า จากการตรวจสอบเชิงป้องกันเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานราชการระดับกรม สังกัดกระทรวงกลาโหมเบียดบังเงินราชการไปใช้ส่วนตัว พบข้อบกพร่องที่สำคัญดังนี้
จากการตรวจสอบงบทดลองและเอกสารหลักฐานการเบิกจ่ายเงินระบบบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) ของหน่วยงานสังกัดกองทัพแห่งหนึ่ง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 พบว่ามีการนำส่งเงินเป็นแคชเชียร์เช็คธนาคารแห่งหนึ่ง จำนวนเงิน 0.65 ล้านบาท
แต่ไม่ปรากฏว่ามีการนำเงินส่งคืนคลัง
จึงขยายผลการตรวจสอบ พบว่าแคชเชียร์เช็คมีการฝากเข้าบัญชีของธนาคารอีกแห่งหนึ่ง ในชื่อบัญชีหน่วยรับตรวจ ซึ่งบัญชีดังกล่าวมีเจ้าหน้าที่ของกองทัพเป็นผู้มีอำนาจลงนามและสั่งจ่ายเงินในบัญชีและรองเจ้ากรมเป็นผู้ลงนามในหนังสือฉบับดังกล่าว
โดยตรวจสอบพบว่ามียอดเงินเข้าบัญชีทั้งสิ้นจำนวนเงิน 5.84 ล้านบาท และมีการเบิกถอนเงินจากบัญชีไปทั้งหมดแล้ว อีกทั้งยังพบว่ามีการกระทำลักษณะเช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ ในระหว่างการตรวจสอบ หน่วยรับตรวจได้นำเงินส่งคืนคลังครบทั้งสิ้น จำนวนเงิน 5.84 ล้านบาทแล้ว
ขณะที่ หน่วยรับตรวจชี้แจงว่า กรณีไม่มีการนำแคชเชียร์เช็คส่งคืนในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 พบว่าในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ไม่ปรากฏการนำเงินส่งคืนเงินงบประมาณข้างต้นเนื่องจากได้รับเช็คเงินคืนค่าน้ำมันแล้วไม่ได้นำเงินดังกล่าวส่งคืนคลัง
จึงได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงและอยู่ระหว่างดำเนินการทำให้การนำเงินส่งคืนล่าช้า และได้มีคำสั่งลงทัณฑ์ทางวินัย “ขัง” ผู้กระทำผิดแล้ว
อย่างไรก็ดี สตง. พิจารณาแล้วเห็นว่า จากเอกสารหลักฐานและการให้ถ้อยคำของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง พบว่าเจ้าหน้าที่ของหน่วยรับตรวจกระทำการโดยทุจริตโดยการปลอมหนังสือมอบอำนาจของหัวหน้าหน่วยงานเพื่อขอเปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคารและเบิกเงินจากบัญชีดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ส่วนตน ทำให้ทางราชการได้รับความเสียหายอันเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ และการกระทำดังกล่าวอาจทำให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการอย่างร้ายแรง จึงได้นำข้อตรวจพบเกี่ยวกับประเด็นการกระทำทุจริตไปตรวจสอบขยายผลเป็นการตรวจสอบกรณีพิเศษ และได้มีหนังสือแจ้งหน่วยรับตรวจ เรื่อง กำหนดมาตรการแนวทางปฏิบัติในการเปิดบัญชีเงินฝากธนาคาร เพื่อแจ้งข้อเสนอแนะในการป้องกัน ระงับยับยั้งความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที
นอกจากนี้ สตง. ยังได้แจ้งผลการตรวจสอบและข้อเสนอแนะ ให้กองทัพดำเนินการประสานกับธนาคารต่าง ๆ เพื่อตรวจสอบว่ามีการเปิดบัญชีในชื่อหน่วยงานของกองทัพหรือชื่ออื่นในทำนองเดียวกัน หากตรวจพบการกระทำดังกล่าวให้ดำเนินการกับบุคคลที่เกี่ยวข้อง และตรวจสอบว่าก่อให้เกิดความเสียหายแก่กองทัพหรือไม่และให้ประสานความร่วมมือกับธนาคารต่าง ๆ ในการกำหนดมาตรการป้องกันเพื่อให้มีการนำชื่อของหน่วยงานของกองทัพไปใช้ตั้งชื่อบัญชีเงินฝากโดยไม่มีสิทธิอีกทั้งให้กำหนดมาตรการหรือแนวทางปฏิบัติในการเปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคารในนามหน่วยงานของกองทัพ ว่าสามารถกระทำได้ในกรณีใดบ้าง และกรณีที่มีการเปิดบัญชีที่ใช้ชื่อหน่วยงานหรือในทำนองเดียวกันต้องมีการแจ้งให้กองทัพทราบทุกครั้งทุกบัญชี
@ ผลการแก้ไขข้อบกพร่องและปรับปรุงการปฏิบัติงานของหน่วยรับตรวจ
สตง. ระบุว่า ต่อมาหน่วยรับตรวจได้มีหนังสือแจ้งผลดำเนินการตามข้อเสนอแนะของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินว่ากองทัพได้มีหนังสือแจ้งให้หน่วยงานในสังกัดประสานกับธนาคารต่าง ๆ เพื่อตรวจสอบว่ามีการเปิดบัญชีในชื่อหน่วยงานหรือชื่ออื่นในทำนองเดียวกันเป็นบัญชีที่ไม่ได้เปิดโดยหน่วยงานหรือไม่ และประสานขอความร่วมมือในการกำหนดมาตรการป้องกันมิให้มีการนำชื่อหน่วยงานไปเปิดบัญชีเงินฝากธนาคารโดยไม่มีสิทธิหากตรวจพบว่ามีกรณีดังกล่าวขอให้ธนาคารแจ้งให้หน่วยงานทราบ และกองทัพได้ทำการตรวจสอบหน่วยงานในสังกัดเพื่อให้การเปิดบัญชีเงินฝากธนาคารให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง
@ ผลสัมฤทธิ์จากการตรวจสอบ
สตง. ระบุว่า จากผลการตรวจสอบและการแจ้งข้อเสนอแนะให้หน่วยรับตรวจดำเนินการแก้ไขข้อบกพร่องและควบคุมหรือกำชับไม่ให้เกิดข้อบกพร่องขึ้นอีกดังกล่าว ส่งผลให้หน่วยรับตรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีการปรับปรุงแก้ไขการปฏิบัติงานในการเปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคารในนามหน่วยงานให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง เพื่อป้องกันการมิให้มีการนำชื่อหน่วยงานไปเปิดบัญชีเงินฝากธนาคารโดยไม่มีสิทธิเพื่อเป็นช่องทางในการกระทำทุจริตในการเบิกเงินไปใช้ประโยชน์ส่วนตน และในระหว่างการตรวจสอบ หน่วยรับตรวจได้มีการนำเงินในส่วนที่ทำให้ราชการเสียหายส่งคืนคลังแล้ว
อย่างไรก็ดี ในรายงานการตรวจสอบเรื่องนี้ สตง.มิได้เปิดเผยข้อมูลรายชื่อหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ที่ถูกตรวจสอบเรื่องนี้ สำนักข่าวอิศรา จึงยังไม่สามารถติดต่อขอสัมภาษณ์เพื่อให้ชี้แจงข้อเท็จจริงอีกด้านได้
กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage