บมจ. เอสซีจี แพคเกจจิ้ง ผู้นำในธุรกิจให้บริการโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 22 ต.ค. นี้ ด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 148,874.25 ล้านบาท โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ ว่า “SCGP”
....................................
นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยินดีต้อนรับ บมจ. เอสซีจี แพคเกจจิ้ง ธุรกิจให้บริการโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร เข้า จดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม หมวดบรรจุภัณฑ์ โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “SCGP” ในวันที่ 22 ต.ค. 2563
SCGP ดำเนินธุรกิจโดยการลงทุนในบริษัทอื่น (Holding Company) ที่ประกอบธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร และ ธุรกิจเยื่อและกระดาษ โดยรายได้หลักกว่า 80% มาจากสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร ที่มุ่งเน้นการนำเสนอสินค้าและบริการด้วยโซลูชันที่หลากหลายกว่า 120,000 รูปแบบ (SKUs) เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม จากข้อมูลการสำรวจในปี 2562 บริษัทเป็นผู้ประกอบการกระดาษบรรจุภัณฑ์ลูกฟูกและบรรจุภัณฑ์กล่องลูกฟูก อันดับ 1 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ 36% โดยผู้ประกอบการอันดับที่ 2 มีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 12% ทั้งนี้ บริษัทนับเป็นผู้ผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์รายใหญ่ที่สุดในภูมิภาค ด้วยกำลังการผลิตรวม 4 ล้านตันต่อปี ปัจจุบันมีโรงงานผลิตในทุกสายธุรกิจ รวม 40 แห่ง ตั้งอยู่ใน 5 ประเทศ ได้แก่ ไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และ มาเลเซีย
SCGP มีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 4,253.55 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 3,126 ล้านหุ้น หุ้นสามัญเพิ่มทุน 1,127.55 ล้านหุ้น (ไม่รวมการจัดสรรหุ้นส่วนเกินจำนวน 169.13 ล้านหุ้น) เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ในระหว่างวันที่ 28 กันยายน - 7 ตุลาคม 2563 ในราคาหุ้นละ 35.00 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 39,464.25 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 148,874.25 ล้านบาท โดยมี ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และมีผู้จัดการการจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญ 2 ราย ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด และ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน)
นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SCGP เปิดเผยว่า มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่หุ้น SCGP จะได้เข้าเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พร้อมเชื่อมั่นว่า การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งด้านการขยายธุรกิจ การชำระคืนเงินกู้ยืม และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ โดย SCGP มีแผนการลงทุนในภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อเนื่อง เพื่อมุ่งนำเสนอบรรจุภัณฑ์ตามความต้องการของลูกค้าได้อย่างหลากหลาย โดยเฉพาะบรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีศักยภาพเติบโตสูง รวมถึงการนำเสนอ Packaging Solutions เพื่อตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้า พร้อมทั้งมุ่งคิดค้นและพัฒนาบรรจุภัณฑ์นวัตกรรมเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ตลอดถึงการให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจภายใต้หลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เพื่อรักษาความเป็นผู้นำด้านบรรจุภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่มได้อย่างครอบคลุมและครบวงจร
โดย SCGP มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในแต่ละปี ในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 20 ของกำไรสุทธิตามงบการเงินรวมหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและหลังหักสำรองต่าง ๆ ทุกประเภทตามที่กฎหมายและบริษัทฯ กำหนดไว้ ทั้งนี้ อาจพิจารณาจ่ายเงินปันผลแตกต่างไปจากนโยบายที่กำหนดไว้ได้ ขึ้นอยู่กับผลประกอบการ สภาพคล่องทางการเงิน และความจำเป็นในการใช้เงินทุนหมุนเวียนเพื่อบริหารกิจการ และแผนการขยายธุรกิจในอนาคต รวมถึงภาวะเศรษฐกิจ
SCGP มีผู้ถือหุ้นใหญ่หลัง IPO ได้แก่ บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCC) ถือหุ้นรวม 68.81% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว ทั้งนี้ ภายหลังจากการจัดหาหุ้นและดำเนินการส่งมอบหุ้นคืนแล้ว สัดส่วนการถือหุ้นของ SCC จะมีจำนวนไม่ต่ำกว่า 70% ของทุนชำระแล้วภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้
ผู้ลงทุนและผู้สนใจ โปรดดูรายละเอียดจากหนังสือชี้ชวนของบริษัทที่เว็บไซต์ของสำนักงาน ก.ล.ต. ที่ www.sec.or.th และข้อมูลทั่วไปของบริษัทที่ www.scgpackaging.com และที่ www.set.or.th