33 ปี กับการทำงานของมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ยึดมั่น “เดินตามรอยใต้เบื้องพระยุคลบาท” พร้อมตั้งเป้าเป็นพลังหนึ่งในการร่วมสืบสาน รักษา และต่อยอด งานพัฒนาอย่างยั่งยืน
เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ซึ่งเป็นวันพ่อแห่งชาติ และเป็นวันชาติของไทย มาบรรจบครบรอบในวันที่ 5 ธันวาคม มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ที่ร่วมก่อตั้งโดยผู้บริหารและพนักงานเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ขอน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2530 ในปีมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ คณะผู้บริหารและเหล่าพนักงานเครือซีพี ได้เห็นพ้องกันที่จะขอร่วมเฉลิมพระเกียรติด้วยการน้อมเกล้าฯ ถวายทั้งกำลังกาย กำลังทรัพย์ กำลังเวลา กำลังสติปัญญา เพื่อดำเนินโครงการและกิจกรรมด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตเยาวชนและเกษตรกรในชนบทห่างไกล “ตามรอยใต้เบื้องพระยุคลบาท” เพื่อร่วมแบ่งเบาพระราชภาระ โดยคณะผู้บริหารเครือฯ นายธนินท์ เจียรวนนท์ นายจรัญ เจียรวนนท์ นายมนตรี เจียรวนนท์ นายสุเมธ เจียรวนนท์ ร่วมจัดตั้ง “กองทุนเครือเจริญโภคภัณฑ์” เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2530 ซึ่งในเวลาต่อมาได้จดทะเบียนเป็นองค์การสถานสาธารณกุศลในชื่อ “มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท” โดยยึดมั่นในปรัชญา 3 ประโยชน์ คือ ประโยชน์ต่อประเทศชาติ ประโยชน์ต่อประชาชน ก่อนประโยชน์ต่อองค์กร ในการดำเนินงานตามรอยพระองค์ท่านเสมอมา
ตลอดระยะเวลา 33 ปี มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบทได้ดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับเด็ก เยาวชน และเกษตรกรที่อยู่ในชนบท โดยเริ่มต้นจากพระมหากรุณาธิคุณในหลวงรัชกาลที่ 9 ให้ใช้พื้นที่ภายในศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี เป็นที่ตั้งของ “ศูนย์ฝึกอาชีพเยาวชนเกษตร” เพื่อให้เยาวชนในชนบทที่อยู่นอกการศึกษาภาคบังคับ มีโอกาสได้รับการฝึกอาชีพ ฝึกระเบียบวินัย เรียนรู้ทักษะชีวิต และเติบโตเป็น “คนดี พลเมืองดี และมี อาชีพดี” ต่อไป
จากนั้น มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ได้ริเริ่มดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผู้คนในชนบท ได้แก่ เด็กและเยาวชนที่ขาดโอกาสในชนบท เกษตรกรที่มีฐานะยากจน และผู้สูงวัยในชนบทที่ห่างไกล โดยงานด้านเด็กและเยาวชนประกอบด้วย
1.โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน
2.โครงการสนับสนุนทุนการศึกษานักเรียนในพระราชานุเคราะห์
3.โครงการครอบครัวอุปการะในชุมชนวัฒนธรรม
โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน มูลนิธิฯได้ร่วมสนับสนุนการดำเนินโครงการอาหารกลางวันในโครงการส่วนพระองค์ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ด้วยการสนับสนุนการเลี้ยงไก่ไข่ เพื่อนำไข่ไก่มาประกอบเป็นอาหารกลางวันของนักเรียนโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน และขยายผลไปตามโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และสังกัดอื่นทั่วประเทศ โดยมี บมจ. เจริญโภคภัณฑ์อาหาร หรือ ซีพีเอฟ หอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพ และ บมจ. สยามแม็คโคร ร่วมสนับสนุนงบประมาณ
ปัจจุบันมีโรงเรียนร่วมโครงการเกือบ 900 โรงเรียนทั่วประเทศ แต่ละโรงเรียนสามารถบูรณาการการเลี้ยงไก่ไข่สู่การเรียนการสอน และเป็นแหล่งเรียนรู้การจัดการอาชีพเกษตรเชิงธุรกิจสำหรับครู นักเรียน เกษตรกรรอบโรงเรียนรวมกว่า 1,900 ชุมชน เกิดการมีส่วนร่วมแก้ปัญหาภาวะทุพโภชนาการของเยาวชนจนถึงปัจจุบันกว่า 180,000 คน
สำหรับโครงการสนับสนุนทุนการศึกษานักเรียนในพระราชานุเคราะห์ เกิดจากมูลนิธิฯ พบว่าเด็ก ๆ ที่จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จากโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนที่ร่วมโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน มีความยากลำบากที่จะเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้นเนื่องจากอยู่ในพื้นที่ห่างไกล มูลนิธิฯ จึงร่วมสนับสนุนโครงการนักเรียนในพระราชานุเคราะห์ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี รับเด็กที่มีความประพฤติดี ผลการเรียนดี มีความเป็นผู้นำจากโรงเรียน ตชด. พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มาพักค้างและเรียนต่อในระดับชั้นมัธยมศึกษาในโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 52 จ.เลย และโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 53 จ.สกลนคร และเด็กจากโรงเรียน ตชด. พื้นที่ภาคกลาง มาพักค้าง ณ ศูนย์ฝึกอาชีพเยาวชนเกษตร เพื่อเรียนต่อในระดับมัธยมศึกษา ณ โรงเรียนวังไกลกังวล ในพระบรมราชูปถัมภ์ ควบคู่กับการเรียนรู้ด้านอาชีพเกษตร
ที่ผ่านมามูลนิธิฯ รับเด็กเข้าโครงการรวม 203 คน จบการศึกษาแล้ว 97 คน อยู่ระหว่างการศึกษา 81 คน และกลับไปศึกษาหรือประกอบอาชีพใกล้บ้าน 25 คน และพบว่าร้อยละ 24 ของนักเรียนทุนได้กลับไปสร้างงาน สร้างอาชีพในครัวเรือน และร้อยละ 54 สามารถสร้างรายได้ให้กับตนเอง ขยายผลในการสร้างวิสาหกิจชุมชน
นอกจากนี้ยังมี โครงการครอบครัวอุปการะในชุมชนวัฒนธรรม เป็นโครงการดูแลเด็กกำพร้า โดยมูลนิธิฯ เชื่อมั่นว่า การที่เด็กกำพร้ามีโอกาสได้อยู่กับครอบครัวทดแทนจะช่วยให้เด็ก ๆ มีโอกาสได้รับความรัก ความอบอุ่น ได้รับการดูแลปลูกฝังด้านคุณธรรม ประกอบกับบริบทสังคมชุมชนในภาคอีสาน มีวัฒนธรรมการเลี้ยงดูปลูกฝังให้มีความกตัญญู เอื้อต่อการเป็นครอบครัวทดแทน มูลนิธิฯ จึงได้สรรหาครอบครัวเกษตรกรที่มีจิตสาธารณะในอ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ เข้าร่วมเป็นครอบครัวอุปการะ รับเด็กจากสถานสงเคราะห์มาเป็นสมาชิกของครอบครัว
โดยที่ผ่านมามีเด็กกำพร้าที่มูลนิธิฯ รับเข้าโครงการฯ แล้วกว่า 300 คน โดยอยู่ในความดูแลของมูลนิธิฯ 67 คน ทยอยส่งมอบสู่ครอบครัวถาวร 262 คน กลับคืนสถานสงเคราะห์ 13 คน และจบการศึกษาระดับปริญญาตรี 4 คน
โครงการแก้ปัญหาด้านความยากจน มูลนิธิฯ ได้จัดทำศูนย์สาธิตธุรกิจเกษตรให้เป็นแหล่งเรียนรู้ของเกษตรกรโดยรอบศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จากนั้นได้ขยายไปยังโครงการตามพระราชประสงค์หมู่บ้านสหกรณ์ 7 แห่ง โครงการห้วยองคต อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.กาญจนบุรี โครงการเกษตรผสมผสานตามแนวพระราชดำริที่อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ และ โครงการพัฒนาอาชีพ ต.ปากรอ ตามดำริของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ จ.สงขลา
สำหรับเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ แล้วกว่า 5,000 คน สามารถสร้างมูลค่าเศรษฐกิจจากโครงการส่งเสริมอาชีพและโครงการด้านสังคมเกือบ 1,000 ล้านบาท เกษตรกรสามารถรวมกลุ่มเพื่อจัดการอาชีพ แก้ปัญหาส่วนตัวและส่วนรวมกว่า 200 ชุมชน เป็นแบบอย่างในการถ่ายทอดความรู้และขยายผลต่อเนื่อง เกิดเป็นกลุ่มอาชีพใหม่ 3 กลุ่ม และกลุ่มออมทรัพย์เกษตรกร 108 ราย มีเงินออมกว่า 1 ล้านบาท
ตลอดระยะกว่า 33 ปีที่ผ่านมา มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ได้ยึดมั่น และร่วมสืบสาน ต่อยอด งานพัฒนาที่ยั่งยืนสอดคล้องกับแนวพระราชดำริต่อไป