วอนผู้ประกอบการ นำเข้าแรงงานถูกกฎหมาย ย้ำทุกคนจะได้รับสิทธิ์การดูแลรักษากรณีโควิดเท่าเทียมคนไทย พร้อมเตรียมแผนนำเข้าแรงงาน MOU แก้ไขปัญหาขาดแคลนแรงงานในบางกิจการ
.........................................
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 24 พ.ค.2564 นายสมคิด จันทมฤก รองปลัดกระทรวงมหาดไทยและผู้อำนวยการสำนักงาน ศบค.มท. ร่วมกับ นายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาการอธิบดีกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ได้ร่วมสนทนาภายหลังการรายงานสถานการณ์ของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด (ศบค.) ประจำวัน ในประเด็นดูแลแรงงานและควบคุมการสกัดกั้นแรงงานผิดกฎหมาย และผู้ลักลอบเข้าประเทศ
นายสมคิด กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทย โดย ศบค.มท. ได้เน้นย้ำให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดดำเนินการตามคำบัญชาของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในการควบคุมการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิดจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยแบ่งพื้นที่และความรับผิดชอบ ประกอบด้วย
1. การปฏิบัติในพื้นที่ชายแดน ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด (ผอ.รมน.จังหวัด) ประสานการปฏิบัติ วางมาตรการร่วมกับหน่วยทหารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่อย่างเข้มงวด ควบคุมการลักลอบเข้าประเทศ โดยตั้งเครื่องกีดขวาง เพิ่มการลาดตระเวนตลอด 24 ชั่วโมง เฝ้าระวังและสกัดกั้นป้องกันมิให้มีการลักลอบเดินทางเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมายผ่านช่องทางธรรมชาติบริเวณพื้นที่ชายแดน หากพบการลักลอบเข้าประเทศ ให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเข้มข้น
2. การปฏิบัติในพื้นที่ตอนใน ให้ประสานการปฏิบัติกับตำรวจภูธร ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่สาธารณสุข รวมทั้งเจ้าหน้าที่ศุลกากร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยตั้งจุดตรวจ จุดสกัด และจุดคัดกรองโรค บุคคลและการขนส่งสินค้าจากประเทศเพื่อนบ้าน
3. การปฏิบัติในพื้นที่หมู่บ้าน หรือชุมชน ให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน คณะกรรมการหมู่บ้าน ผู้นำชุมชน อาสาสมัครในพื้นที่ รวมทั้งขอความร่วมมือประชาชนในพื้นที่ สำรวจตรวจสอบบุคคลที่เดินทางเข้ามา ในหมู่บ้านหรือชุมชน รวมทั้งบุคคลที่เคยอยู่ในหมู่บ้านหรือชุมชนแต่เดินทางไปทำงานในพื้นที่เสี่ยง
โดยขอให้แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมตรวจสอบและดำเนินการ หากพบผู้ลักลอบ ให้ดำเนินการตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขก่อน และจะให้พิจารณาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป รวมถึงสร้างการรับรู้ความเข้าใจ ขอความร่วมมือภาคประชาชนและภาคประชาสังคม ทั้งผู้ให้บริการ ผู้ใช้บริการ ผู้จัดกิจกรรม และผู้ร่วมกิจกรรม ในพื้นที่สาธารณะ ปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด คือ สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า ทำความสะอาดพื้นผิวและอุปกรณ์ที่มีการสัมผัสบ่อย เว้นระยะห่างหรือหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับบุคคลอื่น และใช้แพลตฟอร์มไทยชนะในการเข้าออกสถานที่สาธารณะ เพื่อให้เกิดความตระหนักรู้ เฝ้าระวังเพิ่มขึ้นและมิให้เกิดความตระหนกจากการดำเนินการ
"ขอเน้นย้ำให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสร้างการมีส่วนร่วมจากภาคประชาชนในพื้นที่ที่มีศักยภาพและความพร้อม โดยประชาชนสามารถสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าพนักงาน ตามความพร้อม และความเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ รวมทั้งร่วมปฏิบัติงานช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ เป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงาน ณ จุดตรวจ จุดสกัด และจุดคัดกรองโรค ในเส้นทางหลัก เส้นทางรองได้ รวมถึงในพื้นที่หมู่บ้านหรือชุมชน นอกจากนี้ สามารถช่วยกันประชาสัมพันธ์ให้ทุกภาคส่วนให้ร่วมเฝ้าระวังและตรวจสอบผู้ลักลอบเข้าเมืองในทุกพื้นที่ หากตรวจพบหรือรับทราบข่าวสารหรือเบาะแส ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ดำเนินการตามกฎหมายโดยเร่งด่วน" นายสมคิด กล่าว
อย่างไรก็ตาม นายไพโรจน์ กล่าวด้วยว่า จากการตรวจคัดกรองเชิงรุกกลุ่มแรงงานที่พบการระบาดในขณะนี้ ส่วนใหญ่เป็นแรงงานที่ถูกกฎหมาย ซึ่งสามารถใช้สิทธิ์ผู้ประกันตน ประกันสังคม มาตรา 33 ในการได้รับสิทธิ์ในการตรวจคัดกรองหาเชื้อ และสิทธิ์ในการเข้ารับการรักษากรณีติดโควิดได้
"ขอให้กลุ่มแรงงานข้ามชาติที่ได้รับการลงทะเบียนอย่างถูกกฎหมายแล้ว ไม่ต้องกังวล ทุกคนจะได้รับสิทธิ์ในการตรวจหาเชื้อและสิทธิ์การรักษากรณีป่วยโควิด เท่าเทียมเหมือนประชาชนชาวไทยทุกอย่าง" นายไพโรจน์ กล่าว
ทั้งนี้ นายไพโรจน์ กล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า ขอให้ผู้ประกอบการร่วมมือช่วยกันรับแรงงานที่ถูกกฎหมายเข้ามาทำอย่าง เพื่อลบความคิดที่ว่าหากไม่มีใครจ้างงาน แล้วกลุ่มแรงงานข้ามชาติจะเข้ามาได้อย่างไร ดังนั้นแล้วหากทั้งภาครัฐ ผู้ประกอบการ และประชาชนร่วมมือกัน สถานการณ์การระบาดของโควิดจะดีขึ้นได้ ขณะเดียวกันได้เปิดเผยแผนนำเข้าแรงงาน MOU ซึ่งจะต้องหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานในบางกิจการ โดยจะมีการวางมาตรการรองรับด้วยการกักตัวแรงงาน 14 วัน และฉีดวันซีน ก่อนจะนำเข้าสู่ระบบการทำงาน เพื่อสร้างความมั่นใจต่อความปลอดภัยทั้งต่อประชาชนและแรงงาน
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/