เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ยื่น กกต. ตรวจสอบ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เข้าข่ายผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 187 ยังมีสถานะกรรมการบริษัทอยู่หรือไม่ ยกกรณี ซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รมช.มหาดไทย ประชุมกรรมการ บ.ท่าทราย หนองมะโมง ก่อนลาออก
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 23 กันยายน 2567 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ กล่าวว่า ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญมาตรา 41 และ มาตรา 50 ยื่นคำร้องต่อกกต. กรณีของน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยื่นลาออกและจดทะเบียนกรรมการบริษัทด้วยความชอบและเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายและกรมพัฒนาธุรกิจการค้ากำหนดขั้นตอนหรือไม่
นายเรืองไกรกล่าวว่า ตนได้เทียบเคียงกับกรณีการลาออกจากรรมการและผู้ถือหุ้นของน.ส.ซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รมช.มหาดไทย จากบริษัท ท่าทราย หนองมะโมง ชาชีพ จำกัด ซึ่งแตกต่างจากน.ส.แพทองธาร ตรงที่ น.ส.ซาบีดาเป็นคนเซ็นลาออกจากกรรมการบริษัทตามแบบคำขอจดทะเบียนบริษัทจำกัด (แบบ บอจ.1) แต่น.ส.แพทองธารไม่ได้เซ็น จึงมีข้อสงสัยว่า ใครถูกและใครผิด เพราะเมื่อไปดูเว็บไซต์กรมพัฒนาธุรกิจการค้าระบุว่า เมื่อกรรมการลาออกบริษัทจะต้องประชุมกรรมการบริหาร หรือ เรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น
“กรณีคุณซาบีดาเลือกแบบที่สอง คือ เรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ประชุมเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2567 และมาจดแจ้งในแบบ บอจ.1 เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2567 มีลายเซ็นต์ทุกหน้า เป็นไปตามที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้ากำหนด ซึ่งสรุปจากประมวลกฎหมายแพ่งพาณิชย์ หมวด กรรมการ 20 มาตรา”นายเรืองไกรกล่าว
นายเรืองไกรกล่าวว่า ในใบแบบการจดทะเบียน บอจ.1 ในคำขอด้านล่างได้เขียนคำเตือนระบุไว้ว่า ผู้ใดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานมีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 มาตรา 267 มาตรา 268 นายทะเบียนอาจเพิกถอนการจดทะเบียน ถ้าปรากฏว่าข้อความสาระสำคัญที่ผู้จดทะเบียนไม่ถูกต้องหรือเป็นเท็จ
“หมายความว่า ถ้าการขอจดทะเบียนของคุณซาบีดาถูก เทียบกับของคุณแพทองธารถูกหรือไม่ถูก กกต.ไปถามนายทะเบียนหุ้นส่วน ถ้าไม่ถูกก็ต้องเพิกถอน ถ้าเพิกถอน วันนี้ความเป็นกรรมการยังอยู่ใช่หรือไม่ ถ้าความเป็นกรรมการยังอยู่ทั้ง 20 บริษัทก็เข้าข่ายการเป็นลูกจ้างตามรัฐธรรมนูญมาตรา 187”นายเรืองไกรกล่าวและว่า
“ถ้าไม่มีหนังสือประชุม ไม่มีการประชุมกรรมการ ไม่มีลายเซ็นแพทองธาร แต่ของคุณซาบีดาเซ็นทุกหน้า ตรงนี้ต่างหากที่ต้องการจะถามว่า ที่ถูกที่ผิดอะไร”นายเรืองไกรกล่าว
รายงานข่าวเพิ่มเติมว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 187 ระบุว่า รัฐมนตรีต้องไม่เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทหรือไม่คงไว้ซึ่งความเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทต่อไปตามจำนวนที่กฎหมายบัญญัติ และต้องไม่เป็นลูกจ้างของบุคคลใด
ในกรณีที่รัฐมนตรีผู้ใดประสงค์จะได้รับประโยชน์จากกรณีตามวรรคหนึ่งต่อไป ให้แจ้งประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับตำแหน่ง และให้โอนหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทดังกล่าวให้แก่นิติบุคคลซึ่งจัดการทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ
รัฐมนตรีจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการหุ้นหรือกิจการของห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทตามวรรคสองไม่ว่าในทางใด ๆ มิได้
มาตรานี้เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับความเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้น ให้ใช้บังคับแก่คู่สมรสและบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะของรัฐมนตรี และการถือหุ้นของรัฐมนตรีที่อยู่ในความครอบครองหรือดูแลของบุคคลอื่นไม่ว่าโดยทางใด ๆ ด้วย
อ่านประกอบ ‘แพทองธาร’ ลาออก กก.ธุรกิจเกลี้ยง 21 บริษัท- ‘อัลไพน์’ ด้วย หลัง ‘เศรษฐา’ พ้นวันเดียว