'พ.ต.อ.ไพรัตน์ ไพพรรณรัตน์' ร้องประธานก.อ. เร่งสอบบิ๊กอัยการสั่งฟ้องไม่ชอบด้วยกฎหมาย
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 15 ก.ค.2567 ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนเเจ้งวัฒนะ พ.ต.อ.พงศ์รัตน์ หรือไพรัตน์ ไพพรรณรัตน์ รองผู้บังคับการอำนวยการตำรวจภูธรภาค 9 ได้เดินทางมายื่นหนังสือร้องเรียน ถึงประธานคณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) เรื่อง ร้องเรียนกรณีอัยการผู้ใหญ่ในภาค 2 ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ (กลับความเห็นโดยไม่มีอำนาจ) โดยมีการลงรับหนังสือดังกล่าว ไว้ที่ 06794 ลงวันที่ 12 ก.ค.2567 ที่ผ่านมา
พ.ต.อ.ไพรัตน์ กล่าวว่า วันนี้ได้มายื่นหนังสือถึงประธานก.อ.เป็นกรณีที่อัยการผู้ใหญ่ในภาค 2 มีคำสั่งโดยไม่ชอบเป็นครั้งที่ 2 เกี่ยวกับกรณีคดีที่สั่งฟ้องตนโดยที่ไม่ได้แจ้งข้อหาไม่ผ่านการสอบสวนมาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อเดือนเมษาซึ่งเมื่อครั้งนั้น เป็นการสั่งฟ้อง โดยผิดกฎหมายตนได้ไปแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีกับอัยการชั้นผู้ใหญ่ท่านนี้ว่าปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในระหว่างที่แจ้งความแล้วหรือหลังจากที่แจ้งความแล้วอยู่ในระหว่างสอบสวน อัยการผู้ใหญ่คนดังกล่าวก็กลับไปแก้ไขคำสั่งของตัวเองที่สั่งผิดกฎหมาย ซึ่งตามกฎหมายเเละระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ พ.ศ.2563 ข้อ10 ในกรณีที่เห็นควรกลับความเห็นหรือกลับคำสั่งเดิม ให้เสนอตามลำดับชั้นถึงอธิบดีอัยการเพื่อพิจารณาสั่ง เว้นแต่ความเห็นหรือคำสั่งเดิมนั้นเป็นของอธิบดีอัยการให้เสนออัยการสูงสุดหรือรองอัยการสูงสุดผู้ได้รับมอบหมายเพื่อพิจารณาสั่งจะเห็นว่าโดยการแก้ไขท่านไม่มีอำนาจแก้ด้วยตัวเอง แต่ต้องเสนอให้อัยการสูงสุด หรือ รองอัยการสูงสุดที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้พิจารณาสั่งจะเห็นว่าที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน การสั่งคดีของอัยการผู้ใหญ่ เป็นการสั่งโดยผิดกฎหมาย ทั้งสองครั้ง
และหลังจากที่ตนมีการดำเนินคดีกับอัยการผู้ใหญ่ท่านนี้ไปแล้วรวมถึงที่เคยมาร้องขอความเป็นธรรมให้ อัยการสูงสุดพิจารณาหลักฐาน ต่อมาอัยการผู้ใหญ่คนดังกล่สวจึงไปแก้คำสั่งของตัวเองที่สั่งผิดไว้ก็กลายเป็นการแก้ไขหรือกับคำสั่งโดยไม่ชอบอีก ย้ำว่าระเบียบอัยการมีทั้งหมด 247 ข้อไม่มีข้อใดเลยที่ให้อำนาจอัยการในการที่สั่งคดีไปแล้วและกลับคำสั่งของตัวเองได้ต้องเสนอไปยังผู้บังคับบัญชาตามลำดับ
อัยการผู้ใหญ่ท่านนี้ท่านได้สั่งผิดทั้ง2ครั้งมีการเน้นย้ำให้ส่งตัวมาฟ้อง หากส่งตัวไม่ได้ก็ขอให้มีการออกหมายจับซึ่งการสั่งการให้ออกหมายจับมันก็เป็นการบ่งชี้ถึงเจตนาที่กลั่นแกล้ง เพราะว่าถ้าคดีเข้าสู่ระบบโดยชอบทุกคนก็ต้องยอมเข้าไปต่อสู้คดีตามคำสั่งที่ถูกต้องตามกฎหมายที่ชอบธรรม แต่ด้วยคำสั่งที่ไม่ชอบก็กลายเป็นการดึงประชาชนเข้าไปสู่กระบวนการด้วยขั้นตอนที่ไม่ชอบก็ทำให้เกิดความเสียหายต่อสังคมในวงกว้างเสียหายทั้งตัวผู้ถูกกระทำเสียหายทั้งองค์กรเสียหายทั้งประชาชนได้รับความเสียหาย
ขอย้ำว่าถ้าเป็นกระบวนการที่ชอบ ช่องทางที่ชอบก็ยินดีเข้าไปสู่กระบวนการต่อสู้คดีอยู่แล้วเพราะว่ากฎหมายให้ผู้ถูกกล่าวหาหรือผู้ต้องหามีสิทธิที่จะสู้คดีได้อย่างเต็มที่ เพราะกฎหมายให้สอบสวนด้วยความรวดเร็วเป็นธรรม กรณีตนมัน4-5ปี แล้วไม่เคยถูกสอบสวนในฐานะผู้ต้องหาอยู่ๆอัยการผู้ใหญ่ใช้อำนาจโดยไม่ชอบเผิดต่อกฎหมาย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาซึ่งได้กำหนดอำนาจในการมีความเห็นและคำสั่งของพนักงานอัยการในกรณีที่รับสำนวนการสอบสวนจากพนักงานสอบสวนแล้วที่สอบสวนเสร็จสิ้นแล้วกฎหมายให้อำนาจในการลงความเห็นและคำสั่งแยกกัน 1.สั่งสอบสวนต่อหรือ 2.เห็นควรสั่งฟ้องแล้วก็ประการต่อมาก็เป็นคำสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องซึ่งคำสั่งที่กฎหมายให้อำนาจไว้แยกกันโดยมาตราแต่ละมาตราตั้งแต่มาตรา 141 และมาตรา 143 เมื่อได้รับสำนวนและตัวผู้ต้องหามาตาม มาตรา 142 กฎหมายกำหนดการใช้อำนาจให้มีความเห็นแยกกันโดยสิ้นเชิงการที่จะมีคำเห็นสั่งอย่างไรมีความแตกต่าง ผลกระทบทางกฎหมายก็แตกต่างกัน
การกระทำของอัยการผู้ใหญ่ภาค 2 โดยผิดกฎหมายถึง 2 ครั้งติดต่อกันนั้น เป็นการกระทำที่ส่อให้เห็นถึงเจตนากลั่นแกล้ง ตามหลักการพิจารณาเจตนาของกฎหมายคือกรรมเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงเจตนา จึงขอให้ ก.อ.ตั้งคณะกรรมการขั้นมาสอบสวนวินัยโดยด่วน เพื่อมิให้เกิดความเสียหายต่อตนและครอบครัว อีกทั้งองค์กรสำนักงานตำรวจแห่งชาติ องค์กรอัยการ และประชาชนอีกต่อไปพร้อมกันนี้ตนได้แนบเอกสารพยานหลักฐาน การกลับคำสั่งดังกล่าวมาด้วย
“ในสำนวนการสอบสวนคดีดังกล่าวคณะ พนักงานสอบสวนร่วม 10 คน ได้ร่วมกันทำการสอบสวน มีควาเห็นว่า ไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด อีกทั้งพนักงานอัยการเจ้าของสำนวน อัยการอาวุโสที่ร่วมพิจารณา และอัยการจังหวัด ล้วนมีความเห็นไปในทางเดียวกัน ว่าไม่มีส่วนร่วมกระทำความผิด จึงไม่ได้แจ้งข้อหา เห็นควรสั่งไม่ฟ้องมาตลอดสายมีเพียงอัยการผู้ใหญ่ภาค 2 เพียงคนเดียว ที่สั่งขัดต่อพยานหลักฐาน “ พ.ต อ.ไพรัตน์ระบุ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ได้มีหนังสือจากพนักงานสอบสวน สภ.อ.พัทยา ถึงผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 เพื่อขอปฏิบัติตามคำสั่งของอัยการจังหวัดพัทยา ให้นำตัวพ.ต.อ.ไพรัตน์ มาเเจ้งข้อกล่าวหาสอบสวนเเละส่งพนักงานอัยการ
โดยพล.ต.ต.นรินทร์ บูสะมัญ รอง ผบช.ภ.9 ได้พิจารณาหนังสือจากพนักงานสอบสวน สภ.อ.พัทยาเเล้วมีคำสั่ง ให้ พ.ต.อ.ไพรัตน์รายงานชี้เเจง รายละเอียด พฤติการณ์ เเละมอบหมายให้กองบังคับการกฎหมายและคดี ภาค 9(บก.กค.9) ตรวจสอบขั้นตอนการดำเนินการของ สภ.อ.พัทยาว่าถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
8 ก.ค. 67! ศาลเเพ่งนัดชี้สองสถานคดีรองผู้การฯตร.ภูธรภาค 9 ยื่นฟ้องสำนักงานอัยการสูงสุด
รองผู้การฯตร.ภูธรภาค 9 ร้องก.อ.สอบวินัย บิ๊กอัยการสั่งฟ้องไม่ชอบด้วยกฎหมาย