โฆษกรัฐบาลพร้อม ปปง.-DSI แถลงความคืบหน้ากรณีหมูเถื่อน-หุ้น STARK เผยยอดความเสียหายหมูเถื่อนกว่า 3,000 ล้านบาท เตรียมดำเนิคดีทั้งฐานหนีภาษี-ขยายผลอายัดทรัพย์ถึงต้นปีหน้า ส่วนหุ้น STARK จับมือ ก.ล.ต.ตรวจสอบที่มาวิกฤติ คาดใน พ.ย.นี้น่าจะรู้เรื่อง ขณะที่การดำเนินคดีคาดว่าในเดือน พ.ย.-ธ.ค.นี้ เร่งรัดครบ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 2 พฤศจิกายน 2566 ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล นายสัตวแพทย์ชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายพิชิต ชื่นบาน ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีด้านกฎหมาย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) นายเทพสุ บวรเทพดารา เลขาธิการ ปปง. พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รองอธิบดี DSI และ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองเลขาธิการ ปปง. ร่วมแถลงความคืบหน้ากรณีการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าเนื้อหมูเถื่อน และคดีทุจริตหุ้น STARK
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่มีปัญหาที่เกิดขึ้นก่อนที่รัฐบาลปัจจุบันจะเข้ามาทำหน้าที่ โดยเป็นปัญหาที่สร้างผลกระทบเรื่องความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ และเกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจให้กับประเทศอย่างมหาศาล เป็นปัญหาที่คาราคาซังมานานนั้น
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้สั่งการเด็ดขาดว่าปัญหาที่เรื้อรังมาก่อนหน้านี้รัฐบาลนี้ต้องดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด โดยนายกรัฐมนตรีได้มีบัญชาให้หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องกับการเอาผิดตามกฎหมาย ได้เร่งรัดการทำงานอย่างเต็มที่ ในเรื่อง 1. การลักลอบการนำเข้าเนื้อหมูเถื่อน ชิ้นส่วนหมู ที่มีการลักลอบนำเข้ามาหลายปีสร้างผลกระทบต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูที่ต้องขาดทุนเป็นจำนวนมาก รวมทั้งยังเป็นการแพร่โรคระบาดในประเทศ และมีปัญหาสุขอนามัยกระทบต่อผู้บริโภค 2. หุ้นกู้ Stark ที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของตลาดทุนในประเทศ ซึ่งในวันนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะรายงานความคืบหน้าการดำเนินงาน ดังนี้
@ลักลอบขนหมูเถื่อน เสียหายกว่า 3,000 ล้านบ.
นายเทพสุ บวรเทพดารา เลขาธิการ ปปง. แถลงว่า กรณีการลักลอบนำหมูเถื่อนเนื้อเถื่อนต่าง ๆ เข้ามานี้ ถือเป็นความผิดเกี่ยวกับการลักลอบหนีศุลกากร และผู้เกี่ยวข้องจะมีเรื่องข้อหาฟอกเงินด้วย โดย ปปง. ได้ตรวจสอบเส้นทางการเงิน พบว่ากลุ่มกระบวนการหรือเครือข่ายนี้ มีทั้งกลุ่มนายทุนและผู้อยู่เบื้องหลังในการทำธุรกรรมกับต่างประเทศในการนำเนื้อหมูเข้ามาในประเทศไทย รวมทั้ง ปปง. ตรวจสอบช่องทางการนำเข้า ที่เป็นเรื่องของคดีอาญาด้วย และจะตรวจสอบผู้ที่เกี่ยวข้อง ผู้ที่มีส่วนในการกระทำความผิดตามหลักฐาน
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบเส้นทางทางการเงิน คดีหมูเถื่อนมีมูลค่าความเสียหายอย่างน้อย 3,000 กว่าล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีคดีที่ ปปง. อยู่ระหว่างการตรวจสอบเป็นเครือข่ายอยู่ 3 คดีใหญ่ ๆ โดยกำลังตรวจสอบไปถึงตัวนอมินี ผู้เกี่ยวข้องสำคัญต่าง ๆ และพบว่ามีกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องไม่ต่ำกว่า 50 บริษัท โดยในเดือนพฤศจิกายนนี้จะมีการยึดอายัดทรัพย์ในส่วนที่ตรวจสอบพบ จะดำเนินการทันที และจะขยายผลเป็นรูปธรรมในเดือนธันวาคม มกราคม ต่อไป
@เตรียมอายัดทรัพย์ คดีหุ้น STARK
เลขาธิการ ปปง. ยังกล่าวถึงเรื่องคดีหุ้น STARK ที่ได้มีการบูรณาการอย่างใกล้ชิดกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยการดำเนินการมีความคืบหน้าอย่างมาก ซึ่ง ปปง. ได้เชิญเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษเข้ามาอยู่ในพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายฟอกเงิน และเชิญสำนักงานคณะกรรมกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เข้ามาร่วมด้วย เพราะจำเป็นต้องตรวจสอบพฤติการณ์ในการสร้างราคาต่าง ๆ ตรวจสอบความบกพร่องว่าเกิดจากตรงไหน ซึ่งจะต้องตรวจสอบทั้งหมดในกรณีของหุ้น STARK โดยในเดือนพฤศจิกายนนี้ จะมีการยึดอายัดทรัพย์ในชั้นต้นก่อน ซึ่งจะต้องประสานงานต่อไป เพราะทราบว่ามีการโอนเงินไปยังต่างประเทศ ดังนั้น จำเป็นต้องดำเนินการเป็นส่วน ๆ ไป หากพบก็จะยึดเลย และหากตรวจสอบพบอีกก็จะยึดอีก
@DSI เปิด 3 กลุ่มผู้ต้องหา หมูเถื่อน
ด้านอธิบดี DSI กล่าวว่าสำหรับกรณีหมูเถื่อนเป็นที่รับทราบข้อมูลกันแล้วว่าตู้คอนเทนเนอร์ที่มีหมูเถื่อนจำนวน 161 ตู้ เป็นของกลางที่กรมศุลกากรส่งให้กับทาง DSI ดำเนินคดี แต่ในความห่วงใยของทางรัฐบาลฯ ในเรื่องนี้มีผลกระทบสูงต่อพี่น้องเกษตรกร DSI ได้ทำการขยายผลกับกลุ่มผู้ต้องหาที่นำเข้าตู้คอนเทนเนอร์จำนวน 161 ตู้ เมื่อ DSI พบว่าภาพรวมตั้งแต่ปี 2563 - 2566 มีตู้คอนเทนเนอร์ที่ลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนเข้ามาในประเทศไทย ในกลุ่มผู้ต้องหาที่ DSI ดำเนินการจำนวน 2,385 ตู้ สร้างมูลค่าความเสียหายในภาพรวมกว่า 3,000 ล้านบาท
ในเบื้องต้นได้จำแนกกลุ่มผู้ต้องหาเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรก บริษัทชิปปิ้งที่ลักลอบหมูเถื่อนเข้าประเทศไทย กลุ่มที่ 2 กลุ่มนายทุน/กลุ่มว่าจ้าง ให้มีการลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนเข้ามาในประเทศไทย และกลุ่มที่ 3 กลุ่มห้องเย็นต่าง ๆ ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ ซึ่งเป็นกลุ่มยี่ปั๊ว ซาปั๊วต่าง ๆ โดยความคืบหน้าในการดำเนินคดีในกลุ่มแรก ดีเอสไอได้ดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหากับ 5 บริษัท คิดเป็นรายบุคคล 6 คน ได้ดำเนินการแล้วเสร็จทั้ง 5 บริษัทเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และขณะนี้ได้มีการขยายผลไปยังกลุ่มที่ 2 ซึ่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทาง DSI ได้มีการตรวจค้นต่อกลุ่มนายทุนบริษัทที่สั่งให้บริษัทชิปปิ้งลักลอบหมูเถื่อนเข้ามาในประเทศ DSI ได้พบพยานหลักฐานและผู้ต้องหา 2 ราย ที่ทาง DSI ได้ทำการออกหมายจับ ขณะนี้อยู่ระหว่างการหลบหนี ซึ่งความคืบหน้าทางคดีในเรื่องของการดำเนินการฐานความผิด เรื่อง พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ร.บ.โรคระบาด และคดีความผิดฐานฟอกเงินร่วมด้วย
@ธ.ค. 66 เร่งคดีฟอกเงิน
สำหรับในประเด็นเรื่องฟอกเงิน DSIได้ร่วมกับสำนักงาน ปปง. อย่างใกล้ชิด คดีนี้ DSI จะเร่งรัดให้แล้วเสร็จภายในสิ้นเดือนธันวาคม และแจ้งไปยังกลุ่มห้องเย็นทั่วประเทศ ณ ขณะนี้ถ้าหากมีหมูเถื่อนที่ลักลอบนำเข้า และหากมีเจตนาที่จะแสดงความบริสุทธิ์ใจ โดยไม่ต้องรอให้เจ้าหน้าที่ไปทำการตรวจค้น สามารถแสดงความบริสุทธิ์ใจกับทางเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ โทร. 1202 ติดต่อประสานงานได้ตลอดเวลา
@ พ.ย.นี้ ลุยแจ้งความหุ้น STARK ทั้งหมด
ส่วนกรณีคดีทุจริตหุ้น STARK หรือบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่สร้างผลกระทบอย่างสูงต่อธุรกิจและความเชื่อมั่นของนักลงทุนนั้น DSI ได้รับเรื่องและดำเนินการตามกระบวนการแล้ว โดยขณะนี้ได้ทำการแจ้งข้อกล่าวหากับบุคคล 5 ราย และบริษัทที่เกี่ยวข้องจำนวน 5 บริษัท โดยพนักงานสอบสวนได้ทำการเร่งรัดที่จะดำเนินการ ซึ่งสมมติฐานสุดท้ายที่ DSI ตั้งไว้คือในกลุ่มของบริษัทที่ต้องการตรวจสอบ หากพบพฤติการณ์ที่เข้าข่ายที่มีส่วนรู้เห็นร่วมด้วย DSI ก็จะพิจารณาแจ้งข้อกล่าวหา โดยเรื่องนี้ในประเด็นที่ตั้งข้อสงสัยสุดท้ายในเรื่องของบริษัทตรวจสอบบัญชี คาดว่าจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้ สำหรับการดำเนินการติดตามผู้ต้องหาที่ยังหลบหนี และทรัพย์ที่ส่วนใหญ่ถูกโอนถ่ายไปยังกลุ่มเครือญาติและต่างประเทศนั้น DSI ได้มีการดำเนินการติดตามซึ่งคาดว่าน่าจะมีข่าวดี ทั้งนี้ การทำงานในเรื่องดังกล่าว DSI ได้มีการทำงานร่วมกับ ป.ป.ง. อย่างใกล้ชิด
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวในตอนท้ายว่า ตัวเลขความเสียหายเรื่องหมูเถื่อนประมาณ 3,000 กว่าล้านบาท เป็นความเสียหายที่รัฐเสียผลประโยชน์จากการที่ควรจะจัดเก็บภาษีได้ แต่ความเสียหายที่กระทบกับเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรทั่วประเทศนับเป็นหมื่นล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ คาดว่าในสัปดาห์หน้าจะมีความคืบหน้าในเรื่องนี้และจะต้องจบในเร็ว ๆ นี้ พร้อมย้ำว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นมาก่อนรัฐบาลนี้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีไม่นิ่งดูดาย ถือว่าเข้ามาทำหน้าที่แล้วต้องสะสางให้จบในเร็ววัน โดยนายกรัฐมนตรีได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาอีก 1 ชุด คือ คณะกรรมการร่วมเพื่อป้องกันและปราบปราม ตรวจสอบ ติดตาม และเร่งรัดการดำเนินคดีเกี่ยวกับการนำเข้าสินค้าประเภทสุกร เนื้อสุกร หรือชิ้นส่วนสุกร ที่ผิดกฎหมาย โดยมีนายมงคลชัย สมอุดร รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ เพื่อทำงานคู่ขนานไปกับทีมกฎหมาย ด้วย