‘เรืองไกร’ ยื่นหนังสือถึง กกต. ให้สอบ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ หลังพบว่าถือหุ้นสื่อ ITV 42,000 หุ้น เสี่ยงขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 ( 3 ) เมินคนมองยื่นร้องสกัด ส่วนที่แจงว่า ได้แจ้ง ป.ป.ช.ไปแล้ว เป็นคนละกรณี
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 10 พฤษภาคม 2566 นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชี่อ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ยื่นคำร้องต่อ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ตรวจสอบว่าการที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ผู้สมัคร ส.ส.และแคดดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล (ก.ก.) มีลักษณะต้องห้ามในการลงสมัครรับเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 ( 3 ) หรือไม่ เนื่องจากมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) 42,000 หุ้น
โดยนายเรืองไกรระบุว่า ได้ใช้เวลาตรวจสอบเรื่องนี้ 5 วัน เสียเงินไปหลายพันบาท เพื่อคัดเอกสารจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า หลังจากได้ข้อมูลมาจากบุคคล ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นของบริษัท ไอทีวี แล้วก็ได้พบหลักฐานตามเอกสาร บมจ.6 ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าส่งมา ว่า ณ วันที่ 27 เม.ย. 65 นายพิธา ยังคงเป็นผู้มีชื่อถือหุ้นจำนวนดังกล่าวอยู่ และบริษัทไอทีวี เป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจสื่อ และมีรายงานการประชุมล่าสุดที่มีผู้ถือหุ้นถามผู้บริหาร ว่าบริษัทไอทีวีเป็นสื่อหรือไม่ ซึ่งผู้บริหารก็ได้ตอบว่าเป็นบริษัทสื่อฯ จึงจำเป็นต้องร้องให้ กกต.ตรวจสอบ
ส่วนการที่นายพิธาออกมาระบุว่าได้ชี้แจงต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ก็ขอบคุณ เพราะก็ถือว่าเป็นการยอมรับ เป็นเรื่องที่ดี แม้จะระบุว่าหุ้นดังกล่าวไม่ใช่ของตนเองเป็นกองมรดก และตัวเองเป็นผู้จัดการเท่านั้น แต่อยากให้ดูรัฐธรรมนูญมาตรา 98 ( 3 ) เขียนเพียงว่าผู้จะลงสมัคร ส.ส.ต้องไม่เป็นผู้ถือครองหุ้นสื่อเท่านั้น
ส่วนที่นายพิธาอ้างว่าได้หารือและชี้แจงกับ ป.ป.ช.แล้ว นายเรืองไกรกล่าวว่า เป็นกฎหมายคนละฉบับกัน เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติการลงสมัคร ส.ส. สิ่งที่นายพิธาอ้างน่าจะเป็นเรื่องการถือครองหุ้นและแจ้งบัญชีทรัพย์สิน โดยได้ไปตรวจสอบการแจ้งบัญชีทรัพย์สินของนายพิธาระหว่างดำรงตำแหน่ง ส.ส. ก็ไม่พบว่ามีการแจ้งหุ้นดังกล่าวต่อ ป.ป.ช. ช่วงเช้าที่ผ่านมาจึงได้ไปยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช.ให้ตรวจสอบว่านายพิธาแจ้งบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จหรือไม่
“เรื่องนี้อยากให้ กกต.ดำเนินการโดยเร็ว เพราะผลที่ออกมาก่อนและหลังเลือกตั้งจะแตกต่างกัน ถ้าทำเสร็จหลังการเลือกตั้งต้องยื่นศาลรัฐธรรมนูญ ก็จะเหมือนกับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ศาลวินิจฉัยว่าขาดคุณสมบัติเนื่องจากถือหุ้นวีลัค มีเดีย จะทำให้ความเป็น ส.ส.สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ไม่มีผลถึงเรื่องยุบพรรค” นายเรืองไกร กล่าวและว่า ขอให้ กกต.ทำหน้าที่ให้เร็ว เมื่อมีความปรากฏต้องใช้ดุลพินิจให้เป็นธรรม และพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไร เพราะการดำเนินการก่อนหรือหลังเลือกตั้งมีผลต่างกัน แม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นความผิดเฉพาะตัวแต่ถ้าศาลตัดสินเรื่องใหญ่มาก และยังมีข้อกฎหมายอีกส่วนหนึ่ง แต่ขอรอให้ศาลตัดสินก่อน แต่บอกได้ว่าจะมีผลกระทบมหาศาล
เมื่อถามว่าที่มีคนมองว่ามียื่นเรื่องนี้เพื่อสกัดนายพิธา นายเรืองไกรกล่าวว่านายพิธาก็โพสต์แล้วเมื่อวานนี้ ก็แล้วแต่ใครจะมอง แต่พบเหตุก็มาร้อง ส่วนอีกด้านหนึ่งจะได้ประโยชน์หรือไม่ ไม่เกี่ยว และไม่กังวลว่าพรรคเพื่อไทยจะได้ประโยชน์จากเรื่องนี้
ถามว่า ถ้าหากนายพิธาขาดคุณสมบัติจากกรณีดังกล่าวจะมีผลอย่างไร เพราะได้ถือหุ้นนี้มาก่อนการเลือกตั้งปี 2562 นายเรืองไกรกล่าวว่าก็จะเหมือนกันกรณีนายสิระ เจนจาคะ ที่ต้องเลือกคืนสิทธิประโยชน์ต่างๆ ซึ่งอยากให้ กกต.มีหนังสือสอบถามไปยังตลาดหลักทรัพย์ฯ เพราะกรณีนี้เป็นลักษณะต้องห้ามเฉพาะของผู้สมัคร ส.ส. ไม่ได้เกี่ยวกับคู่สมรส ส่วนที่ก่อนหน้านี้ กกต.ตรวจสอบไม่พบชื่อนายพิธาก็ไม่ทราบ
ที่มาข่าว-ภาพ: ไทยโพสต์