กรมอนามัย เผย ไทยประสบความสำเร็จการยุติถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีและซิฟิลิสจากแม่สู่ลูกในเวทีโลก ย้ำเอชไอวี ยังคงอยู่ พร้อมเดินหน้าพัฒนาคุณภาพในการดำเนินงานให้ประชาชนทุกคน มีความเท่าเทียม เข้าถึงทุกการบริการ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 2565 นายแพทย์สราวุฒิ บุญสุข รองอธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้กำหนดให้วันที่ 1 ธ.ค. ของทุกปี เป็นวันเอดส์โลก (World AIDS Day) เพื่อสร้างความตระหนักให้กับประชาชนทุกประเทศ ทั่วโลก ร่วมกันรณรงค์สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับเอดส์ และเป็นการย้ำเตือนว่า เอชไอวี หรือ โรคเอดส์ ยังคงอยู่ โดย UNAIDS กำหนดแนวคิดการณรงค์วันเอดส์โลก ในปี 2565 ว่า “Equalize ทำให้เท่าเทียม” คือ สิทธิการเข้าถึงการตรวจ การคัดกรอง การได้รับการรักษาอย่างเท่าเทียมกันทุกเพศ ทุกวัย ซึ่งประเทศไทยได้ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์แห่งชาติว่าด้วยการยุติปัญหาเอดส์ ปี 2560 – 2573 มีเป้าหมาย คือ ไม่ติด ไม่ตาย ไม่ตีตรา
โดยจะลดจำนวนผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ไม่เกิน 1,000 คนต่อปี ลดการเสียชีวิต ในผู้ติดเชื้อเอชไอวีไม่เกิน 4,000 รายต่อปี และลดการตีตราและการเลือกปฏิบัติอันเกี่ยวเนื่องจากเอชไอวีและเพศภาวะลง เหลือไม่เกินร้อยละ 10
นายแพทย์สราวุฒิ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมากรมอนามัยให้ความสำคัญกับการดำเนินงานป้องกันการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีและซิฟิลิสจากแม่สู่ลูก โดยได้รับรางวัลจากองค์การอนามัยโลกในเวทีการประชุม Global Validation Advisory Committee ณ นครเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศที่ 2 ของโลกในการประกาศความสำเร็จดังกล่าวเป็นครั้งที่ 3 นับจากครั้งที่ 1 เมื่อปี 2559 และครั้งที่ 2 เมื่อปี 2561 โดยประเทศไทยยังคงรักษาคุณภาพในการดำเนินงานเพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีในทารกแรกเกิดที่เกิดจากหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อเอชไอวีให้ต่ำกว่าร้อยละ 2 สามารถป้องกันเด็กที่เกิดจากหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อเอชไอวีขณะตั้งครรภ์ได้ปีละประมาณ 3,500 คน ทำให้มีเด็กทารกที่ติดเชื้อเอชไอวีต่ำกว่า 50 รายต่อปี เนื่องจากประเทศไทยมีความเข้มแข็งของระบบบริการสาธารณสุข โดยเฉพาะงานอนามัยแม่และเด็กมีการดำเนินงานที่มีคุณภาพครอบคลุมสถานพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชน โดยมีเป้าหมายลูกเกิดรอดแม่ปลอดภัยมานานกว่า 50 ปี
รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้การลดการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูกต้องอาศัยความร่วมมือครอบครัว ชุมชน สังคม และสร้างความเท่าเทียม โดยสนับสนุนหญิงตั้งครรภ์ หญิงหลังคลอด รวมทั้งลูกและครอบครัวที่ติดเชื้อเอชไอวีให้ได้รับการดูแลอย่างครอบคลุมและต่อเนื่อง คือ
1.ฝากครรภ์โดยเร็วก่อน 12 สัปดาห์ เพื่อได้รับการดูแลสุขภาพตนเองและลูกในครรภ์
2.รับการปรึกษาพร้อมสามี เพื่อตรวจหาโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม และตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวี
3.หากหญิงตั้งครรภ์และคู่มีผลการตรวจเลือดเอชไอวีเป็นบวก จะได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมโดยหญิงตั้งครรภ์จะได้รับยาต้านไวรัสที่มีฤทธิ์ประสิทธิภาพสูง (HAART) เพื่อป้องกันการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวี จากแม่สู่ลูก
4.เด็กที่เกิดจากแม่ที่ติดเชื้อเอชไอวีจะได้รับยาต้านไวรัสที่มีฤทธิ์ประสิทธิภาพสูง เพื่อป้องกัน การติดเชื้อ และได้รับนมผสมเพื่อทดแทนนมแม่นานถึง 18 เดือน