‘สมศักดิ์ เทพสุทิน’ การันตีไร้ผู้ค้ายาเสพติดในคุก เพราะไม่มีใครแจ้งเหตุให้ทราบ ส่วนกระแสข่าวยาเสพติดระบาดทุกหมู่บ้านก็ไม่มี เพราะจาก 8 หมื่นหมู่บ้านทั่วไทย มีแจ้งเหตุเพียงหมื่นสายเท่านั้น ด้าน ‘สาธารณสุข’ เปิดข้อมูลผู้เสพที่บำบัด 70% กลับไปเสพใหม่ ชี้ผู้บำบัดต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่ จึงจะบรรเทาลงได้
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 12 ตุลาคม 2565 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า เสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีผู้ค้ายาอยู่ในเรือนจำนั้น ยังไม่เห็นมีใครแจ้งให้ทราบสักคน อยากทราบจริงๆ เพราะวันนี้เราติดตามและดำเนินการเรื่องนี้อยู่ ยืนยันว่าเรื่องผู้ค้ายาเสพติดอยู่ในเรือนจำนั้นเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากผู้คุมต่างๆ ในเรือนจำมีสิทธิได้รางวัลการนำจับ มีเรื่องของการยึดทรัพย์สิน อีกทั้งกฎหมายยึดสินทรัพย์สามารถย้อนหลังได้เป็นสิบปี ใครยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดหรือมีทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดจะถูกตรวจสอบอย่างรุนแรง ตรงนี้ถ้าผู้ค้ายาเสพติดยังอยู่ได้เชื่อมั่นว่ามันผิดแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ เพราะกฎหมายขับเคลื่อนเต็มที่
ชาวบ้านแจ้งเหตุน้อย
ส่วนกรณีที่มีการระบุว่ายาเสพติดมีมากมายในทุกหมู่บ้านนั้น ในข้อเท็จจริงประเทศไทยมี กว่า 8 หมื่นหมู่บ้าน แต่มีคนแจ้งผ่านเบอร์โทรศัพท์หมายเลข 1386 เพียง 1.6 หมื่นสายเท่านั้น ถือว่าน้อยมาก อาจจะเกิดจากหมู่บ้านดังกล่าวไม่ได้เดือดร้อน หรือเดือดร้อนแต่ไม่กล้าแจ้งเบาะแส เพราะกลัวเรื่องความปลอดภัย วันนี้ได้สร้างกลไกที่จะปกปิดผู้ให้เบาะแส ที่จะนำมาใช้ได้ในระยะเวลา 2-3 เดือน
มาตรการด้านยึดทรัพย์ - บำบัด
รมว.ยุติธรรม กล่าวว่า ในเรื่องการยึดและอายัดทรัพย์สินนั้น เวลาเราสามารถยึดและอายัดทรัพย์สินได้จะส่งเข้ากองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม เสนอแนะว่าเงินที่ได้นี้จะแยกส่วนหนึ่งไปใช้ในเรื่องการฟื้นฟูที่มีกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้ดูแลได้หรือไม่ ส่วนผู้ติดยาเสพติดที่เข้าขั้นโรคจิตนั้น มีการนำเสนอให้ใช้กำไลอีเอ็มเพื่อกำกับบริเวณ และปกติแล้วหากศาลสั่งให้บำบัดจะต้องส่งเข้าไปในสถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด ซึ่งจะเพิ่มเรื่องการใช้กำไลอีเอ็มเข้าไปอีกส่วนหนึ่ง โดยจะต้องไปทำระเบียบและขออำนาจศาลสั่ง นอกจากนี้ในที่ประชุมได้มีการรายงานว่าวันนี้สารตั้งต้นยาเสพติดราคาถูกมาก ไซยาไนด์ 1 กิโลกรัม ราคา 100 บาท แต่สามารถผลิตยาบ้าได้เป็นหมื่นๆ เม็ด แต่เรามั่นใจว่าจะแก้ไขได้
ด้านนางพงษ์สวาท กายอรุณสุทธิ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะเลขานุการการประชุมเพื่อกำหนดมาตรการเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหายาเสพติดและอาวุธปืน กล่าวว่า มาตรการสำคัญต่างๆในที่ประชุมจะมีการกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบชัดเจน ที่จะมีการบูรณาการการทำงานร่วมกัน ไม่แยกส่วนทำงาน และจะมีการทำแผนปฏิบัติให้ได้ผลโดยเร็วที่สุด รวมทั้งมีการทบทวนตัวคณะกรรมการต่างๆที่เกี่ยวข้อง เช่น อนุกรรมการที่มีความซ้ำซ้อน ลักลั่น หรือขาดตรงไหน จะมีการติดตามและประเมินผลอย่างเร่งด่วน
พบผู้เสพกลับไปเสพซ้ำ 70%
ขณะที่ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่ากรณีผู้ป่วยยาเสพติดที่เข้ารับการบำบัดแล้วเมื่อออกมากลับมาเสพยาอีก จะถือว่าผู้ติดยาเสพติดนั้น เป็นผู้ป่วยโรคเรื้อรัง และมีโอกาสกลับไปติดซ้ำค่อนข้างสูง โดยระบบการรักษาของสาธารณสุขจะมีศูนย์คัดกรองในทุกตำบลซึ่งเราจะแบ่งระดับผู้ป่วย ถ้ามีอาการรุนแรงหรือผู้ป่วยสีแดงจะรักษาในโรงพยาบาลของกรมสุขภาพจิต และศูนย์บำบัดรักษาโดยเฉพาะ ผู้ป่วยตรงกลางที่มีอาการติดแต่ไม่รุนแรงแรง จะรักษาในโรงพยาบาลชุมชนแบบผู้ป่วยโอพีดี หรือผู้ป่วยในและมีระบบติดตาม ส่วนคนที่มีอาการน้อยหรือใช้ไม่มากนักจะรักษาในชุมชน จะมีกระบวนการและระยะเวลาในการรักษา
“ในเชิงวิชาการทั่วโลกผู้ป่วยเหล่านี้เป็นผู้ป่วยเรื้อรังเมื่อได้รับการรักษาครบกระบวนการ ผ่านไป 1 ปี มีโอกาสกลับไปเสพใหม่ 70 % ฉะนั้นในระบบสุดท้ายคือการรักษาในชุมชน เพื่อฟื้นฟู เพราะถ้าผู้ป่วยรักษาแล้วสภาวะแวดล้อมยังเหมือนเดิม พฤติกรรมไม่เปลี่ยนจะกลับมาเหมือนเดิม เราจึงต้องดูแลครบวงจร เพราะผู้ป่วยสีแดงที่หายแล้วอาจมีสภาพทางสมอง ทางจิตใจ เราจึงต้องติดตามกัน หัวใจของการดูแลเรื่องนี้คือต้องร่วมมือกันทั้งหน่วยงานเกี่ยวข้องและชุมชน ทั้งนี้ ที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุขได้รับงบประมาณเพื่อดูแลเรื่องนี้ 200 ล้านบาท และในปีนี้ได้ 400 ล้านบาท เป็นโอกาสดีที่จะมีเงินมาเพิ่มระบบการรักษาได้ครอบคลุมมากขึ้น” ปลัดกระทรวงสาธารณสุขกล่าว