ศาลฎีกาแผนกคดีสิ่งแวดล้อมสั่งย้อนสำนวนคดีรุกป่าเขาแพง ‘แทน เทือกสุบรรณ-พวก’ ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ เหตุอัยการฟ้องโดยถูกต้องตาม ป.วิ.อ. ม.208 (2) ประกอบ 225
...................................................
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 18 มี.ค. 2564 ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา คดีหมายเลขดำที่ อ.3534/2556 พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายพรชัย ฟ้าทวีพร อดีตผู้จัดการ หจก.เรืองปัญญาคอนสตรัคชั่น นายสามารถ เรืองศรี (โกเข็ก) หุ้นส่วน หจก.เรืองปัญญาคอนสตรัคชั่น และนายหน้าขายที่ดิน นายแทน เทือกสุบรรณ บุตรชายนายสุเทพ เทือกสุบรรณ นักการเมืองชื่อดัง และนายบรรเจิด เหล่าปิยะสกุล อดีตเลขานุการส่วนตัวนายสุเทพ เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานร่วมกันก่อสร้าง แผ้วถางป่า หรือเผาป่า หรือกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการทำลายป่า หรือเข้ายึดถือครอบครองป่าเพื่อตนเอง และผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต และฐานเข้าไปยึดถือ ครอบครอง ก่อสร้าง หรือเผาป่าในที่ดินของรัฐ โดยมิได้มีสิทธิครอบครอง หรือไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108 ทวิ และ พ.ร.บ.ป่าไม้ฯ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2518 มาตรา 22 หรือคดีบุกรุกป่าเขาแพง ต.แม่น้ำ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี
โดยวันนี้นายแทน และจำเลยคนอื่น ๆ เดินทางมาฟังคำพิพากษา โดยศาลฎีกาแผนกคดีสิ่งแวดล้อม ตรวจสำนวนประชุมปรึกษากันแล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของอัยการว่า ฟ้องโจทก์ในส่วนของนายพรชัย จำเลยที่ 1 กับนายสามารถ จำเลยที่ 2 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
ศาลฎีกาแผนกคดีสิ่งแวดล้อม เห็นว่า คดีนี้ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1-2 ตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 9 , 108 ทวิ กับ พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 54, 55, 72 ทวิ โดยระบุถึงฐานความผิดของจำเลยทั้งสี่อย่างชัดแจ้ง และบรรยายฟ้องมีสาระสำคัญว่า จำเลยที่ 1-2 ร่วมกันบุกรุกอันเข้าไปยึดถือครอบครองพื้นที่ป่าที่เกิดเหตุเนื้อที่ 31 ไร่ 2 งาน 97 ตารางวา อันเป็นการทำลายป่าเขาแพง ต.แม่น้ำ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เป็นที่ดินของรัฐ และเป็นที่ดินที่ยังไม่ได้มีบุคคลใดได้มาโดยชอบด้วยกฎหมายที่ดิน โดยจำเลยที่ 1-2 ไม่มีสิทธิครอบครอง หรือได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นความผิดตามกฎหมาย และมีคำขอท้ายฟ้อง จึงเป็นการบรรยายฟ้องที่ได้ระบุการกระทำซึ่งอ้างว่าจำเลยที่ 1-2 ได้กระทำผิด มีข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับวัน-เวลา-สถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้น ๆ รวมทั้งบุคคลหรือสิ่งเกี่ยวข้องด้วยได้พอสมควรเท่าที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดีแล้วส่วนการกระทำของจำเลยที่ 1-2 จะเป็นความผิดหรือไม่อย่างไร จะยึดถือครอบครองพื้นที่ป่าที่เกิดเหตุอย่างไรบ้าง เป็นรายละเอียดที่จะนำสืบในชั้นพิจารณา และเป็นเรื่องที่ศาลจะวินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนต่อไป
โดยคดีนี้ทั้งจำเลยที่ 1-2 เข้าใจข้อหาได้ดีโดยให้การปฏิเสธ และต่อสู้คดีตลอดตั้งแต่ชั้นพนักงานสอบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) โดยจำเลยอ้างว่ามีสิทธิครอบครองที่ดินที่เกิดเหตุตามกฎหมาย และเป็นการซื้อขายต่อมาจากเจ้าของที่ดินรายเดิม การออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ น.ส. 3 ก. ทั้ง 3 แปลงปฏิบัติโดยถูกต้องตามกฎหมาย ดังนั้นฟ้องของอัยการในส่วนของจำเลยที่ 1-2 จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ( ป.วิ.อ.)มาตรา 158 (5) แล้ว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์ข้อนี้ของอัยการฟังขึ้น
ประกอบกับคดีนี้ จำเลย ที่ 1-4 ในชั้นอุทธรณ์ต่อสู้ว่า ไม่ได้กระทำความผิดตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษ การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องในส่วนของจำเลยที่ 1-2 โดยเห็นว่าเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) โดยยังมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของจำเลยที่ 1-2 ที่โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิด แต่กลับข้ามไปพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ของ นายแทน จำเลยที่ 3 กับนายบรรเจิด จำเลยที่ 4 ซึ่งมีความเกี่ยวพันต่อเนื่องเชื่อมโยงกับการกระทำของจำเลยที่ 1-2 ทั้งที่มูลเหตุของการดำเนินคดีกับจำเลยทั้งสี่ สืบเนื่องมาจากที่ดิน ส.ค.1 ทั้ง 3 แปลงที่จำเลยที่ 1-2 นำมาดำเนินการขอออกหนังสือรับรอง น.ส.3 ก. ทั้ง 3 แปลงที่เกิดเหตุ การที่ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1-2 ต่อไปนั้นอาจเป็นผลให้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นเพื่อให้การวินิจฉัยคดีไม่เป็นการลักลั่นและการกำหนดโทษของจำเลยทั้งสี่เป็นไปตามลำดับศาล เพราะผลแห่งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์อาจนำไปสู่การจำกัดสิทธิฎีกาของคู่ความได้
ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 208 (2) ประกอบมาตรา 225 โดยศาลฎีกามีคำพิพากษาให้ยกคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์เดิมและให้ย้อนสำนวนคดีนี้กลับคืนให้ศาลอุทธรณ์ได้พิจารณา และมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การที่ศาลฎีกามีคำพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่เคยตัดสินให้ยกฟ้องจำเลยทั้งหมด โดยให้ย้อนสำนวนคดีนี้กลับคืนให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดีนั้น เท่ากับว่าคำพิพากษาของศาลศาลอุทธรณ์ ไม่มีผล โดยหลังจากนี้ศาลอุทธรณ์จะต้องนำสำนวนคดีมาพิจารณาและมีคำพิพากษาใหม่โดยอาจจะมีคำพิพากษาลงโทษ หรือยกฟ้องก็เป็นไปได้ ส่วนระยะเวลาการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ใหม่นี้จะใช้ระยะเวลานานเท่าใดไม่อาจทราบได้
อนึ่ง คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 21 ก.ย. 2559 ว่า จำเลยทั้งสี่กระทำผิดจริง ให้จำคุกนายพงษ์ชัย จำเลยที่ 1 และนายสามารถ (โกเข็ก) จำเลยที่ 2 รายละ 5 ปี นายแทน จำเลยที่ 3 และนายบรรเจิด จำเลยที่ 4 จำคุกรายละ 3 ปี โดยไม่มีเหตุรอการลงโทษ อย่างไรก็ดีศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาแก้ว่าให้ยกฟ้องจำเลยทั้ง 4 รายทุกข้อกล่าวหา อัยการจึงยื่นฎีกา
หมายเหตุ : ภาพประกอบนายแทน จาก https://static.thairath.co.th/
อ่านประกอบ :
ด่วน! ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีเขาแพง ยกฟ้อง 'แทน เทือกสุบรรณ -พวก'
ศาลอาญา พิพากษาจำคุก 'แทน เทือกสุบรรณ' 3 ปี พร้อมพวก-คดีเขาแพง
ชมภาพชุดที่ดินผืนงาม ‘เขาแพง’ ชนวนศาลจำคุก‘แทน’กับพวกคนละ 3-5 ปี
พลิกปูมข่าวคดีเขาแพง! ก่อนศาลพิพากษาจำคุก 'แทน เทือกสุบรรณ'3 ปี พร้อมพวก
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage