วันที่ 2 รัฐสภาถกแก้ รธน.วาระ 2 ที่ประชุมเห็นชอบ 348 ต่อ 200 เสียง ค้าน ส.ว. ไม่เพิ่มข้อความ 'ห้ามแก้ 38 มาตราว่าด้วยพระราชอำนาจ' ในมาตรา 256/13 วรรค 5
.........................................................................
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่...) พุทธศักราช ... แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 256 และเพิ่มหมวด 15/1 ในวาระที่ 2 ได้ดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นวันที่ 2 นั้น
ทั้งนี้เมื่อเวลา 15.00 น. ในการพิจารณามาตรา 256/10 ที่ประชุมลงมติเห็นชอบตามที่ กมธ.เสียงข้างมาก กำหนดให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จัดให้มีการเลือกตั้ง ส.ส.ร.แทนตำแหน่งที่ว่างลงภายใน 45 วัน เว้นแต่ละเหลือเวลาในการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญไม่ถึง 90 วัน
ต่อมาเวลา 15.30 น. ที่ประชุมรัฐสภาพิจารณามาตรา 256/13 ที่ กมธ.เสียงข้างมาก กำหนดให้ ส.ส.ร.จัดทำร่างรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จภายใน 240 วัน พร้อมกำหนดให้การจัดทำร่าง รธน.ที่มีผลเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมหมวด 1 และ หมวด 2 จะกระทำมิได้
นายสมชาย แสวงการ ส.ว.ในฐานะ กมธ.เสียงข้างน้อย อภิปรายเพิ่มเติม ขอให้เพิ่มบทบัญญัติกำหนดห้ามแก้ไขมาตราของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 รวม 38 มาตรา ที่ว่าด้วยพระราชอำนาจ เพื่อป้องกันไม่ให้มีการแก้ไข และอาจนำไปสู่ความขัดแย้ง
ด้าน นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ต้องการให้เพิ่มเติมในมาตรา 256/13 ว่า "การจัดทำร่างรัฐธรรมนูญที่มีผลเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมหมวด 1 บททั่วไป หมวด 2 พระมหากษัตริย์ จะกระทำมิได้ เว้นแต่เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมที่ทำให้การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น" ทั้งนี้ยืนยันว่า เจตนารมณ์มิได้เป็นก้าวล่วงในสิ่งที่ฝ่ายค้านและรัฐบาลเสนอเข้ามา แต่การแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อให้ระบอบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขสมบูรณ์ขึ้นนั้นก็จะทำมิได้เลย จึงจำเป็นต้องเพิ่มข้อความตรงนี้ไว้ เพื่อเปิดช่องให้สามารถเติมเต็มให้มีความสมบูรณ์มากขึ้นได้
ขณะที่ นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับการห้าม ส.ส.ร. แก้หมวด 1 และ หมวด 2 เพราะที่ผ่านมาเคยมีการปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะกับกาลสมัยที่เกิดขึ้น ย่อมแสดงว่าการแก้ไขสามารถทำได้ ทั้งนี้เห็นว่ายิ่งย้ามยิ่งเป็นผลเสีย ยิ่งทำราวกับว่าพูดไม่ได้เลย ยิ่งไม่เป็นผลดี จึงไม่เห็นด้วย
ทั้งนี้มี ส.ว.หลายคน อภิปรายยืนยันข้อกำหนด ห้าม ส.ส.ร. แตะหมวด 1 และ หมวด 2 เพื่อปกป้องสถาบัน อาทิ พล.อ.สิงห์ศึก สิงห์ไพร , พล.อ.ดนัย มีชูเวท , นายเสรี สุวรรณภานนท์ เช่นเดียวกับ นายสมชาย อภิปรายย้ำว่า เชื่อว่า ส.ว.ทุกคนอยากเห็นการเติมข้อความห้าม ส.ส.ร.แตะต้องอีก 38 มาตราที่เกี่ยวกับพระราชอำนาจ ทั้งนี้ไม่ต้องการให้รัฐสภาตีเช็คเปล่า เพราะที่ผ่านมาพบการกล่าวถ้อยคำที่ไม่เหมาะสมหลายครั้ง ขอให้ กมธ.เสียงข้างมาก ว่าอย่าหักหาญเลย ปล่อยให้ ส.ว.เติมเรื่องนี้เข้าไปใน มาตรา 256/13 วรรค 5 ว่าให้รวมพระราชอำนาจที่เกี่ยวข้องเข้าไปด้วย
อย่างไรก็ตาม หลังจากใช้เวลาการอภิปรายนานกว่า 2 ชั่วโมง ก่อนที่จะมีการลงมติ นายพรเพชร วิชิตชลชัย รองประธานรัฐสภา ได้สั่งพักการประชุม 15 นาที เพื่อให้ กมธ.เสียงข้างมากไปตกลงกันว่าจะดำเนินการอย่างไร
ต่อมาเวลา 18.00 น. ที่ประชุมรัฐสภาลงมติแก้ไขมาตรา 256/13 โดยมีมติเห็นชอบ 544 ต่อ 1 เสียง ไม่เห็นด้วย 53 เสียง และเห็นด้วยกับ กมธ.เสียงข้างมากด้วยคะแนน 348 ต่อ 200 เสียง งดออกเสียง 58 เสียง ไม่ลงคะแนน 2 เสียง
@เคาะเลือกตั้ง ส.ส.ร. 200 คน ใช้วิธีแบ่งเขตเลือกเหมือน ส.ส.
สำหรับบรรยากาศช่วงเช้าที่ผ่านมา มีประเด็นที่น่าสนใจ เกี่ยวกับมาตรา 256/5 ที่มีสาระสำคัญว่าด้วยเรื่องที่มาของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) จำนวน 200 คน ที่ยังมีความเห็นที่แตกต่างกันว่าจะจัดการเลือกตั้ง เนื่องจาก กมธ.เสียงข้างมากเห็นว่า ควรแบ่งเขตเลือกตั้งโดยใช้เขตจังหวัด ในการจัดการเลือกตั้ง ส.ส.ร.
นายวิเชียร ชวลิต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ สงวนคำแปรญัตติจาก กมธ.เสียงข้างมาก ระบุว่า ได้เสนอให้มีการเลือกตั้งแบบแบ่งเขต 200 เขต พิจารณาตามหลักฐานจำนวนราษฎร และจัดสรรไปตามจังหวัด ทั้งนี้หากคำนวณเบื้องต้นจากประชากร 66 ล้านคนเศษ ที่จะส่งผลให้มี 24 จังหวัดที่มี ส.ส.ร. 1 คน อีก 24 จังหวัดมี ส.ส.ร. 2 คน ส่วน กทม.จะมี ส.ส.ร.มากถึง 17 คน
นายวิเชียร กล่าวด้วยว่า เหตุที่ต้องสงวนคำแปรญัตติเช่นนี้ หากแบ่งเขตจังหวัด อาจทำให้ประชาชนบางจังหวัด เลือก ส.ส.ร.ได้มากกว่า 1 คน เช่น กทม. ที่ทำให้ 1 เสียงมีโอกาสเลือก ส.ส.ร.ได้ถึง 17 คน นอกจากนั้นร่าง รธน.ที่มีเป้าหมายให้มี ส.ส.ร.มีตัวแทนจากประชาชน หากจัดการเลือกตั้งเขตใหญ่ การสื่อสาร 2 ทางระหว่างผู้ที่เป็นตัวแทนกับประชาชนจะเป็นไปได้ยาก ส่วนที่ตั้งข้อสังเกตว่า การแบ่งเขตเล็กอาจทำให้พรรคการเมืองมีอิทธิพลต่อการเลือก ส.ส.ร. แต่ในทางกลับกัน เขตเล็กจะทำให้ ส.ส.ร. เข้าถึงประชาชนได้โดยตรง ส่วนการแบ่งเขตจังหวัด อิทธิพลและชื่อเสียงทางการเมืองอาจจะมีบทบาทมากกว่า
“การแบ่งเขต ส.ส.ร.เพื่อให้ได้มา 200 เขต ไม่ได้ยุ่งยากเหมือนที่เรากังวล เพราะมีจังหวัดที่มี ส.ส.ร. 1 คน 24 จังหวัด ส่วนที่เหลือก็มีจำนวนไม่มากที่จะแบ่งเขตได้ ด้วยเหตุผลทั้งหลาย เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการว่า ทุกคนควรมีสิทธิ์เลือก ส.ส.ร.ได้ 1 คน เท่าเทียมกันจึงเป็นเหตุผลที่สำคัญที่สุด” นายวิเชียร
ขณะที่นายกล้านรงค์ จันทิก สมาชิกวุฒิสภา กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตจังหวัด เพราะทำให้คนมีชื่อเสียง คนมีอิทธิพลเข้ามาเป็น ส.ส.ร.ได้ และในอดีตการเลือกตั้ง ส.ว.ปี 2549 ตนเองสมัครที่ กทม. ซึ่งขณะนั้นกำหนดให้มี ส.ว. 17 คนแต่ปรากฏว่า มีคนได้คะแนนหลักแสน 5 คน ส่วนที่เหลือเป็นคะแนนหลักหมื่น ทำให้เกิดการเขย่งกัน ทั้งนี้เห็นว่า การแบ่งเขตเล็ก 200 เขต จะทำให้คนรู้จักผู้สมัคร ส.ส.ร.ได้โดยตรง มีอะไรสามารถจะประสานงานกันได้ทันที
ขณะที่นายธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับการแบ่งเขตเล็ก 200 เขต พร้อมสนับสนุนให้มีการแบ่งเขตจังหวัด เห็นว่าการแบ่งเขตรายจังหวัดจะเป็นการสลายอิทธิพลพรรคการเมืองได้ ขอให้ทุกคนช่วยกันตัดสินใจ ช่วยกันผ่องถ่ายอำนาจไปสู่ประชาชนอย่างแท้จริง เพราะอำนาจรัฐประหารมีมา 7 ปีแล้ว ขอให้ใช้ความกล้าหาญผ่องถ่ายให้คนแต่ละรุ่นเข้ามาร่วมออกแบบกติกาของประเทศ ซึ่งการแบ่งเขตจังหวัดยังพอให้เห็นความหวัง 50-60% ซึ่งดีกว่าการแบ่ง 200 เขตที่จะทำให้ฝ่ายการเมืองเข้าไปกำกับได้ในแต่ละเขต
ต่อมา ที่ประชุมรัฐสภา ลงมติไม่เห็นชอบร่างของ กมธ.เสียงข้างมาก พร้อมลงมติเห็นชอบให้ใช้รูปแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ส.ส.ร.เป็น 200 เขต
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage