'ประเสริฐ' เปิดซักฟอกทุจริตถุงมือยาง อ้าง 'จุรินทร์' ตั้งคนใกล้ชิด นั่งบอร์ด อคส. พบ สัญญาลวงดึงเงินออก อคส. 2,000 ล้านบาท เตรียมยื่น ป.ป.ช.-ศาลฎีกานักการเมืองสอบต่อ ด้าน 'จุรินทร์' โต้อย่าฟังความข้างเดียว เสียยี่ห้อรัฐมนตรี ยันเรื่องถึงมือ ป.ป.ช. สอบครบทุกคน เบื้องต้นพบผู้เกี่ยวข้อง 3 คนรวม 'พ.ต.อ.รุ่งโรจน์' อดีตรักษาการ ผอ.อคส.ด้วย
..........................................................................
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 18 ก.พ.2564 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.เพื่อไทย อภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐนตรี และรมว.กลาโหม และนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ เกี่ยวกับการทุจริตในโครงการจัดซื้อถุงมือยางขององค์การคลังสินค้า (อคส.) โดยใช้เวลานานกว่า 2 ชั่วโมงในการอภิปรายครั้งนี้
นายประเสริฐ กล่าวว่า มีการทำสัญญาลวงใน อคส.เพื่อจัดซื้อถุงมือยาง จนทำให้เกิดความเสียหายเป็นจำนวนเงิน 2,000 ล้านบาท และพบว่ามีบุคคลใกล้ชิดเข้าไปเกี่ยวข้อง ได้แก่ นายสุชาติ เตชจักรเสมา ประธานกรรมการ หรือประธานบอร์ด อคส. ในอดีตเคยเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ และเคยเป็นผู้ช่วยดำเนินงานของนายบัญญัติ บรรทัดฐาน ส.ส.ประชาธิปัตย์
โดย นายสุชาติ และนายจุรินทร์ ยังเคยเข้ารับการอบรมหลักสูตรผู้บริหารระดับสูงในปี 2558-2559 แสดงถึงความสัมพันธ์ที่มีมาอย่างยาวนาน นอกจากนี้ยังพบว่า นายจุรินทร์ แต่งตั้ง นายพีระ ตรีชดารัตน์ พี่ชายของนายสุชาติ เป็นที่ปรึกษา รมว.พาณิชย์ อีกด้วย
นายประเสริฐ กล่าวต่อไปว่า เหตุการณ์ดังกล่าว เริ่มต้นเมื่อวันที่ 28 ส.ค.2563 นายเกียรติขจร แซ่ไต่ ผู้อำนวยการสำนักการขายและจัดจำหน่าย อคส. มีหนังสือ ถึง พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์ รักษาการผู้อำนวยการคลังสินค้า ว่า เมื่อวันที่ 25 ส.ค.2563 มีบริษัทเอกชน 3 แห่งแสดงเจตจำนงต้องการซื้อถุงมือยาง 500 ล้านกล่องในราคากล่งอละ 230 บาท อคส.จึงได้ทำการเจรจากับ บริษัท การ์เดียน โกลฟ์ จำกัด โรงงานผู้ผลิตถุงมือยางเมื่อวันที่ 27 ส.ค.2563 โดยตกลงราคากล่องละ 225 บาท จำนวน 500 ล้านกล่อง ซึ่งต้องมีการชำระเงินล่วงหน้า 2,000 ล้านบาท ทั้งนี้ให้ทำหนังสือเวียนเป็นการเร่งด่วน เนื่องจากเกรงว่าหากต้องนำเข้าบอร์ด อคส.จะไม่สามารถดำเนินการได้ทัน
เมื่อตรวจสอบรายละเอียดในสัญญาซื้อถุงมือยางจากบริษัทการ์เดียน โกลฟส์ จำกัด นายประเสริฐ พบว่า นอกจากมูลค่าการซื้อขาย 1.12 แสนล้านบาท อคส.ไม่มีอำนาจ ในการทำสัญญา ยังพบว่ามีกระบวนการดึงเงินจำนวน 2,000 ล้านบาทออกจาก อคส.
“ในสัญญาข้อที่ 5 กำหนดให้ อคส.ต้องชำระเงินล่วงหน้า 2,000 ล้านบาทและต้องทำให้เสร็จใน 3 วัน ส่วนข้อ 7 บอกว่าให้บริษัทการ์เดียน โกลฟส์ จำกัด นำหลักประกันมามอบให้ อคส. 200 ล้านบาทใน 7 วัน กล่าวคือ บริษัทไม่ต้องลงทุน เพราเบิกเงินจาก อคส. และนำกลับมาวางหลักประกัน ซึ่งยังเหลือเงินทอนอีก 1,800 ล้านบาท” นายประเสริฐ กล่าว
นายประเสริฐ กล่าวต่ออีกว่า เมื่อตรวจสอบข้อมูลบริษัทการ์เดียน โกลฟ์ จำกัด พบว่าเพิ่งจัดตั้งเมื่อวันที่ 22 มิ.ย.2563 ก่อนการทำสัญญากับ อคส.เพียง 2 เดือน มีทุนจดทะเบียน 2 ล้านบาท แต่ปรากฏว่าสามารถทำธุรกิจมูลค่า 1.12 แสนล้านบาททั้งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้
นายประเสริฐ เปิดเผยเทปบันทึกเสียง 2 ครั้ง ที่อ้างว่าเป็นหลักฐานสำคัญ เป็นไฟล์เสียงบันทึกการประชุมของบอร์ด อคส.เมื่อวันที่ 26 ส.ค.2563 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากที่ได้ทำสัญญาซื้อขายกับเอกชน 3 สัญญาแรกเมื่อวันที่ 25 ส.ค.2563 โดยเป็นบทสนทนาตอนหนึ่งที พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ รายงานว่า “ได้เซ็นตสัญญากับผู้ซื้อถุงมือ ทั้งหมด 3 สัญญา วงเงิน 1 หมื่น 3 พันกว่าล้านบาท” ต่อมานายสุชาติ กล่าวว่า “อ้าว ต้องลับก่อน รีบเปิดเผย ให้เก็บไว้ก่อน”
จากนั้น พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ กล่าวว่า “เป็นผลงานของท่านประธาน ผมอยากโชว์ท่านประธาน งานนี้ถ้าไม่ได้ท่านประธาน เพราะท่านประธานเป็นคนบริหารจัดการ และกำหนดโครงการไว้” ทำให้นายสาติ กล่าวว่า “ผมจึงเก็บไว้ให้ท่านรัฐมนตรี เก็บไว้ก่อน อย่าเพิ่ง เดี๋ยวให้ท่านรัฐมนตรีมากดเดิน”
นายประเสริฐ กล่าวด้วยว่า แม้จะไม่ได้เกี่ยวข้องกับ พล.อ.ประยุทธ์ โดยตรง แต่ในฐานะนายกรัฐมนตรี หัวหน้ารัฐบาล และทราบมาโดยตลอดว่ามีเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น นับตั้งแต่มีการตั้งกระทู้ถามสดที่สภาผู้แทนราษฎรวันที่ 11 พ.ย.2563 จึงอาจเข้าข่ายละเว้นปฏิบัติหน้าที่ ไม่ปกป้องผลประโยชน์ของชาติ จำนวน 2,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นวงเงินสูงที่มีพฤติกรรมเข้าข่ายการทุจริต
นอกจากนี้เมื่อทราบเรื่อง ยังไม่ตรวจสอบ ไม่ยับยั้ง เพียงแต่ออกคำสั่งย้าย พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ เมื่อวันที่ 14 ก.ย.2563 แต่ไม่ได้อายัดบัญชีของบริษัทการ์เดียน โกลฟส์ จำกัด ซึ่งพบข้อมูลว่าตั้งแต่วันที่ 2-25 ก.ย.2563 ยังมีเงินอยู่ในบัญชี 400 ล้านบาท
“หาก พล.อ.ประยุทธ์ ไม่กล้าตรวจสอบหรือปรับคณะรัฐมนตรี ย่อมทำให้การตรวจสอบดำเนินการได้ยาก อาจมีอุปสรรคต่อการสอบสวนและอาจไปยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน” นายประเสริฐ กล่าว
นายประเสริฐ ยังกล่าวถึงบทสรุปของนายจุรินทร์ ด้วยว่า เป็นรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ ไม่มีความซื่อสัตย์ รอบคอบ หรือระมัดระวัง และยังละเว้นไม่ดำเนินการใดๆ กับนายสุชาติ ทั้งนี้นายจุรินทร์ ยังรู้เห็นเป็นใจในลักษณะแบ่งแยกหน้าที่กันทำกับนายสุชาติ ที่ปรากฏตามเทปบันทึกเสียงว่า นายสุชาติระบุให้ทำความเป็นความลับ รอรัฐมนตรีมากดเดิน
“เป็นการวางแผนร่วมมือกันทุจริตเป็นระบบ หลอกเอาเงินหลวงไปเป็นประโยชน์ต่อตนเองและพวกพ้อง ขณะนี้เงิน 2,000 ล้านบาทหายไปแล้ว ถือเป็นการกระทำที่ไร้ยางอาย จึงไม่อาจไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ และ นายจุรินทร์ ได้” นายประเสริฐ
นายประเสริฐ กล่าวในช่วงท้ายของการอภิปรายด้วยว่า จากนี้จะนำเรื่องทั้งหมด ไปยื่นดำเนินคดี พล.อ.ประยุทธ์ และนายจุรินทร์ ต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และยื่นต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเตรียมไปชี้แจงในที่ดังกล่าว
ต่อมา นายจุรินทร์ ได้ใช้สิทธิ์ชี้แจง ว่า ข้อมูลทั้งหมดเป็นสิ่งที่ตนเองเห็นด้วยกับนายประเสริฐ เกือบทุกประการ ไม่มีอะไรโต้แย้งโดยไม่จำเป็น แต่ขอปฏิเสธว่าไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้องยุ่งเกี่ยวกับการดำเนินการใดๆ ไม่ว่าจะเป็นทางการหรือไม่เป็นทางการ หรือแอบสั่งการในลับหรือที่แจ้งก็ไม่เคย และเห็นว่านายประเสริฐ อภิปรายโกหกหลายประการ โดยเฉพาะการกล่าวหาว่า รัฐมนตรีไม่ได้ดำเนินการใดๆ ทั้งที่ผ่านมาได้ดำเนินการตามขั้นตอนตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง
“ไม่ว่าใครจะรู้จักกับนายกรัฐมนตรี หรือ รู้จักกับรัฐมนตรี ไม่ได้หมายความว่ามีอำนาจล้นฟ้า จะทำอะไรก็ได้ เมื่อทำผิดกฎหมายต้องเข้าคุก ขอพูดต่อไปว่า เรื่องนี้ผมไม่ยอม ไม่ว่าใครทุจริต ต้องถูกจัดการทางวินัย ทางแพ่ง และอาญาจนถึงที่สุด” นายจุรินทร์ กล่าว
นายจุรินทร์ กล่าวด้วยว่า ตนเองตอบไม่ถูกเหมือนกันว่าตอน อคส.ทำสัญญาแสนกว่าล้านบาทไปอยู่ตรงไหน เพราะตนเองไม่ทราบ และไม่ได้ไปร่วมขบวนการสมคบกับใคร และทันทีที่ทราบเรื่องจากผู้อำนวย อคส.คนใหม่ ที่เข้าไปตรวจพบพิรุธการโอนเงิน 2,000 ล้านบาทออกจากบัญชีโดยไม่มีอำนาจ จึงได้รายงานนายกรัฐมนตรี นำไปสู่การสั่งย้ายอดีตผู้อำนวย อคส.เพื่อให้สะดวกต่อการตรวจสอบ
รองนายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า ตามกฎหมายนั้น อคส.เป็นรัฐวิสาหกิจ ส่วนรัฐมนตรีมีหน้าที่เป็นแค่บุรุษไปรษณีย์ ไม่มีอำนาจบังคับบัญชา มีอำนาจจำกัดในการรับส่งเรื่องไปยังคณะรัฐมนตรีพิจารณาเท่านั้น ส่วนการตรวจสอบเรื่องนี้ที่ผ่านมาได้รับรายงานจาก ผู้อำนวยการ อคส.คนใหม่ รวม 4 ครั้ง ตั้งแต่ตั้งกรรมการาสอบข้อเท็จจริง แจ้งความดำเนินคดีต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) , ร้องต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และร้องต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
กระทั่งวันที่ 4 ก.พ.2564 ที่เป็นรายงานครั้งที่ 4 ได้รับแจ้งผลการสอบสวนข้อเท็จจริงที่มีผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน โดยมีเอกสารทั้งหมด 2,268 แผ่น พบผู้เกี่ยวข้องเชื่อมโยงทั้งหมด 3 คน รวมถึงอดีตรักษาผู้อำนวยการ อคส.ด้วย ซึ่งทั้งหมดได้แจ้งให้บอร์ด อคส.รับทราบ และส่งต่อเรื่องให้ ป.ป.ช.พิจารณาประกอบการไต่สวนแล้ว
“ส่วนกรณีที่อดีตรักษาการผู้อำนวยการ อคส.พูดพาดพิงว่า ผมรับทราบเรื่องจัดการซื้อถุงมือยาง ผมกราบเรียนว่าเป็นการฟังความข้างเดียว ทำอย่างนี้ เสียยี่ห้ออดีตรัฐมนตรีหมดเลย” นายจุรินทร์ กล่าว
นายจุรินทร์ กล่าวด้วยว่า ในรายงาน กมธ.พาณิชย์ฯ ระบุว่า อดีตรักษาการผู้อำนวยการ อคส.อ้างว่าประธานบอร์ด อคส.บอกว่าคุยกับรัฐมนตรีแล้ว รับทราบแล้ว ในรายงานฉบับดังกล่าวเขียนคำกล่วาของอดีตรักษาผู้อำนวยการ อคส.ต่อไปด้วยว่า “ข้อเท็จจริงจะทราบหรือไม่ ผมไม่รู้” แสดงให้เห็นว่า คนพูดยังไม่กล้ายืนยัน และกำลังดูอยู่ว่าจะให้ฝ่ายกฎหมายไปดูว่าจะดำเนินคดีได้หรือไม่
“คนอย่างผมใครกล่าวหาว่าโกง ไม่มีวันยอม ทนายความคนหนึ่งกล่าวหาว่าผมโกงเรื่องหน้ากากในไลฟ์สด 5 ครั้ง ตอนนี้ฟ้องดำเนินคดีแล้ว 5 กรรม ศาลจะไต่สวน 22 ก.พ.อีกไม่กี่วันที่จะถึงนี้” นายจุรินทร์ กล่าว
นายจุรินทร์ กล่าวช่วงท้ายว่า ส่วนข้อความที่ปรากฏในคลิปเสียงในที่ประชุม อ้างว่ามีบุคคลคนหนึ่งที่อาจจะเป็นประธานบอร์ด อคส. ไม่ได้ยืนยันว่า มีตรงไหนที่บอกว่ารัฐมนตรีไปเกี่ยวข้องในทางมิชอบ และที่สำคัญก็ไม่ได้ไปร่วมสนทนาในเทปดังกล่าวหรือร่วมรับรู้ด้วย
“เรื่องนี้เราได้ดำเนินการถึง ป.ป.ช.แล้ว และเขาจะสอบยิ่งกว่าประธานบอร์ด อคส. เพราะมีอำนาจสอบได้หมด แม้แต่ผมเขาก็จะไม่ละเว้น หากพบว่านายจุรินทร์เข้าไปเกี่ยวข้อง หรือจะสอบไปถึงคณะรัฐมนตรี เขาก็มีอำนาจสอบ ไม่เว้นแม้แต่เอกชน ฉะนั้นเรื่องเข้า ป.ป.ช. ถือว่าครอบคลุมทุกคนหมดแล้ว ป.ป.ช.คือที่สุดแล้วในประเทศไทย ถัดจากนี้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ถ้า ป.ป.ช.ชี้มูลก็ไปอัยการ ถ้าอัยการชี้มูลก็ไปศาล ไม่มีละเว้นใคร” นายจุรินทร์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังนายประเสริฐ อภิปรายเสร็จสิ้น นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะกรรมาธิการพาณิชย์และทรัพย์สินทางปัญญา ใช้สิทธิ์พูดพาดพิง ชี้แจงว่า สิ่งที่นายประเสริฐ นำข้อมูล กมธ.มาอภิปรายในสภา มีหลายประเด็นเอกสารเท็จ อีกทั้งยังมี กมธ.พาณิชย์ จากพรรคเพื่อไทย นำข้อมูลไปแถลงข่าวกับสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 4 พ.ย.2563 โดยที่ยังไม่มีการรับรองรายงานในที่ประชุมอีกด้วย
ต่อมา นายบัลลังก์ อรรณนพพร ส.ส.เพื่อไทย ในฐานะรองประธาน กมธ.พาณิชย์ฯ คนที่ 1 ยืนยันว่าเอกสารทั้งหมดเป็นของจริง และการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 4 พ.ย.ที่ผ่านมานั้น มี กมธ.ที่เป็น ส.ส.จากหลายพรรคเข้าร่วมด้วย ทั้ง เพื่อไทย , ก้าวไกล , ภูมิใจไทย และพลังประชารัฐ ทั้งนี้ต่อมามีการปรับถ้อยคำในที่ประชุม กมธ.เพื่อใช้ข้อความไม่ให้ ถูกฟ้องร้องกลับเท่านั้น ยืนยันว่าเอกสารที่ส่งให้นายประเสริฐ เป็นของจริงทั้งหมด
ขณะที่นายอันวาร์ สาและ ส.ส.ประชาธิปัตย์ ในฐานะ ประธาน กมธ.พาณิชย์ กล่าวชี้แจงว่า วันดังกล่าวได้มอบหมายให้นายบัลลังก์เป็นประธานพิจารณา และรายงาดังกล่าวมีการปรับเปลี่ยนข้อความ โดยไม่ได้ทำให้หลักการหรือเนื้อหาเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage