‘ธนาคารโลก’ เผยทักษะการเรียนรู้ของ ‘เด็กไทย’ ตกต่ำ เหตุขาดเรียนสูง เพราะไม่รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียน เผยความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาไทย มาจากการกระจายทรัพยากรไม่ถูกจุด-ขาดแคลนครู-เข้าไม่ถึงอุปกรณ์เรียน แนะควบรวมโรงเรียนขนาดเล็กในพื้นที่ เพื่อให้มีการทรัพยากรร่วมกันได้
...................
เมื่อวันที่ 10 ธ.ค. ธนาคารโลก (World Bank) เปิดเผยรายงานฉบับล่าสุด ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าสมรรถนะด้านการอ่าน รวมถึงคะแนนด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ของนักเรียนไทยกำลังตกอยู่ในภาวะถดถอยต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลจากความเหลื่อมล้ำในการจัดสรรทรัพยากรและการลงทุนด้านการศึกษาของไทย อีกทั้งยังพบว่าการที่เด็กไทยได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ยังเป็นปัจจัยเร่งให้เกิดความถดถอย
นางเบอร์กิท ฮานสล์ ผู้จัดการธนาคารโลกประจำประเทศไทย เปิดเผยว่า จากโครงการโปรแกรมประเมินสมรรถนะนักเรียนตามมาตรฐานสากล หรือ PISA ในปี 2561 ซึ่งทำการประเมินทักษะนักเรียนไทยอายุ 15 ปี จากทั้งหมด 79 ประเทศ พบว่า ไทยถูกจัดอยู่ในอันดับรั้งท้ายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก คือ อันดับที่ 68 ด้านการอ่าน อันดับที่ 59 ด้านคณิตศาสตร์ และอันดับที่ 55 ด้านวิทยาศาสตร์
ขณะเดียวกัน ร้อยละ 60 ของนักเรียนไทยได้คะแนนด้านการอ่านต่ำกว่าสมรรถนะขั้นต่ำ และร้อยละ 53 มีคะแนนไม่ถึงระดับสมรรถนะขั้นต่ำด้านคณิตศาสตร์ ขณะที่ร้อยละ 44 ได้คะแนนต่ำกว่าเกณฑ์สมรรถนะขั้นพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์
นางเบอร์กิท กล่าวว่า สาเหตุที่ทักษะการเรียนรู้ของเด็กไทยตกต่ำ ส่วนหนึ่งเกิดจากนักเรียนมีอัตราการขาดเรียนสูง เพราะไม่รู้สึกว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียน จึงไม่อยากไปโรงเรียน ซึ่งความรู้สึกนี้มาจากหลายปัจจัย ทั้งปัญหาความยากจน ครูไม่มีคุณภาพ เด็กถูกกลั่นแกล้งรังแก รวมถึงการไม่ได้รับกำลังใจและการส่งเสริมจากครอบครัวครัวที่เพียงพอ
นายดิลกะ ลัทธพิพัฒน์ นักเศรษฐศาสตร์ด้านทรัพยากรมนุษย์ประจำธนาคารโลก สำนักงานประเทศไทย กล่าวว่า จากการประเมินตัวเลขค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของนักเรียนไทยตั้งแต่ชั้น ป.1 จนถึง ม.3 มีมูลค่าเฉลี่ยต่อหัว 27,271 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือว่าประเทศไทยใช้เงินลงทุนด้านการศึกษาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับจำนวนนักเรียน แต่ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลับสวนทางกับการลงทุน
“ปัจจัยที่อยู่เบื้องหลังของความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาอย่างหนึ่ง คือ การกระจายทรัพยากรไม่ถูกจุด รวมถึงปัญหาขาดแคลนครู และการเข้าไม่ถึงอุปกรณ์การเรียน เราจึงเสนอว่าโรงเรียนขนาดเล็กในพื้นที่ใกล้เคียงกันควรมีการควบรวม หรือสามารถใช้ครู บุคลากร และอุปกรณ์การศึกษาร่วมกันได้ เพื่อให้การจัดสรรงบมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ชี้ให้เห็นว่าเยาวชนที่ด้อยโอกาสจะเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด”นายดิลกะระบุ
นายภูมิศรัณย์ ทองเลี่ยมนาค ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์การศึกษา กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าวว่า ปัญหาเรื่องการจัดสรรทรัพยากรและงบประมาณให้ทั่วถึงเป็นธรรม อุปสรรคอันดับแรกที่ต้องแก้ไขจัดการ คือ ระบบที่ล่าช้า โดยกสศ. มีข้อมูลผลการวิจัยเชิงประจักษ์ทั้งจากต่างประเทศและในประเทศ ซึ่งรัฐบาลควรนำข้อมูลเหล่านี้นำไปปรับใช้
ทั้งนี้ การกระจายทรัพยากรครูและบุคลากรการศึกษาของไทยเป็นปัญหาที่แก้ไขได้ยาก และทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำสูงระหว่างโรงเรียนในเมืองและชนบท ซึ่งปัญหานี้ของประเทศไทยจัดอยู่ในระดับเดียวกับกลุ่มละตินอเมริกา ได้แก่ บราซิล โคลัมเบีย และปานามา
“สิ่งที่ยากสุดในการจัดการคือครู และบุคลากรทางการศึกษา ปัญหานี้ไม่ใช่มีแค่ไทย แต่ประเทศอื่นก็ประสบปัญหาคล้ายกัน เพราะรัฐบาลเป็นเหมือนนายจ้างหลัก โดยมีครูเป็นกลุ่มลูกจ้างที่ใหญ่ที่สุด ดังนั้น การจะพยายามปรับระบบ ลดตำแหน่งครู หรือโยกย้ายครูไปประจำโรงเรียนชนบทห่างไกลจึงเป็นเรื่องยาก แต่หากทำได้ก็เชื่อว่าผลลัพธ์ทางการศึกษาจะดีขึ้นอย่างแน่นอน” นายภูมิศรัณย์ กล่าว
นายภูมิศรัณย์ กล่าวว่า ที่ผ่านมา กสศ. มีพยายามที่จะหาจุดเชื่อมโยงระหว่างคุณภาพการศึกษาและการเข้าถึงการศึกษา โดยเชื่อว่าหากแก้ปัญหาทั้งสองนี้ได้ จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถพัฒนาทุนมนุษย์ที่มีคุณภาพมากขึ้นได้
นอกจากนี้ หากติดตามสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบันจะพบว่า มีการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักเรียน เยาวชน ที่เรียกร้องให้มีการปฏิรูปการการศึกษา เช่น การเลิกใช้อำนาจนิยมในโรงเรียน การแก้บทลงโทษ เพราะปัญหาเหล่านี้เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาไม่รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียน แต่ขณะเดียวกันพวกเขามีความรู้สึกถึงความเป็นพลเมืองค่อนข้างสูง และมีความสนใจเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมเป็นอย่างดี ดังนั้น จึงควรมีการส่งเสริมแนวคิดเชิงบวกแก่เด็กมากขึ้น
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage